บทที่ 65 การปกป้อง
“ข้าเคยชื่อว่าตงฟางเสี่ยวเยว่ แต่เมื่อครั้งหนึ่งอาจารย์บอกว่าชื่อนี้ดูธรรมดาเกินไป ไม่สมกับคนที่จะเป็นเซียนปราชญ์ จึงเปลี่ยนชื่อข้าเป็นตงฟางเหวินหลิน” ตงฟางเสี่ยวเยว่กล่าวพลางส่ายหัว
“แต่ข้ากลับไม่ชอบชื่อนี้ มันดูเป็นทางการเกินไป”
“ข้ามิได้ถามความเห็นว่าเจ้าชอบหรือไม่ชอบ” จี๋โม่ฮวาเสวี่ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา พลางยก กระบี่คำกล่าววีรชนขึ้นเล็กน้อย
“ในเมื่ออายุขัยข้าใกล้สิ้นแล้ว ข้าจึงอยากใช้ชื่อเดิม มันทำให้ข้านึกถึงตัวข้าในวัยเยาว์” ตงฟางเสี่ยวเยว่กล่าวด้วยท่าทีผ่อนคลาย
“หุบปาก” จี๋โม่ฮวาเสวี่ยตวาดลั่นพลางกระโจนขึ้นฟ้า พร้อมกระบี่ในมือที่พุ่งลงมาด้วยพลังทำลายล้าง
โม่ไป๋พยายามเงยหน้ามอง นางในชุดแดงกลางอากาศช่างดูสง่างาม เขาพึมพำออกมา “นี่หรือ…กระบี่หนึ่งเดียวของเซียนกระบี่”
เฟิงจั่วจวินและเซี่ยอวี่หลิงถูกพลังของกระบี่กดดันจนลุกขึ้นยืนไม่ได้ แต่พวกเขาก็พยายามเงยหน้ามอง กระบี่นี้เต็มไปด้วยพลังที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน
แม้จะเป็นลูกหลานของตระกูลใหญ่ในยุทธภพ เซี่ยอวี่หลิงผู้คุ้นเคยกับอาจารย์ดาบระดับสูงและเฟิงอวี่หาน ผู้ได้ชื่อว่าเป็นยอดฝีมือแห่งอาณาเขตต้าเจ๋อ แต่กระบี่นี้กลับเหนือชั้นเกินกว่าที่พวกเขาจะเปรียบเทียบ
กระบี่พุ่งลงมา ทันใดนั้นเมฆดำพลันก่อตัวหนาทึบบนท้องฟ้า และเสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง
แต่ตงฟางเสี่ยวเยว่ยังคงสงบ เขาสะบัดชายแขนเสื้อเบาๆ ก่อนจะยื่นนิ้วมือออกไปอย่างไม่เร่งรีบ
กระบี่ของจี๋โม่ฮวาเสวี่ยหยุดลงทันที ปลายกระบี่อยู่ห่างจากปลายนิ้วเพียงแค่คืบเดียว เสื้อคลุมของนางค่อยๆ ปลิวลงตามแรงลมที่สงบลง
“แค่นิ้วเดียวของเจ้ากลับหยุดกระบี่ข้าได้” จี๋โม่ฮวาเสวี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“เพียงแค่ข้าจะมีชีวิตสั้นลงอีกสามเดือนเท่านั้น” ตงฟางเสี่ยวเยว่ยิ้มบางๆ เหมือนพูดถึงเรื่องเล็กน้อย
“นี่หรือคือเหตุผลที่เจ้าไม่ลงจากเขาในวันนั้น?” จี๋โม่ฮวาเสวี่ยถาม
“ศิษย์ที่ข้ารักที่สุดจากไปแล้ว ไม่มีเหตุผลใดจะสำคัญไปกว่านั้น” ตงฟางเสี่ยวเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
จี๋โม่ฮวาเสวี่ยถอนหายใจยาว ก่อนหันหลังเดินจากไป พร้อมกับพลังกระบี่ที่กดดันทุกคนในบริเวณนั้นค่อยๆ หายไป
โม่ไป๋รีบเดินเข้าไปถามด้วยความกังวล “พี่สะใภ้ เหตุใดท่านจึงชักกระบี่ใส่อาจารย์?”
