ตอนที่แล้วบทที่ 67 การต่อสู้อันยิ่งใหญ่
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 69 หว่านเอ๋อร์

บทที่ 68 การเปลี่ยนแปลง


คำพูดของโม่ไป๋เพิ่งจบลง เงาดำในชุดคลุมสีดำก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งบนกำแพงลาน สายลมแผ่วเบาโบกพัดชายเสื้อของเขา ดาบยาวสีทองวางพาดอยู่บนไหล่ เขาโน้มตัวเล็กน้อย มองลงมาที่สองคนเบื้องล่าง

ไม่สิ...เขาเพียงมองแค่คนเดียว ชายคนนั้นมองเพียงซูไป๋อีจากบนลงล่าง ราวกับโม่ไป๋ไร้ตัวตน

โม่ไป๋กลับยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นด้วยความหวาดกลัว แม้ว่าเขาจะเป็นศิษย์สายตรงของเซียนปราชญ์ แม้สุดท้ายเขาจะไม่ได้ก้าวถึงตำแหน่งวีรชน แต่ในสำนักศึกษานั้น เขาเคยถือได้ว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ล้ำเลิศ ทว่าตอนนี้ต่อหน้าชายคนนี้ ความหยิ่งทะนงและความกล้าทั้งหมดของเขากลับมลายหายไปในพริบตา

ซูไป๋อีเงยหน้าสบตากับชายคนดังกล่าว ใบหน้าของอีกฝ่ายดูเหมือนจะมีอายุราวสามสิบ แม้จะนับว่าหล่อเหลาสง่างาม แต่รอยแผลยาวจากคิ้วซ้ายพาดผ่านลงมาถึงมุมปาก ทำให้ใบหน้าดูอำมหิตน่ากลัว ชายคนนั้นยิ้มให้ซูไป๋อี และซูไป๋อีก็ยิ้มตอบกลับไป

“ไม่มีอะไร ข้าแค่แวะมาดูเจ้าเท่านั้น” ชายคนนั้นกล่าวช้าๆ

“แล้วท่านเห็นอะไรหรือไม่?” ซูไป๋อีถาม

“ศิษย์พี่ของเจ้าแทบยืนไม่อยู่เพราะความหวาดกลัว แต่เจ้ากลับสงบถึงเพียงนี้ เพียงแค่จิตใจนี้ก็คู่ควรแก่แซ่ซูแล้ว” ชายคนนั้นยืนตัวตรงขึ้น “ข้าคิดว่าไม่นานเราคงได้พบกันอีก”

พูดจบ เขาก็หมุนตัวจากไป

ซูไป๋อีพ่นลมหายใจออกอย่างช้าๆ “ข้าไม่รู้จักท่าน ข้าก็ย่อมไม่กลัว ศิษย์พี่โม่ คนผู้นี้เป็นใครกันแน่?”

“จ้าวเมืองมาร พันดาบหมื่นบาดแผล” โม่ไป๋ตอบช้าๆ ทีละคำ

“เมืองมาร?” ซูไป๋อีนึกถึงหญิงสาวที่เขาเคยช่วยเหลือขณะไปช่วยชายชุดคราม นางก็เคยกล่าวถึงสถานที่นี้ “ข้าคิดไม่ผิด คนจากเมืองมารหน้าตาน่ากลัวเช่นนี้จริงๆ”

“เจ้ารู้จักเมืองมารหรือไม่?” โม่ไป๋ถามอย่างตกใจ

“พอได้ยินผ่านๆ มา เมืองมารคงไม่ใช่ที่ดีใช่หรือไม่?” ซูไป๋อีเกาหัว

“พูดเช่นนั้นก็ไม่ได้” โม่ไป๋กล่าว “ในยุทธภพนี้ แน่นอนว่าย่อมมีสำนักที่ทำความชั่วร้ายมากมาย ความขัดแย้งระหว่างธรรมะกับอธรรมดำรงอยู่มานับพันปีไม่เปลี่ยนแปลง แต่เมืองมารต่างออกไป มันล่องลอยอยู่ระหว่างธรรมะและอธรรม ยากจะจำกัดความ”

“เมืองมารรับคนชั่วที่ต้องการล้างมือจากการทำบาปและเริ่มต้นใหม่ กฎของที่นั่นคือ ใครก็ตามที่เข้ามาในเมืองจะได้รับการคุ้มครอง แต่หากออกไปทำชั่วอีกครั้ง จะถูกลงโทษทันที กล่าวคือ ทุกคนมีโอกาสหนึ่งครั้งที่จะได้รับการคุ้มครอง แต่จ้าวเมืองมารเป็นคนประหลาด ไม่ใช่ทุกคนที่เขาจะยอมรับ”

ซูไป๋อีเหมือนจะเข้าใจ “เช่นนั้นหญิงสาวที่ข้าเคยช่วย คงไปขอความคุ้มครองจากเมืองมาร แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้รับการช่วยเหลือ”

“แล้วเหตุใดศิษย์พี่โม่จึงกลัวเช่นนี้เล่า?”

“เมืองมารแปลกประหลาดโดยธรรมชาติ บางทีอาจไม่สมเหตุสมผล แต่จ้าวเมืองมารคือยอดฝีมือดาบไร้เทียมทาน เขาเข้าสู่ยุทธภพโดยไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน เขาเคยกล่าวว่า ความชั่วคือสิ่งที่เขากำหนด เพราะเขาคือมารอันดับหนึ่งในใต้หล้า บุคคลเช่นนี้ หากเขาอารมณ์ไม่ดีขึ้นมา สังหารเราทั้งหมดก็ไม่น่าแปลกใจ” โม่ไป๋ถอนหายใจ

“แต่เขาไม่เคยพ่ายแพ้ แล้วรอยแผลบนหน้านั้นเล่า?” ซูไป๋อีถามอย่างสงสัย

“ครั้งหนึ่ง จักรพรรดิหอกฉางซุน ซึ่งเคยติดอันดับที่ห้าบนทำเนียบจอมยุทธ์ เคยประลองกับเขา หอกสุดท้ายของฉางซุนเกือบผ่าหน้าของเขาออกเป็นสองส่วน แต่ในที่สุด มือที่ถือหอกของฉางซุนก็ถูกดาบของจ้าวเมืองมารฟันจนเหลือแต่กระดูก”

“โห…” ซูไป๋อีสูดลมหายใจลึก

หลังลานหมู่ตึกหมึกจารึก

เสียงร้องครวญครางอันไม่น่าฟังดังมาจากที่ไกล

“สบาย…อา สบาย สบายจนจะตายอยู่แล้ว”

“เหมือนได้ขึ้นสวรรค์ ขึ้นสวรรค์ ขึ้นสวรรค์!”

“อู๊ย ร้อน ร้อน ร้อน! โอ๊ย ช่างงดงามเหลือเกิน!”

ในห้องพัก

ในห้องมีถังไม้อันใหญ่สองใบวางอยู่ เฟิงจั่วจวินนอนอยู่ในถังหนึ่ง หลับตาพริ้มราวกับกำลังจะล่องลอยสู่แดนเซียนด้วยความสบายใจ

“หุบปากเสียที!” เซี่ยอวี่หลิงสุดจะทน จึงโยนผ้าขนหนูที่แขวนอยู่ข้างถังไปทางเขา

เฟิงจั่วจวินยื่นมือรับ ก่อนใช้เช็ดเหงื่อบนหน้าผาก “ขอบใจมาก”

“ตำแหน่งจ้าวสำนักของบิดาเจ้าถูกแย่งชิงไป เจ้าเคยพูดว่ากังวลใจนักหนา แต่พอเข้ามาในต้าเจ๋อ ข้ากลับเห็นว่าเจ้าดูไม่ร้อนรนเลย ยังมีอารมณ์มาแช่น้ำอีก!” เซี่ยอวี่หลิงต่อว่า

เฟิงจั่วจวินโบกมือ “เฮ้ๆ ความกังวลนั้นข้าแกล้งทำขึ้นมา เพียงเพื่อรีบหนีออกจากสำนักศึกษา เจ้าก็ไม่รู้หรอกว่าลุงๆ ของตระกูลเฟิงข้าล้วนไร้ความสามารถ ใครเล่าจะเอาชนะบิดาข้าได้? เรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำแน่ ข้ามั่นใจว่าบิดาต้องมีแผนการอะไรบางอย่าง”

“มั่นใจนักหรือ?” เซี่ยอวี่หลิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

เฟิงจั่วจวินลุกขึ้นจากถัง ใช้ผ้าขนหนูเช็ดตัวให้แห้ง ก่อนสวมเสื้อคลุมยาวที่เพิ่งส่งมาใหม่ เขาผลักประตูออกไปยืนกลางลาน แล้วตะโกนดังลั่น

“มาดูกันเร็ว! มาดูกันเร็ว! คุณชายสามแห่งตระกูลเซี่ยจากเจียงหนานกำลังอาบน้ำ! บุรุษงามผู้สง่างาม ใครอยากดูรีบมาดูกัน!”

เสียงตะโกนเรียกความสนใจจากสาวใช้และสตรีในเรือนจำนวนมาก เซี่ยอวี่หลิงที่ยังอยู่ในถังน้ำรีบหดตัวลงไปในถังด้วยความอับอาย หลับตาแน่นพลางกล่าวอย่างโกรธเคือง

“เฟิงจั่วจวิน เจ้าช่างเหลวไหลยิ่งนัก”

เฟิงจั่วจวินยังคงตะโกนต่อไป เรียกความสนใจจากผู้คนรอบลานจนวุ่นวาย

ซูไป๋อีเดินเข้ามาในลาน พลางยิ้ม

“ศิษย์พี่ทั้งสอง ไม่ได้เจอกันไม่กี่วัน ทำไมความสัมพันธ์ดีขึ้นถึงเพียงนี้?”

“โอ้ ศิษย์น้องซู!” เฟิงจั่วจวินรีบวิ่งเข้ามากอดเขา “เห็นเจ้าปลอดภัย ข้าดีใจยิ่งนัก ศิษย์พี่หญิงอยู่ที่ใด รีบพาข้าไปพบ นางคือคนที่ข้าคิดถึงที่สุด”

“อยู่นี่” เสียงอ่อนโยนดังขึ้นจากห้องข้างๆ เฟิงจั่วจวินตั้งท่าจะวิ่งไป แต่หนานกงซีเอ๋อร์ก็เปิดประตูเดินออกมา

“ข้าอยู่ห้องข้างๆ ได้ยินเสียงเจ้าหวีดร้องดังมานานแล้ว”

เฟิงจั่วจวินหน้าแดงเล็กน้อย “ที่แท้ศิษย์พี่หญิงอยู่ข้างห้อง ศิษย์พี่โม่ไป๋ก็ไม่บอก ข้าเพียงล้อเล่น เสียงที่ร้องนั้นเป็นเซี่ยอวี่หลิงต่างหาก”

“ศิษย์พี่หญิง!” เสียงของเซี่ยอวี่หลิงดังมาจากในห้อง

“มีอะไรรึ?” หนานกงซีเอ๋อร์ถาม

“ผ้าขนหนูข้าถูกเฟิงจั่วจวินเอาไปแล้ว!” เซี่ยอวี่หลิงตอบอย่างหมดหนทาง

หนานกงซีเอ๋อร์มองซูไป๋อี และเขาก็เข้าใจทันที เขาเดินเข้าไปในห้องแล้วหยิบผ้าขนหนูที่เฟิงจั่วจวินแขวนไว้ข้างประตูส่งให้เซี่ยอวี่หลิง เซี่ยอวี่หลิงรับไว้พลางพยักหน้าเป็นเชิงขอบคุณ

ซูไป๋อีจ้องมองเซี่ยอวี่หลิงนิ่ง พลันรู้สึกว่าศิษย์พี่ของเขาดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย

“ศิษย์พี่ ท่านเปลี่ยนไปแล้ว” ซูไป๋อีกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

เซี่ยอวี่หลิงรับผ้าขนหนูมา พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาเหมือนเคย

“ข้าจะเปลี่ยนไปหรือไม่ แต่เจ้าจะช่วยปิดประตูให้ข้าก่อนได้หรือไม่? ข้าจะเช็ดตัว”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด