บทที่ 73 หยกเย็น
“เล่นหรือ?” ซูไป๋อีเอ่ยด้วยความสงสัย
เฟิงหว่านเอ๋อร์กลับหลับตาลงแล้วกล่าวอย่างสบายอารมณ์ “เจ้ามาเถิด ข้าพร้อมแล้ว”
ซูไป๋อีเพิ่งจะเข้าใจว่าเฟิงหว่านเอ๋อร์หมายถึงอะไร ใบหน้าของเขาแดงเรื่อขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะประสานมือคารวะพลางกล่าว
“ข้าขอลา ท่านป้า!”
พูดจบ เขาหันหลังเดินไปยังประตูและเปิดออก แต่ทันทีที่บานประตูแง้มออก กลับมีแรงกดดันบางอย่างผลักบานประตูกลับปิดลง
ซูไป๋อีหันไปมองอย่างตกใจ และพบว่าเฟิงหว่านเอ๋อร์เพียงสะบัดแขนเสื้อเบาๆ ดวงตาเปี่ยมด้วยความเสียดาย
“ข้ามีใจ แต่เจ้ากลับไร้ใจ ช่างทำลายบรรยากาศเสียจริง” เฟิงหว่านเอ๋อร์ส่ายศีรษะเบาๆ
ซูไป๋อีรีบเอื้อมมือไปยังกระบี่ที่เอว แต่กลับสัมผัสได้เพียงความว่างเปล่า กระบี่คำกล่าววีรชนที่เคยอยู่บัดนี้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เฟิงหว่านเอ๋อร์ยกมือขึ้น เผยให้เห็นกระบี่คำกล่าววีรชนในมือของนาง นางถอนหายใจ
“ในเมื่อข้าไม่เคยลืมเขา ข้าย่อมจำกระบี่ของเขาได้ ศิษย์ผู้สืบทอดกระบี่คำกล่าววีรชน จะอ่อนแอเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“ที่แท้ท่านป้าแสร้งทำมาตลอด” ซูไป๋อีรู้สึกเย็นเยียบไปทั้งแผ่นหลัง
“ข้ามิได้เสแสร้ง ข้าชอบเจ้าจริงๆ” เฟิงหว่านเอ๋อร์กระโดดพุ่งมายืนตรงหน้าซูไป๋อี
ซูไป๋อีพยายามจะหนี แต่กลับถูกเฟิงหว่านเอ๋อร์ใช้ปลายฝักกระบี่จี้สกัดจุดที่บ่า จากนั้นดึงร่างของเขาลอยไปกระแทกกับบนเตียง ก่อนที่นางจะขึ้นไปยืนคร่อมพลางชักกระบี่คำกล่าววีรชนออกมาชี้ไปยังซูไป๋อีที่ไม่อาจขยับตัวได้
“เสียดายที่เจ้าไม่ได้ชอบข้า”
ซูไป๋อีเหงื่อไหลท่วมร่าง รีบร้องถาม
“ท่านป้าต้องการอะไรกันแน่!”
“ในเมื่อเจ้ามิได้ชอบข้า ข้าก็ไม่อยากให้เจ้าชอบใครอื่น” เฟิงหว่านเอ๋อร์ยิ้มเย็น กระบี่ในมือนางค่อยๆ เลื่อนต่ำลง
“เจ้าคิดว่า หากข้าเฉือนมันทิ้งไป เจ้าจะยังมีใจรักใครอีกหรือไม่?”
ซูไป๋อีรีบร้องออกมา
“ท่านป้า! ข้ารักท่าน! ท่านจะให้ข้าทำอะไรก็ได้ เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ ท่านแกล้งทำเป็นถูกข้าจี้จุด หลับตา แล้วเราจะลองกันใหม่อีกครั้ง!”
เฟิงหว่านเอ๋อร์ชะงักไป ก่อนจะหัวเราะออกมา
“เจ้าเป็นศิษย์ของเขาจริงๆ หรือ? เขาเป็นบุรุษผู้สง่างามอย่างยิ่ง เหตุใดถึงได้สั่งสอนศิษย์ออกมาไร้ยางอายเช่นเจ้า?”
