ตอนที่แล้วบทที่ 70 เสน่ห์อันเย้ายวน
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 72 การหายตัวไป

บทที่ 71 เมฆบนเขา


หลังจากที่ซูไป๋อีพูดจบว่าเขาไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับเซี่ยคั่นฮวาเลยแม้แต่น้อย สีหน้าของเฟิงหว่านเอ๋อร์ดูเหมือนจะผิดหวัง

นางหาวออกมาเบาๆ ก่อนจะเอนกายลงนอนบนเก้าอี้นุ่ม มือของนางกลับไม่ได้อยู่นิ่ง ลูบไปที่ต้นขาของซูไป๋อีแล้วเอ่ยขึ้นว่า

“เมื่อปีนั้น หลังข้าได้พบกับชายหนุ่มนามเซี่ยคั่นฮวา ก็รู้สึกว่าผู้ชายที่เหลือ ล้วนเป็นเพียงเปลือกนอกไร้แก่นสาร ไม่มีความน่าสนใจแม้แต่น้อย”

ร่างกายของซูไป๋อีแข็งทื่อ ตอบรับอย่างกระอักกระอ่วนว่า

“แน่นอน แน่นอน จะเปรียบเทียบคนธรรมดาในยุทธภพกับคุณชายตระกูลเซี่ยที่เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ที่สุดในรอบหนึ่งร้อยปีได้อย่างไร!”

“แต่ข้าได้ยินว่า เขาถูกขับไล่ออกจากตระกูลเซี่ย คนของตระกูลเซี่ยไม่ยอมรับเขาอีกแล้ว” เฟิงหว่านเอ๋อร์หลับตาลงเล็กน้อย เสียงของนางเจือแววเสียดาย

“หลังจากนั้น ข้าก็ไม่ได้พบเขาอีกเลย”

“ถ้าท่านป้าชื่นชอบเซี่ยคั่นฮวา แล้วเหตุใดไม่ตามหาเขาเล่า?” ซูไป๋อีถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“ความเลื่อมใสกับความชอบมันต่างกัน” เฟิงหว่านเอ๋อร์เอื้อมมือโอบซูไป๋อีไว้ ดึงเขาเข้ามาในอ้อมกอด ก่อนจะจูบเบาๆ บนหน้าผากของเขา

“ป้าชอบเจ้าต่างหาก”

ซูไป๋อีไม่ทันตั้งตัวถึงกับนิ่งงันไปในทันที เฟิงหว่านเอ๋อร์กดหัวของเขาแนบกับอกของนาง ก่อนจะหลับตาและผล็อยหลับไป

ซูไป๋อีไม่กล้าขยับตัว รออยู่ชั่วครู่จึงพบว่าลมหายใจของเฟิงหว่านเอ๋อร์ค่อยๆ สม่ำเสมอ นางหลับสนิทไปแล้ว

รถม้าแล่นไปประมาณหนึ่งชั่วยามจนมาถึงหน้าประตูเขตภูเขา บริเวณนั้นปกคลุมด้วยหมอกขาวหนาทึบ รายล้อมด้วยต้นไม้อันเขียวชอุ่ม รอบๆ มีเรือนขนาดเล็กตั้งกระจายอยู่ในหุบเขาอย่างไม่เป็นระเบียบ

นอกประตูเขา มีศิษย์สิบกว่าคนยืนเฝ้าอยู่

“สำนักเมฆาสางสวรรค์ ไม่เหมือนสำนักอื่น เรือนแต่ละหลังในสำนักนี้กระจายตัวอยู่ตามพื้นที่ในหุบเขา ไม่มีประตูหลักอย่างเป็นทางการ” เฟิงจั่วจวินมองออกไปนอกหน้าต่างรถม้าพลางเอ่ยเบาๆ

“การที่มีศิษย์เฝ้าอยู่มากมายเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องปกติ”

“ลำบากมากแค่ไหน?” เซี่ยอวี่หลิงถามขึ้น

“นั่นขึ้นอยู่กับว่าอารองรักซูไป๋อีมากแค่ไหน” เฟิงจั่วจวินยกมือกุมหน้าผาก เอ่ยพลางถอนใจ

เมื่อรถม้าของเฟิงหว่านเอ๋อร์มาถึงหน้าประตู ศิษย์เหล่านั้นต่างรีบโค้งคำนับพร้อมกล่าวว่า “ท่านป้ากลับมาแล้ว!”