ตงฟางเสี่ยวเยว่ยิ้มบางๆ “คำเรียกนี้ช่างน่าสนใจนัก…ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง”
ในลานหลังของหมู่ตึก ซูไป๋อีมองจี๋โม่ฮวาเสวี่ยที่เพิ่งกลับมาพร้อมกระบี่ในมือด้วยความงุนงง
เขาพึมพำ “พี่สะใภ้ ข้าไม่เข้าใจ ท่านเพิ่งออกไปเมื่อครู่ไฉนกลับมาเร็วนัก หรือว่า…ท่านไปสังหารใครมา? แต่กระบี่นี้ไม่มีรอยเลือด”
จี๋โม่ฮวาเสวี่ยยิ้มบางๆ “เซียนกระบี่มิอาจเปื้อนเลือด”
ซูไป๋อีลังเลเล็กน้อยก่อนถาม “ใครมาเยือนที่นี่หรือ?”
“คนที่เจ้ารอคอยมานาน” นางกล่าวพลางหันหลังเหมือนจะจากไป
“คนที่ข้ารอ…หรือว่าจะเป็น เซียนปราชญ์?” ซูไป๋อีอุทานด้วยความตกใจ
“ใช่ เขาคือเซียนปราชญ์” จี๋โม่ฮวาเสวี่ยพยักหน้า
ซูไป๋อีกลืนน้ำลาย “แล้วเมื่อครู่ ท่านเพิ่งฆ่าเขาไปหรือ?”
จี๋โม่ฮวาเสวี่ยถอนหายใจเบาๆ “มิใช่ ข้าจะฆ่าเขาได้อย่างไร เจ้าควรรีบไปพบเขา”
ที่ลานหน้าหมู่ตึก โม่ไป๋ชี้ไปยังเรือนพัก “หนานกงซีเอ๋อร์ พักอยู่ในเรือนนี้”
ตงฟางเสี่ยวเยว่พยักหน้า “ข้าขอสนทนากับนางเพียงลำพัง”
“เช่นนั้น ข้าจะพาซูไป๋อีไปรอท่านที่โถงใหญ่” โม่ไป๋กล่าวพลางจากไป
ตงฟางเสี่ยวเยว่ เดินไปยังหน้าประตูเรือน พอถึงที่ก็เคาะเบาๆ
ในขณะนั้น หนานกงซีเอ๋อร์กำลังพยายามรวบรวมพลังปราณเพื่อฟื้นฟูตนเอง แต่ผลลัพธ์ยังคงเหมือนเดิม พลังที่รวบรวมไว้ค่อยๆ สลายเมื่อถึงจุดตันเถียน นางได้ยินเสียงเคาะประตูจึงหยุดและถามด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า “ใคร?”
“แม่นางหนานกง สะดวกให้ข้าเข้าไปหรือไม่?” เสียงจากด้านนอกตอบกลับ
“เข้ามาเถอะ” นางคิดว่าภายในหมู่ตึกหมึกจารึก ย่อมไม่มีศัตรู จึงตอบอย่างไม่คิดมาก
ไม่ทันที่คำพูดจะจบลง ชายหนุ่มในชุดขาวก็ปรากฏตัวนั่งอยู่ที่โต๊ะหน้าเตียงเสียแล้ว เขารินน้ำชาให้ตัวเองพร้อมกล่าวเสียงขำขัน
“ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าหากลงจากเขา จะต้องสร้างชื่อเสียงก้องยุทธภพเหมือนเช่นศิษย์พี่รองหรือ? แต่ข้ายังไม่ทันได้ยินชื่อเจ้าดังก้องในยุทธภพ เจ้ากลับต้องมานอนพักรักษาตัวเช่นนี้เสียแล้ว ซ้ำร้ายพลังภายในยังหายไปหมดอีกต่างหาก”
หนานกงซีเอ๋อร์ยังไม่ทันตกใจกับความรวดเร็วของเขา น้ำเสียงคุ้นเคยกลับทำให้นางชะงัก นางมองชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผู้สง่างามตรงหน้าและอุทานอย่างไม่อยากเชื่อ
“อาจารย์?”
“ข้าเคยบอกแล้วว่าตอนข้ายังหนุ่ม ข้าคือชายหนุ่มที่หล่อที่สุดในโลก แต่พวกเจ้าไม่เชื่อกัน บอกว่าข้าเป็นชายชราที่ชอบคุยโว คราวนี้ได้เห็นด้วยตาแล้ว คงเชื่อกันบ้างกระมัง?” ชายหนุ่มชุดขาวกล่าวพลางหยิบขวดยาออกมา นำยาเม็ดหนึ่งออกมาบดใส่ถ้วยชาแล้วยื่นให้ หนานกงซีเอ๋อร์
“ดื่มซะ”
“อาจารย์ ครั้งสุดท้ายที่ข้าเห็นท่าน ท่านยังดูเหมือนชายวัยกลางคน แล้วไยตอนนี้ถึงดูอ่อนวัยกว่าข้าเสียอีก?” นางรับถ้วยชามาพลางเอ่ยอย่างทั้งตื่นเต้นและประหลาดใจ
“หรือท่านสำเร็จวิชาคืนความเยาว์แล้วจริงๆ เช่นนั้นท่านต้องสอนข้านะ!”
ตงฟางเสี่ยวเยว่หัวเราะลั่น “ฮ่าๆๆ ครั้งหน้าเจ้าพบข้า ข้าอาจจะกลายเป็นเด็กแปดขวบก็ได้ ตอนนั้นเจ้าอย่าคิดล้างแค้นข้าเรื่องที่ข้าดุด่าเจ้าตลอดมาเชียวล่ะ” เขาชี้ไปที่ถ้วยชา “ดื่มซะ”
“นี่คืออะไร?” หนานกงซีเอ๋อร์ถามด้วยความสงสัย
“ยารักษาอาการบาดเจ็บของเจ้า” เขาตอบกลับ
หนานกงซีเอ๋อร์ยังอยากถามอีก แต่เลือกจะดื่มยาก่อน หลังจากดื่มเสร็จ นางจึงถามต่อ “อาจารย์ ท่านรู้วิธีรักษาอาการบาดเจ็บของข้าหรือ?”
“บาดแผลที่เกิดจากวิชาคัมภีร์เซียน ไม่มีใครในยุทธภพที่จะรู้จักมันดีกว่าข้า วิชานั้นไม่เพียงแค่ดูดซับพลังภายในของเจ้า แต่ยังสร้างความเสียหายแก่ตันเถียนของเจ้าอีกด้วย”
ตงฟางเสี่ยวเยว่ กล่าวพลางยื่นขวดยาให้ “ก่อนฝึกปราณทุกครั้ง จงกินยานี้ครั้งละเม็ด ในสิบวันอาการบาดเจ็บของเจ้าจะหายไป”
หนานกงซีเอ๋อร์พยักหน้า “อาจารย์เคยได้รับบาดเจ็บจากวิชาคัมภีร์เซียนด้วยหรือ?”
ตงฟางเสี่ยวเยว่ถอนหายใจ “เรื่องในอดีตไม่ควรจดจำ ตอนนั้นข้าโดนวิชานี้จนถึงกับล้มหมอบไปทั้งตัว”
เขาลุกขึ้นสะบัดเสื้อคลุม “ข้าจะไปพบซูไป๋อี เจ้าพักผ่อนเถอะ”
“อาจารย์ ท่านไม่ใช่กำลังเดินทางท่องยุทธภพหรือ? ทำไมถึงมาที่นี่ได้ แล้วยังรู้จักซูไป๋อีด้วย?”
“นี่เป็นเรื่องยาว” ตงฟางเสี่ยวเยว่เดินเข้าไปยีหัวหนานกงซีเอ๋อร์เล่นเบาๆ “ข้าจะปกป้องพวกเจ้าจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต”
“อาจารย์พูดอะไรกัน ท่านคืนความเยาว์แล้ว จะตายได้อย่างไร?” หนานกงซีเอ๋อร์คิดว่าเขาพูดเล่น แต่เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังของเขา หัวใจก็อดเต้นแรงไม่ได้
แต่ตงฟางเสี่ยวเยว่ยิ้มออกมา “ใช่แล้ว ข้าจะอยู่ปกป้องพวกเจ้าเสมอ ครั้งนี้ที่ข้าลงจากเขา สิ่งใดที่เจ้าอยากทำจงทำเถิด เพราะตราบใดที่ข้ายังอยู่…ไม่มีอะไรต้องหวาดกลัวอีกแล้ว”