บทที่ 63 สหายร่วมทาง
ภายในด้ามกระบี่นั้นกลับกลวงเปล่า แต่บรรจุกระดาษหลายแผ่นไว้ ซูไป๋อียังไม่ทันเปิดดูเนื้อหา แต่ลางสังหรณ์บอกเขาว่ามันคือสิ่งสำคัญ
“เจ้าคาดเดาได้แล้วหรือ?” จี๋โม่ฮวาเสวี่ยเอ่ยถาม
“ใช่ ข้าคิดว่าข้ากับสิ่งนี้มีวาสนาต่อกัน” ซูไป๋อีพยักหน้า
จี๋โม่ฮวาเสวี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เมื่อครั้งศึกกวาดล้างลัทธิมรรคาสวรรค์จบลง บิดาข้าได้นำกระดาษเหล่านี้กลับมา มีทั้งหมดยี่สิบหน้า เป็นภาพวาดวิชากระบี่ แต่วิชานี้แปลกประหลาดนัก กระบวนท่าของมันล้วนผิดธรรมชาติ บิดาข้าผู้ได้ชื่อว่าเป็นเซียนกระบี่แห่งยุค ยังใช้เวลาศึกษาถึงหนึ่งปีเต็มโดยไร้ผล ก่อนจะจากไปด้วยความขมขื่น บิดาเล่าว่าเคยประมือกับผู้ฝึกวิชานี้ และไม่อาจรับมือได้ถึงสิบกระบวนท่า ข้าเองก็เคยลองศึกษากระบวนท่ากระบี่เหล่านี้ แต่เมื่อฝึกไปได้เพียงสามท่า พลังปราณทั่วร่างกลับไหลย้อนกลับ ข้าคิดว่านี่คงเป็นเพราะมันเป็นเพียงกระบวนท่าที่ขาดเคล็ดวิชาอันเป็นหัวใจสำคัญซึ่งน่าจะอยู่กับสำนักสวรรค์ซ่างหลิน”
ซูไป๋อีขมวดคิ้ว “ตระกูลเซี่ยมีสามหน้า สำนักสวรรค์ซ่างหลินมีครึ่งหนึ่ง เมืองกระบี่จี๋โม่ได้ยี่สิบหน้า เช่นนั้น…สามสำนักใหญ่ และสี่ตระกูลใหญ่ในเขตต้าเจ๋อ ก็คงครอบครองเศษส่วนที่เหลือ?”
จี๋โม่ฮวาเสวี่ยพยักหน้า “ข้าก็คิดเช่นนั้น เมื่อรวมส่วนทั้งหมดเข้าด้วยกัน มันคือคัมภีร์วิชากระบี่ระดับเซียนที่สมบูรณ์ เป็นสมบัติที่เกิดจากศึกใหญ่ในอดีต เจ้าซึ่งฝึกวิชาครึ่งเล่มจากตระกูลเซี่ยมาแล้ว นับเป็นผู้มีโอกาสสูงที่สุดในยุทธภพที่จะฝึกมันจนสำเร็จ”
ซูไป๋อีเปิดกระดาษยี่สิบหน้าจากด้ามกระบี่นั้น พบตัวอักษรสี่คำเขียนไว้ว่า “เซียนชี้ทาง”
“นี่คือชื่อของวิชากระบี่” จี๋โม่ฮวาเสวี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบ
ซูไป๋อีถอนหายใจ “รู้สึกว่าวิชานี้ช่างลึกลับยากแท้หยั่งถึงยิ่งนัก”
ณ ถนนหลวงที่พาดผ่านเข้าสู่อาณาเขตต้าเจ๋อ
ชายหนุ่มหน้าตาคมคายคนหนึ่งนั่งอยู่หน้ารถม้าพร้อมแส้ในมือ เทียมรถด้วยท่าทีร่าเริง ด้านหลังคือเฟิงจั่วจวินและเซี่ยอวี่หลิง สองศิษย์จากสำนักศึกษา
“ข้ามแม่น้ำนั้นมา เราก็เข้าสู่อาณาเขตต้าเจ๋อแล้ว” เฟิงจั่วจวินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“กลับบ้านครั้งนี้ ข้าไม่รู้ว่าศิษย์พี่หญิงมาถึงหรือยัง”
เซี่ยอวี่หลิงเหลือบตามองชายหนุ่มผู้เทียมรถม้า “พวกเขาเดินทางทางน้ำ คงมาถึงเร็วกว่าพวกเรา สิบกว่าวัน แต่ด้วยความเร็วของรถม้าของคุณชายตงฟางเสี่ยวเยว่ บางทีอาจเป็นพวกเราที่ถึงก่อนก็เป็นได้”
ตงฟางเสี่ยวเยว่หัวเราะเสียงดัง “เมื่อครั้งข้ายังเยาว์ที่บ้านยากจน ข้าเคยเป็นลูกศิษย์ของสารถีที่เก่งที่สุดในเมืองเซิ่งจิง เรียนอยู่ปีเดียวก็เก่งถึงเก้าในสิบส่วน ทุกวันนี้อาจลดลงไปบ้าง แต่แปดส่วนยังคงอยู่ ทักษะการเทียมรถม้าให้เร็ว หรือการหาเส้นทางลัด ล้วนต้องมีเคล็ดลับ”
เฟิงจั่วจวินถอนหายใจ “ตงฟางเสี่ยวเยว่ เจ้านี่คุยโวได้ทุกเรื่องเลยนะ วันก่อนบอกว่าไก่ป่าเจ้าย่างอร่อยเพราะเคยเป็นพ่อครัวในโรงเตี๊ยมอวี้เฮ่อไจ้ พอข้าชมว่าวิชาตำราเจ้าดี เจ้ากลับบอกว่าจบการสอบระดับสูงที่ฮ่องเต้เคยพระราชทานพู่กันให้ แล้วอายุเจ้าดูไล่เลี่ยกับพวกเรา เจ้าจะมีประสบการณ์ชีวิตมากมายปานนั้นได้อย่างไร?”
ตงฟางเสี่ยวเยว่ทำเสียงสำคัญ “โลกกว้างใหญ่นัก สำนักเมฆาสางสวรรค์เพียงแห่งเดียว มันเล็กเกินไปสำหรับชีวิต”
เฟิงจั่วจวินหัวเราะ “แล้วปีนี้เจ้าอายุเท่าไรแล้วล่ะ?”
“คนเรานั้น เจ็ดสิบปีถือเป็นเรื่องหายาก ข้ากลับผ่านพ้นจุดนั้นมาแล้วสามหน” ตงฟางเสี่ยวเยว่กล่าวอย่างสงบ
“เจ็ดสิบสามหน? เจ้านี่ดูแลตัวเองได้ดีจริงๆ” เฟิงจั่วจวินชูนิ้วหัวแม่มือ
ตงฟางเสี่ยวเยว่หันมายิ้ม “ใช่หรือไม่เล่า?”
เซี่ยอวี่หลิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “แต่ข้ารู้สึกว่าเจ้าดูหนุ่มขึ้นในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา?”
ตงฟางเสี่ยวเยว่หัวเราะเบาๆ “อาบลมชมแดด กินผลไม้ป่า ดื่มน้ำบริสุทธิ์ ดูวิวทิวทัศน์โลกกว้าง อีกทั้งมีโอกาสเดินทางร่วมกับสองผู้กล้าวัยหนุ่ม ชีวิตเช่นนี้ดุจเทพเซียน ความอ่อนเยาว์ย่อมหวนคืน”
ชายหนุ่มกล่าวพลางเป่าปากเป็นเพลงด้วยอารมณ์รื่นเริง
เฟิงจั่วจวินส่ายหน้าและกล่าว “ข้ามีศิษย์น้องใหม่คนหนึ่ง นามว่าซูไป๋อี”
ตงฟางเสี่ยวเยว่พยักหน้า “ข้าเคยได้ยินเจ้าพูดถึงเขา”
เฟิงจั่วจวินยิ้มพลางกล่าว “เขาเคยบอกว่าอยากเขียนตำรารวบรวมเรื่องราวของผู้คนแปลกประหลาดในยุทธภพ ข้าว่าเขาน่าจะเขียนถึงเจ้า”
“เขียนเรื่องอะไรของข้าหรือ?” ตงฟางเสี่ยวเยว่ถามพลางหัวเราะ
“ก็เรื่องที่เจ้าชอบคุยโวที่สุดในใต้หล้าอย่างไรเล่า!” เฟิงจั่วจวินแหย่
“ที่ข้าพูดมาเป็นเรื่องจริงทั้งนั้น” ตงฟางเสี่ยวเยว่โยนแส้ม้าในมือให้เซี่ยอวี่หลิง ก่อนบิดตัวด้วยท่าทางผ่อนคลาย “เหนื่อยแล้วๆ เจ้าช่วยเทียมรถม้าต่อทีเถอะ”
เซี่ยอวี่หลิง รับแส้มาและนั่งเทียมม้าต่อ “เจ้าจะไปกับเราที่สำนักเมฆาสางสวรรค์จริงหรือ?”
“ไม่ไปหรอก” ตงฟางเสี่ยวเยว่กล่าวพลางอ้าปากหาว “ในอาณาเขตต้าเจ๋อ มีทิวทัศน์งดงามนับไม่ถ้วน ข้าจะไปทำไมให้เสียเวลา? เดี๋ยวข้าเดินทางต่ออีกสักหน่อย เจ้าก็ปล่อยข้าลงตรงนั้นแล้วกัน”
เฟิงจั่วจวินเอ่ยขึ้น “เราต้องไปหมู่ตึกหมึกจารึกเพื่อพบศิษย์พี่หญิงก่อน ข้าก็อยากให้พวกนางได้พบเจ้า เจ้าเป็นคนพิเศษที่สุดที่ข้าเคยเจอมา”
“หมู่ตึกหมึกจารึก… นั่นมันบ้านของโม่ไป๋มิใช่หรือ?” ตงฟางเสี่ยวเยว่ตาเป็นประกาย
“ใช่เลย โม่ไป๋เป็นศิษย์พี่ผู้ใจดี ข้าคิดว่าเขาจะต้องต้อนรับเจ้าอย่างดี หรือว่าเจ้ารู้จักเขา?”
“ไม่เจอกันหลายปีแล้ว ข้าอยากรู้ว่าเขาอยู่ที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง” ตงฟางเสี่ยวเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงรำลึก “ก็ได้ๆ เห็นทีต้องไปพบหน้าเขาสักครั้ง”
เซี่ยอวี่หลิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไม่ไปพบก็ไม่เป็นไร พวกเราไม่ได้ตั้งใจจะอยู่ที่นั่นนาน”
เฟิงจั่วจวินจ้องมองด้วยความไม่พอใจ “เจ้าช่างเย็นชาเสียจริง”
ตงฟางเสี่ยวเยว่ถอนหายใจ “ใช่ คนนี้มันเย็นชานัก”
เฟิงจั่วจวินหยิบผลไม้อีกผลส่งให้ ตงฟางเสี่ยวเยว่ “ไม่ต้องไปสนใจเขา”
“ตอนเด็กเขาต้องมีชีวิตที่แย่แน่” ตงฟางเสี่ยวเยว่เอ่ยพลางโยนผลไม้ในมือไปกระแทกหัวเซี่ยอวี่หลิง “หากเจ้าเกลียดชะตาชีวิตและครอบครัวของเจ้า เจ้าก็ต้องก้าวออกมาจากโลกใบเล็กนั้น เพราะพวกเขาผิด แต่เจ้า…ต้องทำสิ่งที่ถูก”
เฟิงจั่วจวินยกนิ้วโป้งให้ “คำพูดนี้ช่างลึกซึ้ง”
เซี่ยอวี่หลิงหยิบผลไม้ออกจากหัวพลางพึมพำ “เจ้ารู้เรื่องอะไรบ้าง?”
“ข้ารู้ว่าเจ้าเคยมีพี่ชายชื่อเซี่ยซิง ที่ยุทธภพเรียกขานว่าชายชุดคราม และพี่สาวชื่อเซี่ยอวิ๋นเยี่ยน นางเคยได้รับการยกย่องว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งแห่งสี่ตระกูลใหญ่ เมื่อเจ้ามีอายุสิบห้าปี เซี่ยอวิ๋นเยี่ยนถูกบังคับให้แต่งงานกับบุตรชายคนโตแห่งตระกูลหวังซึ่งขึ้นชื่อว่าโง่เขลา เจ้ากับพี่ชายไม่อาจยอมรับได้ จึงขัดขวางขบวนเจ้าสาวในวันแต่งงาน และเกือบถูกสังหารโดยคนของตระกูลหวัง หลังจากนั้น เซี่ยซิงจึงปลีกตัวไปฝึกยุทธ์ ส่วนเจ้าก็เข้ามาเป็นศิษย์สำนักศึกษา หวังจะเป็นศิษย์สายตรงของเซียนปราชญ์เพื่อกลับไปช่วยพี่สาว แต่ตระกูลเซี่ยอ่อนแอที่สุดในสี่ตระกูลใหญ่ ในขณะที่ตระกูลหวังแข็งแกร่งที่สุด เจ้าจึงต้องพึ่งพาตนเอง”
เซี่ยอวี่หลิงดวงตาหรี่ลง เฟิงจั่วจวินเองก็ตกใจ “มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือ? ไม่น่าแปลกใจที่เจ้ามักทำหน้าตาเศร้าหมองตลอดเวลา”
ตงฟางเสี่ยวเยว่ตบหลังเซี่ยอวี่หลิง “อย่าโกรธไปเลย ข้าถามเฟิงจั่วจวินให้แทน หากในสามปีต่อมาเขายังเอาชนะคนของตระกูลหวังไม่ได้ เจ้าคิดจะทำอย่างไร?”
เฟิงจั่วจวินตอบทันควัน “ทำอย่างไรหรือ? ก็หยิบดาบขึ้นสู้สิ! เซี่ยอวี่หลิงคนเดียวไม่พอ ข้าก็เพิ่มตัวเองเข้าไปด้วย รวมทั้งซูไป๋อี หากยังไม่พอก็เพิ่มศิษย์พี่หญิงของเรา นางแข็งแกร่งยิ่ง!”
ตงฟางเสี่ยวเยว่ ยิ้มพลางถาม “ก่อนหน้านี้เจ้าไม่บอกหรือว่าศิษย์พี่หญิงของเจ้าเป็นคู่ปรับในสำนักศึกษา?”
“ในนิยายไม่ได้บอกหรือ เพราะชอบถึงได้เป็นคู่ปรับ!” เฟิงจั่วจวินหัวเราะพร้อมโอบไหล่เซี่ยอวี่หลิง
“พวกเราเป็นพี่น้องที่ดีต่อกันต่างหาก”
เซี่ยอวี่หลิงรู้สึกขนลุกพลางผลักเขาออก “ไสหัวไป!”
เฟิงจั่วจวินยิ้มกว้าง “ว่าแต่ พี่สาวเจ้าสวยจริงหรือ? สวยเท่าศิษย์พี่หญิงของเราหรือไม่? หากเราช่วยนางออกมาแล้วนางชอบข้า เจ้าจะต้องเรียกข้าว่าพี่เขย!”
“ไปให้พ้น!” เซี่ยอวี่หลิงตะโกนลั่น
เฟิงจั่วจวินลุกขึ้นยืน เสื้อคลุมปลิวไสวไปกับสายลม เขาชูนิ้วชี้ขึ้นและประกาศด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“สำหรับบุรุษ แก้แค้นสามปีมันนานเกินไป หนึ่งปี! หนึ่งปีหลังจากนี้เราจะไปท้าทายตระกูลหวังพร้อมเจ้า!”