บทที่ 67 การต่อสู้อันยิ่งใหญ่
ซูไป๋อีเงียบงันอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะได้สติกลับคืนมาจากความตกตะลึง เขาค่อยๆ กล่าวว่า
“พี่สะใภ้บอกว่าครั้งหนึ่ง เจ้าเมืองจี๋โม่เคยพบกับผู้ฝึกปรือคัมภีร์เซียน ว่ากันว่ากระบี่เซียนแห่งยุคนั้นยังไม่อาจต้านทานอีกฝ่ายได้ถึงสิบกระบวนท่า ศัตรูที่ท่านอาจารย์พูดถึงนี้ใช่เขาผู้นั้นหรือไม่? หรือว่าบุคคลผู้นั้นคือเป้าหมายที่พันธมิตรแห่งเหวยหลงต้องการปราบปรามในครั้งนั้น?”
ตงฟางเสี่ยวเยว่ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เพียงแต่กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“เล่าขานกันว่าบนโลกนี้เคยมีภูเขาเซียนห้าลูก มีชื่อว่า ไต้หยู หยวนเฉี่ยว ฟางหู อิงโจว และเผิงไหล ตามบันทึกโบราณกล่าวไว้ ภูเขาเหล่านี้มีความสูงสามหมื่นลี้ ส่วนยอดเรียบกว้างเก้าพันลี้ ระยะห่างระหว่างภูเขาแต่ละลูกมีถึงเจ็ดหมื่นลี้ เปรียบเสมือนเพื่อนบ้านกัน บนภูเขามีแท่นบูชาและตำหนักที่สร้างด้วยทองคำและหยก สัตว์ป่าบนภูเขาล้วนขาวสะอาดบริสุทธิ์ ต้นไม้ที่ออกผลเป็นอัญมณีรสเลิศ ผู้ที่อาศัยอยู่บนภูเขาเหล่านี้ล้วนเป็นเซียน บ้างกล่าวว่าพวกเขาสามารถเดินทางข้ามไปมาระหว่างภูเขาได้ในวันเดียว แต่รากฐานของภูเขาทั้งห้านั้นมิได้เชื่อมโยงกับแผ่นดิน มักลอยขึ้นลงตามกระแสน้ำขึ้นน้ำลง สุดท้ายภูเขาสองลูกได้ลอยหายไปไร้ร่องรอย เหลือเพียงฟางหู อิงโจวและเผิงไหลเท่านั้น และภูเขาทั้งสามนี้ล่องลอยอยู่ในโลกมนุษย์ ไม่มีใครรู้ว่าพวกมันอยู่แห่งหนใด…”
ซูไป๋อีฟังแล้วรู้สึกฉงนงุนงง “สิ่งที่อาจารย์ต้องการสื่อคืออะไรกันแน่?”
“บางเรื่อง การรู้เพียงเล็กน้อยก็เพียงพอแล้ว ซูไป๋อี เจ้ามีชาติกำเนิดไม่ธรรมดา แต่ในสายตาของข้า ทุกชีวิตในใต้หล้านี้ล้วนเริ่มต้นเหมือนกันทั้งสิ้น อย่าทำให้ความคาดหวังของอาจารย์เจ้าต้องสูญเปล่า” ตงฟางเสี่ยวเยว่กล่าวพลางเดินไปยังประตู
“อาจารย์ ท่านจะไปแล้วหรือ?” โม่ไป๋เอ่ยถามอย่างเร่งร้อน
“ใช่แล้ว มีแขกเก่าแก่มาเยือน ข้าต้องไปต้อนรับเอง ส่วนเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่สำนักเมฆาสางสวรรค์ ก็ปล่อยให้เด็กน้อยอย่างพวกเจ้าจัดการไปเถิด ส่วนเรื่องใหญ่ ยังต้องให้พวกผู้ใหญ่เช่นพวกเรามารับมือ” ตงฟางเสี่ยวเยว่พูดพลางก้าวออกจากประตู
ที่ริมทะเลสาบเขียวใสห่างออกไปสิบลี้ มีชายผู้หนึ่งสวมงอบยืนอยู่ เขาหยุดเดิน พลางหันตัวกลับเล็กน้อยและพึมพำว่า
“ไม่เสียทีที่เป็นเซียนปราชญ์ ข้าพยายามเก็บซ่อนพลังไว้ถึงเพียงนี้แล้ว แต่ก็ยังถูกค้นพบ” เขาไม่ได้คิดจะหลบหนี แต่ยืนรออยู่ตรงนั้นอย่างสงบ ไม่นานนัก ชายอีกผู้หนึ่งเดินเท้ามาถึงตรงหน้าเขา
“เจ้าหอไป๋จี๋เล่อ มิได้พบกันเสียนาน ใบหน้าของเจ้ายังไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย” ตงฟางเสี่ยวเยว่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม
ชายคนนั้นถอดงอบออก เผยให้เห็นใบหน้าขาวซีดและงดงาม “เซียนปราชญ์ ท่านกลับมามีวัยเยาว์อีกครั้งแล้วหรือ?”
“ฮ่าๆ คนอื่นพูดก็แล้วไป แต่เจ้าหอเองก็เคยผ่านเหตุการณ์นั้นมาแล้ว” ตงฟางเสี่ยวเยว่ยกมือขึ้นช้าๆ ผืนน้ำของทะเลสาบที่นิ่งสนิทเริ่มแปรเปลี่ยน “เหตุใดจึงเย้ยหยันข้าเช่นนี้เล่า?”
ไป๋จี๋เล่อกล่าวเสียงหนักแน่น “ข้าคิดว่าเซียนปราชญ์ออกจากการปิดด่านเพราะรักษาบาดแผลที่คนผู้นั้นฝากไว้จนหายแล้ว”
“ข้าคือเซียนปราชญ์ แต่อีกฝ่ายคือเซียน บาดแผลที่เขาทำไว้ ข้าไม่สามารถรักษาได้ แต่ถึงรักษาไม่ได้ ข้าก็ยังสามารถสู้ได้” ตงฟางเสี่ยวเยว่กล่าวพลางแย้มยิ้ม ก่อนจะกล่าวเสริม
“อ้อ ข้าจะบอกเจ้าว่า ข้าในวัยสิบเจ็ดปี…”
ทันใดนั้น ผืนน้ำของทะเลสาบที่เคยนิ่งสนิทกลับกลายเป็นน้ำแข็งขาวโพลนครอบคลุมหลายสิบหมู่ในชั่วพริบตา
“คือตัวข้าที่แข็งแกร่งที่สุด”
ไป๋จี๋เล่อขมวดคิ้วเล็กน้อย “ข้ามิได้ปรารถนาจะเป็นศัตรูกับท่าน”
“ถ้าเช่นนั้น เจ้าหอไป๋จงหยุดเพียงแค่นี้เป็นอย่างไร?” ตงฟางเสี่ยวเยว่กล่าวพลางยิ้ม
ภายในหมู่ตึกหมึกจารึก
หลังตงฟางเสี่ยวเยว่จากไป จี๋โม่ฮวาเสวี่ยปรากฏตัวในห้องโถงใหญ่ นางมองออกไปยังที่ห่างไกลก่อนจะเอ่ยถาม “เซียนปราชญ์บอกหรือไม่ว่าเขาจะไปพบใคร?”
ซูไป๋อีมองจี๋โม่ฮวาเสวี่ย พลางเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีในใจ “เขาบอกว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่พวกเราจัดการไม่ได้ เขาจะไปจัดการเอง”
“เช่นนั้นหรือ” จี๋โม่ฮวาเสวี่ยพยักหน้า
“พี่สะใภ้ ท่าน… ท่านช่วยเซียนปราชญ์ได้หรือไม่?” ซูไป๋อีถาม
จี๋โม่ฮวาเสวี่ยส่ายหน้า “ไม่ ข้าเกลียดเขา”
“เหตุใด?” ซูไป๋อีถามด้วยความไม่เข้าใจ
“ในปีนั้น หากมิใช่เขาเป็นผู้ส่งข่าวไปยังอวี้โหลว อวี้โหลวก็คงจะไม่ไปยังภูเขาเหวยหลง เซียนปราชญ์ต่างหากที่เป็นอาจารย์ของซีเอ๋อร์ ตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่ เขาไม่ควรปล่อยให้อวี้โหลวต้องไปทำสิ่งนั้น” น้ำเสียงของจี๋โม่ฮวาเสวี่ยเผยความโกรธแค้นเล็กน้อย
“แม้ว่าข้าจะรู้ว่าเขาก็จำใจทำเช่นนั้น ในเวลานั้น เขากำลังพักฟื้น และถึงช่วงสำคัญของการปิดด่านพอดี”
ซูไป๋อีตกตะลึง ใจพลันเข้าใจได้ว่า ที่แท้จี๋โม่ฮวาเสวี่ยโกรธเซียนปราชญ์เพราะการตายของศิษย์พี่รองหนานอวี้โหลว เช่นนั้นในใจของนางอาจมีความขุ่นข้องต่อหนานกงซีเอ๋อร์ด้วยกระมัง?
ท้ายที่สุดแล้ว ศิษย์พี่รองสละชีพเพื่อช่วยนาง แต่เมื่อไม่กี่วันก่อน ตอนที่จี๋โม่ฮวาเสวี่ยพบหนานกงซีเอ๋อร์ นางกลับแสดงความอ่อนโยนและเมตตา
ดูเหมือนจี๋โม่ฮวาเสวี่ยจะอ่านใจซูไป๋อีออก นางจึงกล่าวต่อไปว่า
“ส่วนซีเอ๋อร์ ตอนนั้นนางยังเป็นเพียงเด็ก นางเป็นผู้บริสุทธิ์ที่สุด อีกทั้งอวี้โหลวก็รักนางมาก ดังนั้นข้าจะสืบทอดความรักนั้นแทนเขา อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ข้าต้องไปแล้ว ระหว่างทางไปยังสำนักเมฆาสางสวรรค์ ข้าคงไม่อาจร่วมทางกับเจ้าได้”
เซียนปราชญ์เพิ่งจากไปไม่ทันไร เซียนกระบี่ก็จะจากไปอีก ซูไป๋อีใจพลันวิตก “พี่สะใภ้ ท่านจะไปไหนอีกเล่า?”
“ข้ามาที่นี่ เพราะนัดหมายกับคนผู้หนึ่ง บุคคลผู้นั้นเคยช่วยเหลือข้าไว้ครั้งใหญ่ เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณ ข้าจึงตกลงจะประลองกับเขาทุกสามปี” จี๋โม่ฮวาเสวี่ยกล่าวพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย มองไปยังผนังลานด้านนอก
“คนแบบไหนกันเล่าที่สามารถประลองกับพี่สะใภ้ได้ทุกสามปี? บุคคลเช่นนั้นคงเป็นยอดฝีมือที่ติดอันดับต้นๆ ในทำเนียบจอมยุทธ์ใช่หรือไม่?” ซูไป๋อียิ่งประหลาดใจ
“เขาไม่ได้อยู่ในทำเนียบจอมยุทธ์ ทำเนียบจอมยุทธ์จารึกเฉพาะผู้ฝึกยุทธ์ฝ่ายธรรมะเท่านั้น แต่เขาคือผู้ฝึกยุทธ์วิถีมาร” จี๋โม่ฮวาเสวี่ยกล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึม
ทันใดนั้น เสียงดังก้องที่เต็มไปด้วยความโอหังดังขึ้น “วิถีมารอะไรกันเล่า? เหตุใดจึงนินทาข้าลับหลังเช่นนี้?”
ซูไป๋อีและโม่ไป๋สะดุ้งจนตัวสั่น รีบวิ่งไปยืนข้างจี๋โม่ฮวาเสวี่ย มองออกไปข้างนอก เห็นชายร่างใหญ่สวมชุดดำยืนอยู่บนกำแพงลาน เขามีดาบยาวสีทองสะพายอยู่ด้านหลัง และกำลังหันหลังให้พวกเขา
“ข้ารู้ว่าเจ้ามาถึงแล้ว จึงจงใจกล่าวเช่นนี้” จี๋โม่ฮวาเสวี่ยตอบกลับอย่างสงบ
ชายร่างใหญ่ยกนิ้วขึ้นชี้ไปด้านหลังตนเอง “แต่ตอนนี้ข้ายังหันหลังให้เจ้า อย่างไรเจ้าก็ยังพูดถึงข้าลับหลังอยู่ดี”
“คารมเจ้ายังน่าเบื่อเหมือนเดิม” จี๋โม่ฮวาเสวี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนใจ
“แต่เจ้ากลับยังคงงดงามเหมือนเดิม” น้ำเสียงของชายผู้นั้นเจือความทะลึ่งเล็กน้อย
จี๋โม่ฮวาเสวี่ยพลันกล่าว “นี่เป็นหมู่ตึกของสหายข้า ห้ามสู้กันที่นี่ ไม่เช่นนั้นกิจการที่สืบทอดมาหลายชั่วอายุคนจะพังพินาศเพราะเจ้า”
นางพลันกระโดดออกไปยังนอกหมู่ตึก “เราหาที่โล่งๆ สู้กันเถิด”
“สามวันสามคืน!” ชายร่างใหญ่ชักดาบยักษ์ออกทันที แล้วตามนางไป
ซูไป๋อีมองทั้งสองห่างออกไป ใจเต็มไปด้วยความสงสัย จึงถามโม่ไป๋ที่อยู่ข้างกาย “ศิษย์พี่โม่ คนที่ถือดาบทองเมื่อครู่นี้คือใคร?”
โม่ไป๋ปาดเหงื่อบนหน้า แต่ยังไม่ทันเช็ดแห้ง เหงื่อเย็นก็ไหลออกมาอีก เขาปาดหน้าอีกครั้งก่อนจะถามกลับ “ข้ายังมีชีวิตอยู่ใช่หรือไม่?”
ซูไป๋อีรู้สึกขำ “ศิษย์พี่ท่านเป็นอะไรไป?”
“ข้า… ข้ากลัว” โม่ไป๋ก้มมองขาตัวเองที่กำลังสั่น “ช่างน่าอิจฉาเจ้าที่ไม่รู้อะไรเลย แม้แต่ตอนเฉียดตาย”
ซูไป๋อีเกาหัวด้วยความงุนงง “คนเมื่อครู่นี้เป็นใครกัน น่ากลัวถึงเพียงนั้นเชียว?”
โม่ไป๋รีบยกนิ้วขึ้นทำท่าให้เงียบ “ชู่! อย่าให้เขาได้ยิน ไม่เช่นนั้นหากเขาเปลี่ยนใจกลับมา ทั่วทั้งหมู่ตึกนี้หลายร้อยชีวิต คงไม่มีใครหนีรอดไปได้!”