เฟิงหว่านเอ๋อร์ตื่นขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเสียง นางลืมตาขึ้นมองซูไป๋อีที่ยังคงนอนในอ้อมกอดของนางในท่าเดิมเหมือนหนึ่งชั่วยามก่อน นางยิ้มออกมาเบาๆ อย่างอ่อนโยน ก่อนจะปล่อยมือออก

ซูไป๋อีรีบพลิกตัวลุกขึ้นนั่งข้างๆ นางสีหน้ากลับมาเป็นจริงจัง

“คนที่อยู่ในรถม้าคันหลัง คือคุณชายสามแห่งตระกูลเซี่ยมาร่วมพิธี” เฟิงหว่านเอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย

“ตระกูลเซี่ยแห่งเจียงหนาน? เดินทางมาจากที่ไกลถึงเพียงนั้น?” ศิษย์ที่เป็นหัวหน้าถามด้วยความประหลาดใจ “แต่ครั้งนี้เราเชิญแขกเพียงในเขตแดนต้าเจ๋อเท่านั้น…”

“ข้าเป็นคนเชิญเขามา ร่วมพิธีเป็นเพียงข้ออ้าง เขาเป็นสหายของข้าเอง หรือว่าข้าในฐานะผู้ดูแลเรือนรอง ไม่มีสิทธิ์เชิญแขกมาบ้านของข้า?” น้ำเสียงของเฟิงหว่านเอ๋อร์เปลี่ยนไปเป็นเย็นเยียบ

หัวหน้าศิษย์ก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว “ศิษย์มิกล้า เพียงแต่ช่วงนี้ใกล้พิธีสำคัญ ศิษย์มีหน้าที่ตรวจตราจึงอาจพูดเกินไปเล็กน้อย แต่แขกของท่านป้าย่อมสามารถเข้าเรือนหลักได้ ส่วนจะร่วมพิธีได้หรือไม่นั้น คงต้องให้หัวหน้าใหญ่ตัดสิน”

“ถอยไป” เฟิงหว่านเอ๋อร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงรำคาญ

“รับทราบ” หัวหน้าศิษย์หันไปพยักหน้าให้ศิษย์คนอื่น “ตรวจสอบรถม้า”

“ตรวจสอบ?” เฟิงหว่านเอ๋อร์ถามขึ้น

หัวหน้าศิษย์รีบอธิบาย “รถของท่านป้าไม่จำเป็นต้องตรวจสอบ แต่รถของคุณชายตระกูลเซี่ย…”

“ช่างน่าขันนัก” เฟิงหว่านเอ๋อร์จูงมือซูไป๋อี เปิดผ้าม่านรถม้าเดินลงมา

“รถของพวกเขาข้าตรวจสอบแล้ว ภายในมีเพียงสามคน คุณชายสามแห่งตระกูลเซี่ย เด็กหนุ่มคนรับใช้ และสาวใช้คนหนึ่ง ส่วนเด็กหนุ่ม ข้าได้เก็บมาไว้แล้ว”

ขณะที่นั่งอยู่ในรถม้า เซี่ยอวี่หลิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงติดจะประชดประชันว่า

“ท่านป้าเฟิงลงมือแย่งเด็กหนุ่มคนรับใช้ที่ข้ารักมากที่สุดไปทันที ช่างใจร้ายนัก แต่ถึงอย่างไร อีกไม่กี่วัน เด็กหนุ่มคนนี้ข้าก็ต้องได้คืน”

หนานกงซีเอ๋อร์แค่นเสียงเย็นชา ก่อนจะกระซิบว่า “หยาบคาย!”

หัวหน้าศิษย์ที่เฝ้าประตูพลันเข้าใจความเป็นไปของเรื่องราวทันที ก็เพราะผู้ดูแลเรือนรองคนนี้มีชื่อเสียงด้านความเจ้าชู้ ได้จับเด็กหนุ่มหน้าตาดีของผู้อื่นมาอย่างหน้าตาเฉย ฝ่ายนั้นคงไม่ยอมปล่อยผ่าน จึงตามมาทวงคืน

เรื่องเช่นนี้ ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้น ผู้ดูแลเรือนรองผู้นี้ปกติใจดียิ้มแย้ม แต่ในเรื่องเช่นนี้ กลับยึดมั่นแน่วแน่ ไม่เว้นแม้แต่ญาติพี่น้องก็ไม่ยอมอ่อนข้อ

หัวหน้าศิษย์พยักหน้าให้ลูกน้องก่อนจะหลีกทางเปิดเส้นทางให้รถม้าผ่านไป

ในรถม้า เฟิงจั่วจวินถอนหายใจยาว พลางกล่าวขึ้นว่า

“ดูเหมือนอารองของข้าจะมีความรักต่อซูไป๋อีอยู่บ้าง”

หนานกงซีเอ๋อร์ขี่ม้าไปข้างหน้า ก่อนหันกลับมาตะโกนว่า

“เฟิงจั่วจวิน เจ้าเข้าสู่เขตแดนตัวเอง แล้วใจกล้าขึ้นมากระนั้นหรือ?”

เฟิงจั่วจวินแสดงสีหน้างุนงง ถามกลับด้วยความสงสัย

“ศิษย์พี่หมายความว่าอย่างไร? หรือเป็นเพราะให้ศิษย์พี่เทียมรถม้า? ก็เพราะซูไป๋อีถูกจับไป เซี่ยอวี่หลิงต้องรักษามาดคุณชาย ส่วนข้าก็ไม่อาจปรากฏตัวได้ จึงต้องรบกวนศิษย์พี่ไงเล่า…”

หนานกงซีเอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ให้ข้าเทียมรถม้าไม่ใช่ปัญหา แต่เจ้าจะเลิกพูดเรื่องซูไป๋อีกับอารองของเจ้าได้หรือไม่?”

เฟิงจั่วจวินตกใจ ดวงตาเบิกกว้าง

“หรือว่า…ศิษย์พี่ ท่านกับซูไป๋อี…ไม่ ไม่ ไม่! ไอ้เด็กโง่นั่นไม่มีทางคู่ควรกับท่าน ข้าไม่ยอมรับ!”

“ย้าห์!”

หนานกงซีเอ๋อร์สะบัดเชือกบังเหียนม้า กระโดดเข้ามาในรถ กดเฟิงจั่วจวินลงกับพื้น ก่อนจะปล่อยหมัดซัดใส่ไม่ยั้ง

“ตอนที่ข้ารับเจ้าเป็นน้อง ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะพูดมากเช่นนี้!”

“โอ๊ย โอ๊ย เจ็บ! ศิษย์พี่ นี่ท่านกำลังอับอายจนโกรธใช่หรือไม่? การอับอายจนโกรธก็คือการยอมรับ! ข้าคิดไม่ถึงเลย ข้าอยากรู้จริงๆ ว่าตลอดทางที่ผ่านมาพวกท่านไปทำอะไรกันมาบ้าง?”

เสียงวุ่นวายจากรถม้าด้านหลังดังจนซูไป๋อีที่อยู่ในรถม้าคันหน้าอดไม่ได้ที่จะยื่นหัวออกไปดู เขาพบว่าบริเวณที่นั่งสารถีไร้ผู้คน ส่วนตัวรถม้าด้านหลังก็สั่นไหวอย่างแปลกประหลาด

“พวกเขากำลังทำอะไรกัน?” ซูไป๋อีพึมพำด้วยความฉงน

เฟิงหว่านเอ๋อร์เอื้อมมือดึงซูไป๋อีเข้ามาในรถม้าด้วยรอยยิ้ม

“พวกเราก็ทำแบบเดียวกันได้นะ…”

ที่ยอดเขาหมอกขาวไกลออกไป ชายผู้หนึ่งยืนมองสองรถม้าด้านล่างด้วยรอยยิ้ม เขาก้มหน้าถามเบาๆ

“หว่านเอ๋อร์กลับมาแล้ว คนที่ตามมาด้านหลังคือใคร?”

ศิษย์คนหนึ่งก้าวเข้ามารายงาน

“เรียนท่านรองเจ้าสำนัก ครั้งนี้ท่านป้าลงจากเขา พาชายรูปงามกลับมาด้วยอีกคน เป็นเด็กหนุ่มรับใช้จากตระกูลเซี่ยแห่งเจียงหนาน!”

“ตระกูลเซี่ยแห่งเจียงหนาน?” ชายผู้ถูกเรียกว่ารองเจ้าสำนัก ลูบเคราตัวเองก่อนจะกล่าว

“ดูเหมือนน้องสาวของข้า จะมีรสนิยมสูงขึ้นเรื่อยๆ”

“ท่านต้องการให้ส่งคนตามดูหรือไม่?” ศิษย์ถามต่อ

“ไม่จำเป็นหรอก หลายปีมานี้ น้องสาวของข้ายังไม่ยอมโต นางอยากทำอะไร ก็ปล่อยให้นางทำไปเถิด อย่างไรเสียพิธีใหญ่ครั้งนี้ ก็ไม่มีใครขวางข้าได้อยู่แล้ว!”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด