บทที่ 70 เสน่ห์อันเย้ายวน
“หา?”
ทุกคนในที่นั้นต่างตกตะลึงจนพูดไม่ออก ยกเว้นเพียงเฟิงจั่วจวินที่นั่งอยู่ในรถม้า เขาปิดปากกลั้นเสียงหัวเราะไว้แทบไม่ไหว
“ทำไมเล่า? น้องชาย เจ้ารังเกียจหรือ?” เฟิงหว่านเอ๋อร์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“ขะ..ข้า…” ซูไป๋อีถึงกับอ้ำอึ้ง
แม้เขาจะเติบโตในหมู่บ้านดอกท้อและเข้าใจโลกภายนอกดีกว่าศิษย์จากตระกูลใหญ่ทั้งหลาย แต่การถูกหยอกล้อเช่นนี้ต่อหน้าธารกำนัล เขาก็ยังไม่เคยเจอมาก่อน
“ไป๋อีเป็นเพียงบ่าวของข้า เราเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก…” เซี่ยอวี่หลิงก้มหน้ากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ
“เจ้าก็บอกเอง เขาเติบโตขึ้นมาแล้ว สักวันย่อมต้องจากเจ้าไป” เฟิงหว่านเอ๋อร์เอ่ยพลางส่งสายตาเย้ายวนมาทางซูไป๋อี
“เขาอาจเป็นบ่าว แต่ก็สมควรมีชีวิตเป็นของตัวเอง แน่นอน หากเขามีคนในใจอยู่แล้ว เช่นน้องสาวผู้น่ารักคนนี้ ข้าก็จะไม่พูดอะไรอีก แต่หากยังไม่มี ไฉนไม่มาพูดคุยกับข้าในรถม้าของข้าบ้าง? วันใดอยากกลับไปหาคุณชายสามเซี่ย ก็ย่อมกลับไปได้”
“เรียกว่าน้องสาวเกรงจะไม่เหมาะนัก” หนานกงซีเอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“สามผู้นำสกุลเฟิงเป็นรุ่นเดียวกับผู้นำสกุลเซี่ย พวกเราควรเรียกท่านว่าท่านป้า”
“อุ๊ย กล่าวเช่นนี้จะว่าข้าแก่หรือ?” เฟิงหว่านเอ๋อร์ยังคงยิ้ม “แต่ชายบางคนกลับชอบผู้หญิงเช่นข้านะ หญิงที่อายุมากหน่อยย่อมเข้าใจผู้ชายได้มากกว่า เจ้าว่าจริงหรือไม่ ซูซูน้อย?”
ซูไป๋อีสะดุ้งรีบส่ายหน้า “ขะขะขะ…ข้าไม่รู้ มะมะ..ไม่เข้าใจ!”
“เจ้าอึกอักอะไร? เจ้าเขินอะไร? เจ้าหน้าแดงทำไม? หรือเจ้าชอบจริงๆ?” หนานกงซีเอ๋อร์จ้องซูไป๋อีอย่างคาดคั้น
“คือข้า…” ซูไป๋อีพยายามอธิบาย
เฟิงจั่วจวินกระซิบข้างหูเขา “ไปกับท่านป้าข้าเช่นนี้ เราจะสามารถเข้าไปในสกุลเฟิงได้อย่างไม่มีปัญหา”
“ข้าชอบ!” ซูไป๋อีตอบเสียงดังทันที
หนานกงซีเอ๋อร์เบ้ปาก “บัดสี!”
“ศิษย์พี่หญิง การณ์ใหญ่ย่อมสำคัญกว่า!” เฟิงจั่วจวินรีบจับมือหนานกงซีเอ๋อร์ไม่ให้เคลื่อนไหว
เฟิงหว่านเอ๋อร์ส่งสายตาให้ซูไป๋อีเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะยิ้ม “แล้วท่านป้าจะรอเจ้า” นางกล่าวพร้อมก้าวขึ้นรถม้ากลับไป
เฟิงจั่วจวินหัวเราะ “อารองข้าปีนี้สามสิบห้าแล้ว แต่ยังเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของสกุลเฟิง ตั้งแต่สาวๆ ก็มีคุณชายจากตระกูลใหญ่มากมายมาสู่ขอ แม้กระทั่งตอนนี้ บรรดาเจ้าสำนักหลายคนยังอยากสานต่อสายสัมพันธ์กับนาง เจ้าไม่เสียเปรียบแน่นอน ท่านอาเขยซูของข้า!”
“ศิษย์พี่หญิง…” ซูไป๋อีมองหนานกงซีเอ๋อร์อย่างจนปัญญา
“คำนึงถึงการณ์ใหญ่ก่อนเถิด” หนานกงซีเอ๋อร์กัดฟันกล่าว
เซี่ยอวี่หลิงกล่าวเสียงเรียบ “หากนางไม่ปฏิเสธข้า ข้าก็ยินดีเสียสละตนเองเพื่อส่วนรวม”
ซูไป๋อีมองเขา “ท่านเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ”
“ข้าพูดจากใจจริง” เซี่ยอวี่หลิงยังคงสงบ
“ท่านเปลี่ยนเป็นไร้ยางอายแล้ว” ซูไป๋อีถอนหายใจก่อนจะลุกขึ้น
หนานกงซีเอ๋อร์จ้องเขาเขม็ง “ปากเจ้าปฏิเสธทำเหมือนไม่อยากไป แต่ใจจริง กลับกระหายอยากจนตัวสั่นเลยกระมัง!”
ซูไป๋อียกเท้าขึ้น แต่แล้วกลับลดลงมาอีกครั้ง
ต้องยอมรับว่าในตอนนี้จิตใจของเขานั้นปั่นป่วนไปหมด นอกจากความตื่นเต้นและความละอายแล้ว ยังมีความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างที่เขาไม่เคยประสบมาก่อน ตั้งแต่เด็กเขาเติบโตมาพร้อมกับการศึกษาคัมภีร์ของวีรชน เขามั่นใจว่าตนมีจิตใจมั่นคง แต่เพียงแค่สายตาของเฟิงหว่านเอ๋อร์ที่มองเขาเมื่อครู่ กลับทำให้หัวใจของเขาเต้นระรัว
ทว่าคำพูดของหนานกงซีเอ๋อร์เหมือนปลุกเขาให้ตื่นจากมนต์สะกด
เขาพึมพำ “ใช่แล้ว ท่านป้าเฟิงต้องมีวิชาเสน่ห์อาคมเป็นแน่!”
“ไปให้พ้น!” หนานกงซีเอ๋อร์ลุกขึ้นทันทีและเตะเขาอย่างแรง
ซูไป๋อีร่างพุ่งออกจากรถม้าของตนเองและลอยไปตกในอ้อมกอดของเฟิงหว่านเอ๋อร์พอดิบพอดี
เฟิงหว่านเอ๋อร์ไม่ได้สะดุ้งหรือแปลกใจ นางโอบเขาไว้แน่นพลางลูบศีรษะเขา “ซูซูน้อย เจ้ารีบมาขนาดนี้เชียวหรือ?”
ซูไป๋อีซบอยู่ในอ้อมกอดของนาง กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยมาปะทะจมูก ความอบอุ่นและอ่อนนุ่มของเรือนกายนางทำให้สมองเขาว่างเปล่าในทันที
เฟิงหว่านเอ๋อร์มองดูซูไป๋อี หนุ่มน้อยรูปงามที่หน้าขึ้นสีแดงก่ำ ยืนนิ่งดุจรูปปั้น นางยิ่งเห็นว่าน่ารักน่าเอ็นดู แม้คิดจะทำอะไรบางอย่างต่อ แต่ครุ่นคิดอีกทีว่าอาจเกินขอบเขตไป จึงเปลี่ยนใจไปเสีย นางดึงซูไป๋อีให้นั่งลงข้างๆ พร้อมกล่าวว่า
“นั่งพักก่อนเถิด”
“ท่านป้า…ท่านอย่าโกรธ” ซูไป๋อีได้สติกลับมา นั่งลงข้างๆ พยายามหายใจเข้าออกให้สงบ
“ก็แค่เข้ามาพูดคุย อย่าตื่นเต้นไป” เฟิงหว่านเอ๋อร์ลูบหัวเขาเบาๆ “ออกรถ กลับสกุลเฟิง”
ภายในรถม้าของเซี่ยอวี่หลิง
เขามองหน้าเฟิงจั่วจวิน ทั้งสองต่างกลั้นหัวเราะกันอยู่พักใหญ่ แต่สุดท้ายก็หัวเราะออกมาดังลั่น
หนานกงซีเอ๋อร์เทียมรถม้าด้วยใบหน้าเย็นชา นางกระตุกบังเหียนแล้วเร่งตามไป “เฟิงจั่วจวิน อารองของเจ้าสนิทกับบิดาเจ้าหรือไม่?”
“อารองของข้าเป็นคนนิสัยแปลก นางมีความสัมพันธ์กับพี่น้องไม่ใกล้ไม่ไกล ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับกิจการตระกูล เว้นแต่จะมีเรื่องใหญ่จริงๆ นางถึงจะปรากฏตัว” เฟิงจั่วจวินตอบ
“เช่นนั้นซูไป๋อีที่อยู่ในมือของนาง…” หนานกงซีเอ๋อร์กล่าวอย่างกังวล
“ไม่ต้องห่วง อารองข้าชอบความสนุก แต่ไม่ได้ดุร้ายดุจหมาป่า นางคงไม่ทำอะไรเด็กหนุ่มรูปงามเพียงแค่พบกันแน่ ถ้านางบอกว่าเพียงแค่พูดคุย นั่นก็แค่พูดคุยจริงๆ แต่ถ้าคุยกันถูกคอ…”
เฟิงจั่วจวินหัวเราะ “นั่นก็เป็นโชคของศิษย์น้องซูแล้ว!”
“ย่าห์!” หนานกงซีเอ๋อร์กระตุกบังเหียนแรงจนรถม้าสั่น
ในรถม้าของเฟิงหว่านเอ๋อร์
ซูไป๋อีรู้สึกหัวใจจะเต้นทะลุอก เฟิงหว่านเอ๋อร์รินน้ำชาให้เขาพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ดื่มชาที่ป้าชงให้เถิด”
ซูไป๋อีมองดูถ้วยชา รู้สึกเหมือนเห็นตัวอักษรเขียนว่า ยาปลุกกำหนัด
“นี่คือชาน้ำค้างหยาดพิรุณ ชาชั้นเลิศที่หายากยิ่ง” เฟิงหว่านเอ๋อร์กล่าวเสียงนุ่ม “หากใส่ยาในชาเช่นนี้ คงเป็นการสิ้นเปลือง”
ซูไป๋อีจึงดื่มชาหมดในคราวเดียว
“ซูไป๋อี ข้าชอบชื่อนี้” เฟิงหว่านเอ๋อร์กล่าวต่อ “คุณชายของเจ้าตั้งให้หรือ?”
“อาจารย์ของข้าตั้งให้!” ซูไป๋อีตอบพลางวางถ้วยชาและเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก
“อาจารย์ของเจ้าเป็นใคร?” เฟิงหว่านเอ๋อร์ถาม
“เซี่ย…” ซูไป๋อีสะดุ้ง รีบตอบใหม่ “เป็นผู้อาวุโสท่านหนึ่งของตระกูลเซี่ย”
“ข้าชอบคนของตระกูลเซี่ยมาก” เฟิงหว่านเอ๋อร์กล่าวด้วยน้ำเสียงครุ่นคิด
“เมื่อครั้งข้ายังสาว เคยมีวาสนาพบคุณชายเซี่ยผู้หนึ่ง ตั้งแต่นั้นข้าก็ไม่เคยมองชายอื่นอีกเลย เมื่อข้าเห็นเจ้าครั้งแรก เจ้าช่างเหมือนเขายิ่งนัก ชายผู้นั้นชื่อว่าเซี่ยคั่นฮวา”
“ข้าไม่รู้จัก! ไม่รู้จัก!” ซูไป๋อีอุทานเสียงดัง
“เจ้าบอกว่าเป็นบ่าวของตระกูลเซี่ย บุรุษที่โด่งดังที่สุดของตระกูล เจ้าจะไม่รู้จักเขาได้อย่างไร?” เฟิงหว่านเอ๋อร์วางถ้วยชาลง
“ข้านับถือเขาแต่ไม่เคยพบหน้า” ซูไป๋อีรีบตอบ
“น่าเสียดายจริงๆ” เฟิงหว่านเอ๋อร์ส่ายหัว “ข้าคิดว่าเจ้าคงมีสายสัมพันธ์บางอย่างกับเขาเสียอีก”