“ทุกคนล้วนถูกลวงด้วยรูปลักษณ์ภายนอกของอาจารย์ข้า หากพูดถึงความไร้ยางอาย ข้ายังเรียนรู้มาเพียงผิวเผินเท่านั้น!” ซูไป๋อีรีบอธิบาย
เฟิงหว่านเอ๋อร์ถอนหายใจ ก่อนจะยกกระบี่ขึ้น
“โปรดไว้ชีวิตข้าเถิด ท่านป้า!” เสียงของซูไป๋อีแทบจะเป็นเสียงสะอื้น
ทันใดนั้น เสียงที่แฝงไว้ด้วยความอ่อนล้าก็ดังขึ้น
“หว่านเอ๋อร์ เลิกเล่นได้แล้ว”
เฟิงหว่านเอ๋อร์ลดกระบี่ลง สะบัดไหล่เบาๆ
“เจ้ารู้หรือไม่ว่า การที่เจ้ามาหลบซ่อนที่นี่ถึงสามเดือน ทำให้ข้าไม่สามารถพาชายหนุ่มรูปงามกลับมาได้เลย วันนี้ข้าได้พบสักคน เจ้าก็ไม่ยอมให้ข้าเล่นอีก”
ซูไป๋อีถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขากวาดตามองไปรอบๆ ห้อง แต่กลับไม่พบใคร จึงรีบกล่าวออกมา
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยชีวิตข้า”
“ในที่สุดเราก็ได้พบกัน แม้ว่าเจ้าจะไม่เหมือนกับที่ข้าคาดไว้เลย” เสียงนั้นยังคงอ่อนล้า ทุกคำพูดเหมือนเปี่ยมด้วยความยากลำบาก
“ท่านรู้จักข้าด้วยหรือ?” ซูไป๋อีถามด้วยความประหลาดใจ “เหตุใดจึงกล่าวว่าไม่เหมือน?”
“เจ้าอ่อนแอเกินไป”
เฟิงหว่านเอ๋อร์เก็บกระบี่คำกล่าววีรชนและคลายจุดของซูไป๋อี ก่อนจะส่งคืนกระบี่ให้เขา
ซูไป๋อีรับกระบี่คืนมา รีบถอยไปยืนชิดประตู มือหนึ่งจับกระบี่ไว้แน่น
“เมื่อครู่ ท่านป้าลอบจู่โจมข้า หากข้าจับกระบี่ได้ทัน ใครจะแพ้ใครชนะก็ยังไม่แน่!”
“โอ้? เช่นนั้นเจ้าก็ลองดูอีกครั้งสิ…” เฟิงหว่านเอ๋อร์ยิ้มเยาะ
“ท่านป้า ล่วงเกินแล้ว!”
ยังไม่ทันที่เฟิงหว่านเอ๋อร์จะพูดจบ ซูไป๋อีก็กระโดดพุ่งไปข้างหน้า กระบี่คำกล่าววีรชนถูกชักออกจากฝักในพริบตา เฟิงหว่านเอ๋อร์ขมวดคิ้วเตรียมโต้ตอบ แต่ในขณะนั้นร่างหนึ่งปรากฏขึ้นขวางหน้าของนาง
ชายผู้นั้นยื่นสองนิ้วหนีบปลายกระบี่ของซูไป๋อีไว้แน่น พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น
“วิชาชักกระบี่…ไม่เลว”
ซูไป๋อีพยายามผลักกระบี่ไปข้างหน้า แต่กระบี่กลับไม่ขยับแม้แต่น้อย เขาจึงลองดึงกลับ แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหน กระบี่ก็ยังคงนิ่งสนิท
“ท่านเป็นใคร? เหตุใดจึงพาข้ามาที่นี่?” ซูไป๋อีถามด้วยความกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ชายคนนั้นยิ้มเย็นพลางถามกลับ
“ข้าควรเป็นฝ่ายถามเจ้า ศิษย์ของเซี่ยคั่นฮวาบุกมาที่เมฆาสางสวรรค์ของข้าด้วยเหตุใด?”
จากนั้นเขาเพียงดีดปลายกระบี่เบาๆ ร่างของซูไป๋อีก็ถูกดีดถอยกลับไป ซูไป๋อีตั้งตัวได้ทันก่อนจะมองชายตรงหน้าด้วยความสงสัย ชายผู้นั้นมีหน้าตาหล่อเหลา แต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหรา อายุใกล้เคียงกับเซี่ยคั่นฮวา ร่างสูงใหญ่ แต่ใบหน้าซีดเผือดปราศจากเลือดฝาด
ซูไป๋อีมองอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
“ท่านคือตาเฒ่าบิดาของเฟิงจั่วจวินใช่หรือไม่?”
