บทที่ 78 คืนสู่วัยเยาว์
บนยอดเขาที่ไร้ชื่อ หญิงสาวในชุดแดงสดนั่งอยู่บนยอดสนสูง มองดูพระจันทร์เต็มดวงบนท้องฟ้าและกล่าวเบาๆ
“ค่ำคืนนี้เป็นคืนใดเล่า จึงได้พบยอดบุรุษเช่นนี้”
ชายผู้หนึ่งที่พิงต้นไม้ใต้ต้นสน กอดดาบทองคำเล่มใหญ่ไว้ในอ้อมแขน กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าเมืองจี๋โม่ เจ้ากำลังท่องบทกวีใดอยู่?”
จี๋โม่ฮวาเสวี่ยหลุดจากภวังค์ นางหัวเราะเบาๆ พร้อมตอบ
“บทกวีที่เคยได้ยินมานานแล้ว ชมจันทร์ในคืนนี้ก็พลันนึกถึง”
ชายถือดาบหัวเราะเบาๆ
“ไม่ค่อยได้เห็นเจ้ายิ้มเลย เหมือนกับที่ไม่ค่อยได้เห็นเจ้าชักกระบี่ แต่ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้มของเจ้าหรือกระบี่ก็ล้วนงดงาม”
จี๋โม่ฮวาเสวี่ยตอบอย่างเรียบเฉย
“ข้าแต่งงานแล้ว”
ชายถือดาบแตะรอยแผลยาวที่พาดผ่านใบหน้าของเขาแล้วหัวเราะ
“ข้ารู้ แต่ว่า...แต่งงานแล้วก็เปลี่ยนใจใหม่ได้มิใช่หรือ? สามีของเจ้าก็ล่วงลับไปแล้ว เขาบอกกับเจ้าก่อนสิ้นใจมิใช่หรือ ว่าให้เจ้าหาคนที่ดีกว่าแต่งงานใหม่?”
จี๋โม่ฮวาเสวี่ยส่ายหน้า
“ไม่มีผู้ใดดีไปกว่าเขาอีกแล้ว” นางเงยหน้ามองจันทร์เต็มดวง “เจ้าเมืองสวี ท่านไม่จำเป็นต้องรอข้าอีกต่อไปแล้ว”
ชายถือดาบยักไหล่
“นั่นเป็นเรื่องของข้า”
หลังจากนั้นจี๋โม่ฮวาเสวี่ยเงียบไปพักหนึ่งก่อนกล่าว
“ข้าควรจะไปแล้ว”
ชายถือดาบถาม
“กลับไปยังเมืองจี๋โม่ หรือไปหาพวกเด็กๆ จากสำนักศึกษา?”
จี๋โม่ฮวาเสวี่ยเลิกคิ้ว
“เจ้านัดข้ามาที่อาณาจักรต้าเจ๋อโดยเจาะจง หรือว่ามันเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่?”
ชายถือดาบหัวเราะ
“เมื่อไม่นานมานี้ ข้าได้รับจดหมายมากมาย เจ้าก็รู้ว่าเมืองมารอย่างพวกเรา คนที่กล้าเขียนจดหมายมาหาส่วนมากก็ล้วนเป็นคนที่มีชื่อเสียในยุทธภพ มีไม่กี่คนจากสำนักใหญ่ที่จะเขียนมา แต่จดหมายที่ข้าเพิ่งได้รับกลับมาจากตระกูลใหญ่ทั้งสี่แห่งเจียงหนาน จากสามสำนักใหญ่แห่งอาณาจักรต้าเจ๋อ และแม้กระทั่งจากสำนักสวรรค์ซ่างหลิน”
จี๋โม่ฮวาเสวี่ยขมวดคิ้ว
“ยุคแห่งความโหดร้ายของยุทธภพ?”
ชายถือดาบกล่าว
“สำนักสวรรค์ซ่างหลิน ไม่มีอำนาจควบคุมยุทธภพได้อีกต่อไปแล้ว หนิงชิงเฉิงบาดเจ็บสาหัสและเก็บตัวมาหลายปี แม้กระทั่งดูแลสำนักก็ยังลำบาก กระบี่ที่ถูกซ่อนไว้จะถูกชักออกมาเล่มแล้วเล่มเล่า พุ่งไปยังศัตรูหรือมิตรในอดีต ซูหานฝันถึงยุทธภพที่เป็นหนึ่งเดียว มันก็เป็นเพียงฝันที่งดงาม”
เขาชูดาบทองคำที่อาบด้วยแสงจันทร์จนเปล่งประกายเย็นเยียบ
“ฝันนั้นจบลงตั้งแต่วันที่ซูหานตายแล้ว”
จี๋โม่ฮวาเสวี่ยถาม
“แล้วเจ้าอยากเห็นยุคแห่งความโหดร้ายนี้เกิดขึ้นหรือ?”
ชายถือดาบหัวเราะเบาๆ
“ข้าคือผู้ครองเมืองมาร ย่อมชื่นชอบความโหดร้าย แต่ข้าไม่ชอบความโหดร้ายของสำนักใหญ่ทั้งหลาย มันไม่บริสุทธิ์ เต็มไปด้วยความโลภที่น่ารังเกียจ วันหนึ่งพวกเขาจะต้องเสียใจ”
เขาเก็บดาบและปัดฝุ่นบนเสื้อ
“เมื่อเทียบกับสงครามครั้งนั้น การต่อสู้พวกนี้ช่างเหลวไหล”
จี๋โม่ฮวาเสวี่ยมองเขา
“ข้าไม่เคยร่วมสงครามนั้น ได้ยินแค่บิดาพูดถึงบางครั้ง และเขามักปิดบังรายละเอียดเสมอ”
ชายถือดาบพยักหน้า
“ข้าร่วมสงครามนั้น ตอนนั้นข้ายังไม่ได้เป็นผู้ครองเมืองมาร แต่เข้าร่วมเพราะชื่นชมซูหาน พวกเราร่วมทางไปกันเกือบพันคน แต่กลับมาได้แค่ไม่ถึงร้อย หากไม่ได้เซียนปราชญ์และเซียนเต๋าช่วยไว้ เราอาจไม่มีใครรอดกลับมาเลย”
จี๋โม่ฮวาเสวี่ยกล่าวอย่างระมัดระวัง
“ข้าไม่ถามแล้ว แต่ข้าขอถามแทนศิษย์น้องแห่งหอหยก ว่าสงครามนั้นพวกเจ้าไปเพื่อปราบลัทธิมรรคาสวรรค์จริงหรือ?”
ชายถือดาบหัวเราะพลางยกนิ้วโป้งขึ้น
“หนานกงอวิ๋นฮั่วคือวีรบุรุษในใจของข้า แม้เปรียบกับซูหานก็ไม่น้อยหน้า!”
จี๋โม่ฮวาเสวี่ย พยักหน้าเบาๆ
“ข้าเข้าใจแล้ว”
นางหันไปมองทางสำนักเมฆาสางสวรรค์ด้วยความลังเลว่าจะไปพบเหล่าศิษย์จากสำนักศึกษาดีหรือไม่ หากตามนิสัยของนาง แม้แต่เมืองจี๋โม่นางยังไม่อยากก้าวออกไปจากเขตแดน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเข้าร่วมความขัดแย้งในยุทธภพ แต่หลังจากฟังคำพูดของเจ้าเมืองมาร นางไม่อาจวางใจได้
“เจ้ามีฝีมือ เป็นเซียนกระบี่ที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์เมืองจี๋โม่ แต่ตอนนี้เมืองจี๋โม่ยังอ่อนแอ หากเจ้าไป เมืองจี๋โม่ก็จะถูกดึงเข้าไปในความวุ่นวายนี้ด้วย ซึ่งในตอนนี้ไม่ใช่แผนที่ดีที่สุด” ชายถือดาบลุกขึ้นและเริ่มเดินลงจากเขา
“อย่ากังวล ข้าเคยเห็นเด็กแซ่ซูคนนั้น ข้าว่าเขาต้องไม่เป็นอะไร เขาจะนำพาเหล่าเด็กๆ เหล่านั้นไปสู่เส้นทางที่ดี ข้ามีวิชาดูชะตาที่แม่นยำมาก”
จี๋โม่ฮวาเสวี่ยหัวเราะเบาๆ ไม่พูดอะไร
ชายถือดาบเดินต่อไปพร้อมเสียงที่แผ่วลง
“อ่า แต่เคยผิดครั้งหนึ่ง ตอนเจอเจ้าครั้งแรก ข้าบอกว่าเจ้าจะต้องหลงรักข้า แต่ครั้งนั้นข้าดูผิดไป”
จี๋โม่ฮวาเสวี่ยยังคงนิ่งเงียบ นางหันไปมองสำนักเมฆาสางสวรรค์เป็นครั้งสุดท้าย จากนั้นจึงแตะปลายเท้ากระโดดลอยตัวผ่านชายถือดาบไป มุ่งหน้าลงเขาไปยังที่ไกลโพ้น
ชายถือดาบหัวเราะขณะเร่งฝีเท้า
“ข้ามีลางสังหรณ์ว่า ข้ากับเด็กๆ พวกนั้นจะได้พบกันในเร็วๆ นี้ และเราสองคน... สักวันหนึ่งจะต้องได้ครองคู่กัน”
ทะเลสาบน้ำมรกต
ชายหนุ่มในชุดขาวก้าวเดินบนผิวน้ำราวกับเดินบนพื้นดิน แสงจันทร์สาดส่องตัวเขาในท่าทางสง่างาม ทว่า... ทุกย่างก้าวที่เขาเดิน รูปร่างของเขากลับเล็กลงเรื่อยๆ ใบหน้าก็ดูเยาว์วัยขึ้น จนเมื่อเดินข้ามทะเลสาบน้ำมรกตไปถึงฝั่ง ร่างของเขาก็เล็กลงจนชุดขาวที่เคยพอดีกลับหลวมจนลากพื้น
เด็กชายหน้าตาประมาณสิบสามถึงสิบสี่ปี หันไปมองเงาสะท้อนในน้ำพร้อมรอยยิ้มขมขื่น
“การต่อสู้สามวันสามคืน ทำให้ข้าหนุ่มขึ้นสามปีอย่างนั้นหรือ?”
อีกฝั่งของทะเลสาบ ชายร่างผอมบางหยิบหมวกไม้ไผ่ขึ้นมาใส่บนศีรษะ เขาจ้องมองร่างที่เล็กลงจนดูเหมือนเด็ก พร้อมกับไอออกมาอย่างหนัก
“รวิสุทธิ์เซียน ชื่อเสียงที่ลือเลื่องนั้นมิได้เกินจริง”
เด็กชายเงยหน้าขึ้น มองข้ามทะเลสาบไปยังชายสวมหมวกไม้ไผ่ คิ้วขมวดเล็กน้อย
“หัตถ์สวรรค์แห่งซ่างหลินไป๋จี๋เล่อ ความแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าหนิงชิงเฉิงในอดีตเลย”
ไป๋จี๋เล่อ ย่อตัวคารวะเบาๆ
“ยินดีที่ได้พบ รวิสุทธิ์เซียน”
เด็กชายหันหลังเดินจากไปพร้อมเร่งฝีเท้า พลางพึมพำกับตัวเอง
“ศิษย์ของข้า... ร่างที่ใกล้ตายของอาจารย์คงช่วยพวกเจ้าได้เพียงเท่านี้”