บทที่ 64 ตัวตน
เมื่อรถม้าแล่นเข้าสู่อาณาเขตต้าเจ๋อ มุ่งหน้าไปยังหมู่ตึกหมึกจารึก โม่ไป๋ก็ออกมาพร้อมกับคนในหมู่ตึกเพื่อติดตามข่าวพวกเขา
โดยบังเอิญ ศิษย์คนหนึ่งที่เคยพบเฟิงจั่วจวินในอดีตเหลือบเห็นเขานั่งอยู่บนรถม้า จึงรีบโบกมือทักทาย
“นายน้อยเฟิง! นายน้อยเฟิง!”
เฟิงจั่วจวินหันมาพร้อมรอยยิ้ม “เห็นไหมเล่า ข้าบอกแล้วว่าในอาณาเขตต้าเจ๋อ ข้านั้นโด่งดังเพียงใด”
เซี่ยอวี่หลิงดึงบังเหียนหยุดรถม้าไว้
ศิษย์แห่งหมู่ตึกที่ชื่อโม่จือสิงรีบเข้ามาต้อนรับ “ข้าชื่อโม่จือสิง ครั้งหนึ่งนายน้อยเฟิงเคยพักอยู่ในหมู่ตึกก่อนเข้าเรียนในสำนักศึกษา ข้าเคยทำหน้าที่อารักขาท่าน”
เฟิงจั่วจวินยิ้ม “ข้าจำเจ้าได้โม่จือสิง วิชาดาบของเจ้านั้นไม่เลว นำทางพวกเราไปที่หมู่ตึก ข้ามีธุระจะพบศิษย์พี่โม่ไป๋”
โม่จือสิงกระโดดขึ้นรถม้าและรับแส้จากเซี่ยอวี่หลิง “ข้าได้รับข่าวแล้ว จึงออกมาต้อนรับท่านทั้งหลายโดยเฉพาะ”
เฟิงจั่วจวินเอ่ยถาม “หรือว่า ศิษย์พี่หญิงและซูไป๋อีมาถึงแล้ว?”
“ใช่แล้ว” โม่จือสิงตอบ “ช่วงสายมีสตรีสองท่านกับบุรุษหนึ่งท่านมาถึง”
เซี่ยอวี่หลิงขมวดคิ้ว “สตรีสองท่าน? ทำไมเพิ่มมาอีกหนึ่ง?”
ตงฟางเสี่ยวเยว่ยกคิ้วเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้ม “ยิ่งมากยิ่งดีมิใช่หรือ?”
เฟิงจั่วจวินหัวเราะเห็นด้วย “นั่นสิ!”
ประมาณครึ่งชั่วยาม รถม้ามาถึงหมู่ตึกหมึกจารึก ซึ่งตั้งอยู่ริมทะเลสาบ โม่ไป๋นำศิษย์ในหมู่ตึกออกมาต้อนรับทันทีที่ได้รับข่าว
“ศิษย์น้องทั้งสอง! ข้ารอพวกเจ้านานแล้ว!” โม่ไป๋กล่าวอย่างตื่นเต้น
เฟิงจั่วจวินรีบลงจากรถม้าไปกอดโม่ไป๋ “ศิษย์พี่โม่ไป๋! ข้าคิดถึงท่านยิ่งนัก!”
โม่ไป๋หัวเราะร่า “ศิษย์น้องเฟิงยังคงเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาเหมือนเคย และท่านผู้นี้คงเป็นศิษย์น้องเซี่ยกระมัง?”
เซี่ยอวี่หลิงลงจากรถม้าพร้อมพยักหน้า “ศิษย์พี่โม่ไป๋”
โม่ไป๋ยิ้มเก้อๆ ก่อนหันไปมองในรถม้า “ยังมีอีกคนหนึ่งหรือ?”
ตงฟางเสี่ยวเยว่นั่งเอนกายพิงอย่างสบายใจ ขว้างผลไม้ขึ้นลงเล่นในมือโดยไม่พูดอะไร
เซี่ยอวี่หลิงจ้องมองด้วยคิ้วขมวดเล็กน้อย เขาเริ่มมั่นใจว่า โม่ไป๋ไม่รู้จักตงฟางเสี่ยวเยว่
เฟิงจั่วจวินหัวเราะเสียงดัง “ฮ่าๆๆ ตงฟางเสี่ยวเยว่ คราวนี้เจ้าคุยโวเกินไปแล้ว! บอกว่าเจ้ารู้จักศิษย์พี่โม่ไป๋ แต่ศิษย์พี่เขาจำเจ้าไม่ได้เลย”
โม่ไป๋เพ่งมองตงฟางเสี่ยวเยว่ ด้วยความสงสัย “เจ้า…รู้จักข้าหรือ?”
ตงฟางเสี่ยวเยว่ หยิบผลไม้พลางหันมาด้วยรอยยิ้ม “โม่ไป๋ เจ้าจำข้าไม่ได้จริงหรือ?”
โม่ไป๋จ้องมองใบหน้าอันอ่อนเยาว์และหล่อเหลาตรงหน้า แม้เขาจะแน่ใจว่าไม่เคยเห็นคนผู้นี้มาก่อน แต่ท่าทางและน้ำเสียงนั้นกลับดูคุ้นเคยเสียจนเขารู้สึกประหลาดใจ เขาอ้าปากเหมือนจะพูดอะไร แต่ก็ไม่มีคำใดหลุดออกมา
“จำข้าไม่ได้จริงหรือ?” ตงฟางเสี่ยวเยว่ยิ้มอย่างมีเลศนัย
เฟิงจั่วจวินหัวเราะเก้อ “พอเถอะ ไม่มีใครจะหัวเราะเยาะเจ้าหรอก!”
ทันใดนั้น โม่ไป๋เข่าอ่อนทรุดลงกับพื้น ศิษย์ในหมู่ตึกต่างพากันตกใจร้อง “อาจารย์!”
โม่ไป๋เงยหน้าขึ้นพร้อมน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม ริมฝีปากสั่นเทา กล่าวออกมาทีละคำด้วยความลำบาก “ศะ…ศิษย์…แห่งสำนักศึกษา…มะ..มะ..โม่…ไป๋…ขอคารวะ…อาจารย์!”
ตงฟางเสี่ยวเยว่ ยิ้มบางๆ “ข้ามีศิษย์เพียงหนึ่งคนที่ชื่อโม่ไป๋ หาใช่ มะมะโม่ไป๋ ไม่”
“อะไรนะ!” เฟิงจั่วจวิน ตกใจสุดขีด เขาหันขวับกลับมาจ้องตงฟางเสี่ยวเยว่ “จะจะ…เจ้า…เจ้าคือ…”
เซี่ยอวี่หลิงสูดหายใจลึก “เซียนปราชญ์…”
“ข้าบอกพวกเจ้าตั้งแต่แรกแล้วว่าเป็นอย่างไร แต่พวกเจ้าไม่เชื่อเอง” ตงฟางเสี่ยวเยว่เดินลงจากรถม้าพลางยื่นผลไม้ในมือให้โม่ไป๋
เฟิงจั่วจวินยังมีสีหน้าไม่เชื่อ “เซียนปราชญ์ผู้นั้นอาวุโสกว่าบิดาข้า ทำไม…ถึงไม่ใช่ชายชรา?”
ตงฟางเสี่ยวเยว่ไขว้มือไว้ด้านหลังกล่าวด้วยน้ำเสียงภาคภูมิ “ข้ามีเคล็ดลับรักษาความเยาว์วัย”
เซี่ยอวี่หลิงจ้องมองตงฟางเสี่ยวเยว่อย่างเงียบงัน
ตงฟางเสี่ยวเยว่ ยิ้มบางๆ “จ้องข้าทำไมเล่า? ตอนที่ไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร เจ้าก็ยังเรียกข้าว่าพี่ชาย ครั้นตอนนี้รู้แล้ว ไม่คิดว่าควรจะ…” เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “คารวะอาจารย์หน่อยหรือ?”
เฟิงจั่วจวินกับเซี่ยอวี่หลิงมองหน้ากันครู่หนึ่ง ก่อนจะคุกเข่าลงพร้อมกัน พลางประสานมือและเอ่ยด้วยเสียงดังกังวาน “ศิษย์เฟิงจั่วจวินและเซี่ยอวี่หลิง ขอคารวะอาจารย์!”
ในลานหลังของหมู่ตึกหมึกจารึก ซูไป๋อีซึ่งได้ยินเสียงความวุ่นวายจากภายนอก รีบเก็บกระดาษเศษคัมภีร์เข้าซ่อนในอกเสื้อ “หรือว่าศิษย์พี่ทั้งสองมาถึงแล้ว?”
แต่สีหน้าของจี๋โม่ฮวาเสวี่ยกลับเคร่งเครียดลงเรื่อยๆ นางยื่นมือหยิบกระบี่คำกล่าววีรชนของซูไป๋อีมาถือไว้แน่น
“พี่สะใภ้ เกิดอะไรขึ้น?” ซูไป๋อีเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เขามาแล้ว” จี๋โม่ฮวาเสวี่ยพึมพำ
“ใคร? หรือว่าเป็นคนของสำนักสวรรค์ซ่างหลิน?” ซูไป๋อีเดาเมื่อเห็นท่าทีไม่สู้ดีของนาง
จี๋โม่ฮวาเสวี่ยไม่ตอบคำ ก่อนจะพุ่งตัวออกไปยังด้านหน้าของหมู่ตึกทันที
ตงฟางเสี่ยวเยว่โบกมือพลางเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “เอาล่ะๆ พวกเจ้าลุกขึ้นเถอะ”
ทันใดนั้น พลังปราณมหาศาลพลันยกทั้งสามคนให้ลุกขึ้น โม่ไป๋ยังคงเช็ดน้ำตาและกล่าวด้วยน้ำเสียงสะอื้น “อาจารย์ท่านมาเยี่ยมข้าจริงๆ โม่ไป๋ตื้นตันยิ่งนัก!”
“ความจริงข้าแค่ผ่านมาเท่านั้น” ตงฟางเสี่ยวเยว่กล่าวด้วยรอยยิ้มเก้อๆ
“เพียงแค่ท่านระลึกถึงข้าระหว่างเดินทาง นั่นก็เป็นเกียรติของข้าแล้ว!” โม่ไป๋เอ่ยอย่างจริงใจ
“เจ้าเป็นศิษย์ของข้า ข้าย่อมต้องระลึกถึง” ตงฟางเสี่ยวเยว่เดินเข้าไปตบบ่าโม่ไป๋
“พาข้าไปดูหมู่ตึกของเจ้าเถิด เมื่อครั้งนั้นเจ้ายังสามารถอยู่ในสำนักศึกษาได้แท้ๆ แต่กลับเลือกกลับมาที่นี่ ข้าคิดว่าที่นี่คงต้องมีบางอย่างพิเศษ…”
ขณะที่เขาก้าวเดิน จู่ๆ กลับหยุดนิ่งและเงยหน้าขึ้นช้าๆ
บนซุ้มประตูใหญ่ของหมู่ตึกปรากฎร่างหญิงสาวผู้หนึ่งยืนสง่า นางอยู่ในชุดแดงสะดุดตา กระบี่ยาวในมือสะท้อนแสงวาววับ ราวกับเทพกระบี่ที่มาเยือนโลกมนุษย์
สายตาของตงฟางเสี่ยวเยว่และจี๋โม่ฮวาเสวี่ยสบกันในชั่วขณะหนึ่ง เสื้อคลุมยาวสีขาวของเขาปลิวไสวไปตามแรงลมกระบี่ ในขณะที่เหล่าศิษย์ในหมู่ตึกถูกแรงกระบี่กระแทกจนปลิวกระจัดกระจาย
แม้แต่ โม่ไป๋ เฟิงจั่วจวินและเซี่ยอวี่หลิงยังยืนแทบไม่ไหว พลังปราณในร่างกายพวกเขากลับปั่นป่วนราวกับคลื่นใหญ่
ตงฟางเสี่ยวเยว่ยิ้มบาง “สวัสดีแม่นาง ข้าคือตงฟางเสี่ยวเยว่ นักพเนจรผู้ท่องไปทั่วหล้า”
จี๋โม่ฮวาเสวี่ย เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ตงฟางเหวินหลิน…”