ชายผู้นั้นยิ้มบางๆ ก่อนจะตอบ
“บิดาก็คือบิดา ไม่ต้องเติมคำว่าตาเฒ่า เรียกข้าว่า เฟิงอวี่หาน เจ้าสำนักใหญ่แห่งเมฆาสางสวรรค์”
พูดจบ เฟิงอวี่หานก็ไอเบาๆ
“มิใช่ว่าท่านหายตัวไปแล้วหรือ?” ซูไป๋อีถามด้วยความฉงน
“หากข้ามิได้หายตัวไป เราก็คงไม่ได้พบกันที่นี่” เฟิงอวี่หานหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนย้อนถาม
“เจ้ารู้จักบุตรชายข้าหรือ?”
“ศิษย์พี่เฟิงเป็นศิษย์ร่วมสำนักของข้า เขาเข้าสำนักก่อนข้ามานานแล้ว ข้าเรียกเขาว่าศิษย์พี่” ซูไป๋อีตอบด้วยความเคารพ
“แต่ข้ากลับสงสัย ท่านรู้จักข้าได้อย่างไร หรือว่าท่านมีจดหมายติดต่อกับอาจารย์ข้าบ่อยครั้ง และคอยติดตามดูการเติบโตของข้ามาโดยตลอด?”
เฟิงอวี่หานส่ายหัว
“สามปีก่อน ข้าได้ยินเรื่องของเจ้าจากเซียนปราชญ์ ก่อนหน้านั้น ข้าเองก็คิดว่าเซี่ยคั่นฮวาตายไปแล้ว เรื่องราวมันยาวนัก เอาเป็นว่า…เจ้ามาที่เมฆาสางสวรรค์ด้วยเหตุใด?”
“เขามากับคุณชายสามแห่งตระกูลเซี่ย” เฟิงหว่านเอ๋อร์เดินเข้ามาพลางกล่าว
“ข้าคิดว่าเซี่ยคั่นฮวาอาจเป็นคนส่งพวกเขามา บางทีเซี่ยคั่นฮวาอาจอยู่ในรถม้าคันนั้น หากเป็นเช่นนั้น เรื่องนี้อาจมีทางออก”
ซูไป๋อีส่ายหัว
“อาจารย์ข้าถูกสำนักสวรรค์ซ่างหลินพาตัวไป เขาไม่ได้มาด้วย ผู้ที่พาข้ามาคือศิษย์พี่เฟิง ซึ่งอยู่ในรถม้าคันนั้น”
เฟิงอวี่หานตกใจ
“อะไรนะ! เขากลับมาที่นี่หรือ?”
“เกิดเรื่องใหญ่ในบ้าน บิดาเขาหายตัวไป เขาย่อมต้องกลับมา ท่านแปลกใจสิ่งใด?” ซูไป๋อีถามด้วยความงุนงง
“ไม่ได้! พวกเจ้าต้องรีบออกจากที่นี่” เฟิงอวี่หานส่ายศีรษะ
“เขากลับมาจะมีประโยชน์อะไร? ตอนเขาอยู่ที่สำนักศึกษา พวกมันยังไม่กล้าลงมือ แต่ตอนนี้เขากลับมาที่ภูเขาเอง เท่ากับเอาตัวไปติดบ่วง!”
“พวกเรามากันสี่คน ศิษย์พี่เฟิง ศิษย์พี่เซี่ย หรือคุณชายสามแห่งตระกูลเซี่ย เซี่ยอวี่หลิง และศิษย์พี่หญิงซึ่งเป็นศิษย์คนสนิทของเซียนปราชญ์ กับทายาทเพลงกระบี่ของหนานอวี้โหลว นามว่า หนานกงซีเอ๋อร์!” ซูไป๋อีอธิบาย
“พวกเด็กๆ อย่างพวกเจ้า อย่าได้เอาชีวิตไปทิ้ง รีบลงจากเขาเสีย!” เฟิงอวี่หานหันไปบอกเฟิงหว่านเอ๋อร์
“ในเมื่อไม่ใช่เซี่ยคั่นฮวา ก็ส่งพวกเขาลงเขาไปเร็วเข้า”
ซูไป๋อียิ้มบางๆ
“ท่านเจ้าสำนัก ท่านดูถูกพวกเรามากเกินไปแล้ว และในกลุ่มเรายังมีข้าอยู่ด้วย”
เขาหยุดชั่วครู่ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงภูมิใจ
“ศิษย์สืบทอดแห่งคัมภีร์เซียน!”