บทที่ 66 ความจริง
“ทำไมยังไม่มาอีก? ศิษย์พี่โม่ไป๋ ท่านรีบไปบอกอาจารย์เถอะ ว่าศิษย์พี่หญิงบาดเจ็บหนัก ไม่ควรรบกวนนาง รีบเชิญอาจารย์มาที่นี่เถอะ!”
ซูไป๋อีเดินวนไปมาในโถงใหญ่ ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
โม่ไป๋พยายามปลอบเขา “อย่าเพิ่งร้อนใจ อาจารย์มาที่นี่แล้ว ท่านจะไม่หนีไปไหน”
“แต่ใครจะรู้ได้เล่า ท่านเซียนปราชญ์ผู้นี้ ผู้ที่มักเป็นดั่งมังกรเห็นหัวไม่เห็นหาง จะหายไปอีกเมื่อไหร่?”
ซูไป๋อีกล่าวเสียงดัง “ไม่ได้ ข้าต้องไปพบเขาก่อน ว่าแต่ ศิษย์พี่เฟิงและศิษย์พี่เซี่ยอยู่ไหน?”
“พวกเขาบอกว่ายังไม่ได้อาบน้ำหลายวัน เมื่อมาถึงก็รีบไปอาบน้ำก่อนแล้ว”
โม่ไป๋หัวเราะ “สภาพพวกเขาช่างไม่น่าเชื่อว่าเป็นศิษย์แห่งสำนักศึกษาเลย”
“เช่นนั้น เซียนปราชญ์ก็คงไม่ได้ต่างกันนักกระมัง?” ซูไป๋อีถาม
“ใครที่เจ้าหาว่ามีกลิ่นตัวกัน?” เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นจากทางเข้า พร้อมชายหนุ่มในชุดขาวที่ดูสะอาดสะอ้านราวหิมะบริสุทธิ์ยืนยิ้มอยู่
“ไม่ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” ซูไป๋อีไม่สนใจชายหนุ่มคนนั้น และเดินตรงไปยังทางออก
“เจ้าจะไปไหน?” ชายหนุ่มในชุดขาวก้าวขวางทาง
“ถอยไป ข้ามีเรื่องด่วน น้องชายค่อยคุยกันทีหลัง” ซูไป๋อีกล่าวพลางผลักมือเขาออก
“น้องชาย?” ชายหนุ่มในชุดขาวจับคอเสื้อของซูไป๋อี ยกร่างเขาขึ้นและโยนกลับมาที่กลางโถงอย่างง่ายดาย
ซูไป๋อีล้มลงกับพื้น มองอีกฝ่ายอย่างสับสน “นี่เจ้าเด็กบ้าที่ไหนมาอีก!”
“เด็กบ้า?” ชายหนุ่มในชุดขาวยกคิ้วขึ้น
โม่ไป๋เช็ดเหงื่อบนหน้าผากอย่างกระอักกระอ่วน แม้ว่าเซียนปราชญ์จะดูเป็นกันเองและไม่ถือตัว แต่เขาไม่เคยเห็นใครกล้าหยาบคายกับท่านมาก่อน
“ข้าคือคนที่เจ้าตามหา” ชายหนุ่มในชุดขาวยิ้มบางๆ “เซียนปราชญ์ ตงฟางเสี่ยวเยว่”
“เจ้ารึเป็นเซียนปราชญ์?” ซูไป๋อีเบิกตากว้าง “เจ้านี่คิดจะล้อข้าเล่นหรือ?”
“ชื่อเดิมของเจ้าคือเฉินซานไฉ เคยอาศัยอยู่ในเมืองเชียนซี พ่อบุญธรรมของเจ้าชื่อเฉินเทียนเจ๋อ แม่บุญธรรมชื่อมู่หรงเฉียน เมื่อเจ้าอายุเก้าขวบ เจ้าถูกนักฆ่าที่ไม่ทราบชื่อไล่ล่า พ่อแม่บุญธรรมเสียชีวิต เซี่ยคั่นฮวาช่วยเจ้าไว้และเลี้ยงเจ้าจนเติบใหญ่ เขาสอนเจ้าอ่านเขียน สดับลมจับทิศ และวิชาชักกระบี่พื้นฐาน นอกจากนี้เขายังมอบคัมภีร์เซียนครึ่งหนึ่งให้เจ้า” ตงฟางเสี่ยวเยว่กล่าวช้าๆ
ซูไป๋อีขมวดคิ้ว “ข้าเคยเล่าเรื่องเหล่านี้ให้ศิษย์พี่หญิงฟัง เจ้าแอบฟังพวกเรางั้นหรือ?”
“เช่นนั้นข้าจะพูดสิ่งที่พวกเขาไม่รู้” ตงฟางเสี่ยวเยว่กล่าว
“ตั้งแต่อายุเก้าขวบ เจ้าฝันถึงชายชุดขาวที่เรียกชื่อเจ้าซ้ำๆ ฝันนั้นทำให้เจ้าทรมานมาก ทว่าตั้งแต่เจ้าฝึกคัมภีร์เซียนครึ่งเล่มนั้น ความฝันก็หายไป แต่ในทุกครั้งที่เจ้าหลับ เจ้าจะเสียสติ และในช่วงเวลานั้น เจ้าจะมีวิทยายุทธ์ที่แข็งแกร่งอย่างยิ่ง”
ซูไป๋อีตะลึง “เซียนปราชญ์…รู้ทุกสิ่งจริงหรือ?”
ตงฟางเสี่ยวเยว่พยักหน้า “อาจารย์ของเจ้าส่งจดหมายถึงข้าเสมอ ข้ารู้ทุกเรื่องสำคัญในชีวิตเจ้า ข้าเองก็เป็นคนแนะนำให้เขาไม่สอนวิชาอื่น แต่ให้เจ้าฝึกวิชาชักกระบี่เท่านั้น”
ซูไป๋อีอ้าปากค้างก่อนจะถาม “แล้วเราเคยพบกันมาก่อนหรือ?”
“ข้าเคยพบเจ้าหลายครั้ง แต่ทุกครั้งข้ามีใบหน้าที่ต่างออกไป เจ้าจำไม่ได้ก็ไม่แปลก” ตงฟางเสี่ยวเยว่กล่าว
ซูไป๋อีลุกขึ้นทันที ก่อนจะคุกเข่าลงข้างหนึ่ง “โปรดช่วยอาจารย์ของข้าด้วย!”
ตงฟางเสี่ยวเยว่ส่ายหน้า “ข้าช่วยไม่ได้”
“ทำไมช่วยไม่ได้? แม้แต่ศิษย์พี่รองยังสามารถโค่นสำนักสวรรค์ซ่างหลินได้ แต่ท่านเป็นอาจารย์ของเขา จะมีใครหยุดท่านได้?” ซูไป๋อีกล่าวอย่างร้อนรน
“เจ้าประเมินสำนักสวรรค์ซ่างหลินต่ำไปและมองข้าสูงไป อีกทั้งอาจารย์ของเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือ ตราบใดที่พวกเขายังไม่ได้คัมภีร์เซียน เขาจะไม่ฆ่าเซี่ยคั่นฮวาอย่างแน่นอน และเซี่ยคั่นฮวาก็หาใช่คนที่พวกเขาจะฆ่าได้ง่ายๆ หากพวกเขาลงมือจริง ทั้งสามหอและสี่ตำหนัก เช่นหอหมอกพิรุณและหอลมวสันต์ย่อมแปรพักตร์ทันที อีกทั้งเหอเหลียนซีเยว่ที่จับตัวอาจารย์ของเจ้าไปนั้น สายสัมพันธ์ระหว่างเขากับอาจารย์ของเจ้าลึกซึ้งกว่าที่เจ้าคิด หากไม่เป็นเช่นนั้น เจ้าคิดหรือว่าอาจารย์ของเจ้าจะยอมแพ้โดยง่ายในวันนั้น?” ตงฟางเสี่ยวเยว่เอ่ยพลางยื่นนิ้วแตะหน้าผากซูไป๋อี
“ตอนนี้สิ่งที่เจ้าควรกังวล…คือเรื่องของตัวเจ้าเอง”
“ตัวข้าเอง?” ซูไป๋อีถอนหายใจ “สำนักสวรรค์ซ่างหลิน ดูเหมือนจะรู้ว่าข้าครอบครองคัมภีร์เซียน จึงมีคนมาตามล่าข้าอยู่เรื่อย”
“หนิงชิงเฉิงเคยถูกหนานอวี้โหลวทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ในโลกนี้มีเพียงคัมภีร์เซียนเท่านั้นที่รักษาเขาได้ แต่โชคร้ายที่คัมภีร์เซียนถูกเซี่ยคั่นฮวาขโมยไป เขาจึงไม่ยอมปล่อยเจ้าไปง่ายๆ แต่คัมภีร์เซียนครึ่งเล่มไม่มีค่า เจ้าต้องฝึกให้สำเร็จทั้งเล่ม เมื่อถึงวันนั้น เจ้าจะไม่ต้องพึ่งพาใครอีก เจ้าจะสามารถขึ้นเขาไปช่วยอาจารย์ของเจ้าด้วยตัวเอง”
“คัมภีร์เซียน เป็นวิชาแบบใดกันแน่?” ซูไป๋อีถาม “เจ้าเมืองจี๋โม่ ได้มอบวิชากระบี่ที่พวกเขามีให้ข้าแล้ว และข้าก็ได้มาอีกสามหน้าจากชายชุดคราม ยังเหลืออีกเท่าไร?”
“คัมภีร์เซียนเป็นเช่นชื่อของมัน ไม่ใช่วิชาที่คนธรรมดาจะเข้าใจ” ตงฟางเสี่ยวเยว่ยิ้มบาง
“เมื่อครั้งซูหานเจ้าสำนักใหญ่ได้คัมภีร์นี้ เขาอยากจะทำลายมันเสีย แต่บรรดาประมุขของแต่ละสำนักไม่เห็นด้วย สุดท้ายจึงแบ่งคัมภีร์ออกเป็นส่วนๆ ให้แต่ละสำนักครอบครอง ทุกคนล้วนหวังว่าจะค้นพบสุดยอดวิชาในคัมภีร์ แต่หัวใจของวิชาที่สำคัญที่สุดกลับถูกเก็บไว้ที่สำนักสวรรค์ซ่างหลิน การฝึกคัมภีร์ที่ไม่สมบูรณ์รังแต่จะทำให้เจ้าเข้าสู่มรรคามาร”
“มิใช่วิชาของคนธรรมดา? หรือเมื่อฝึกสำเร็จแล้วจะกลายเป็นเซียนจริงๆ?” ซูไป๋อีส่ายหน้าไม่เชื่อ
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่านั่นนับเป็นเซียนหรือไม่ แต่ผู้ที่ฝึกสำเร็จดูราวกับเป็นเซียนจริงๆ ไม่แก่ไม่ตาย วิชาหาใดเปรียบมิได้ แต่ต้องละทิ้งทุกสิ่ง แม้กระทั่งความรักความผูกพัน และมองผู้คนในโลกเช่นมดปลวกเท่านั้น” ตงฟางเสี่ยวเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าหมอง
“ไม่แก่ไม่ตาย? ท่านอย่าบอกนะว่า…ท่านฝึกสำเร็จแล้ว?” ซูไป๋อีถาม
“ไม่ใช่ ข้าไม่ได้ละทิ้งทุกสิ่ง ข้ายังรักโลกกว้างใบนี้ แต่ข้าเคยพบคนที่ฝึกสำเร็จ และ…” ตงฟางเสี่ยวเยว่ตบหน้าอกของตน
“ถูกเขาทำร้ายจนบาดเจ็บเจียนตาย ข้าที่กลับมามีรูปลักษณ์เยาว์วัยอีกครั้งนี้ ไม่ใช่เพราะข้าฝึกสำเร็จ แต่เพราะข้าถูกวิชานี้ทำร้ายจนร่างกายเปลี่ยนแปลง! ตอนนั้นข้าอายุหกสิบกว่า ห้าปีก่อนข้ายังดูเหมือนชายวัยสี่สิบ และตอนนี้ข้าดูอ่อนวัยกว่าเจ้า แล้วอีกห้าปีเล่า?”
ซูไป๋อีและโม่ไป๋ตกใจอย่างมาก
“ท่านจะกลายเป็นเด็กแปดขวบ!”
ตงฟางเสี่ยวเยว่กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา “และอีกห้าปี…ข้าจะตาย”