บทที่ 62 ถามใจ
ในขณะที่หนานกงซีเอ๋อร์ไอออกมาอย่างรุนแรงจนทุกคนหันไปมอง โม่ไป๋เอ่ยถามด้วยความกังวล
“ศิษย์น้อง เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือ?”
หนานกงซีเอ๋อร์ ส่ายหน้า “เรื่องนี้เล่ายาวนัก”
ซูไป๋อีรีบเอ่ย “ศิษย์พี่โม่ไป๋ ท่านมีสมุนไพรหรือโอสถที่ช่วยเสริมความมั่นคงของปราณบ้างหรือไม่?”
โม่ไป๋ครุ่นคิดชั่วครู่ ก่อนตอบ “มีแน่นอน ในห้องยาของข้ามีโอสถชุนเซิงไป่ลู่ เดี๋ยวข้าจะสั่งให้คนไปนำมา”
ซูไป๋อีพยักหน้า “ขอบคุณมาก แล้วในช่วงนี้มีศิษย์จากสำนักศึกษาคนอื่นมาเยือนบ้างหรือไม่?”
โม่ไป๋ส่ายหน้า “ไม่เลย นับสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ มีเพียงพวกเจ้าที่มาเยือน ครั้งสุดท้ายคือคราวที่มีศิษย์มารับ เส้าจงจู่แห่งสำนักเมฆาสางสวรรค์ไปสำนักศึกษา”
ซูไป๋อีพยักหน้า “ใช่แล้ว ศิษย์พี่เฟิงจั่วจวินและศิษย์พี่เซี่ย ดูเหมือนจะยังไม่ได้มา”
จากนั้นหันไปหา หนานกงซีเอ๋อร์ “ศิษย์พี่ ท่านไปพักรักษาตัวก่อนดีหรือไม่? ทางนี้ข้ากับศิษย์พี่โม่ไป๋จะออกไปสืบข่าวกันเอง”
หนานกงซีเอ๋อร์ พยักหน้า “ฝากด้วยแล้วกัน”
โม่ไป๋สั่งการคนรับใช้ “พาศิษย์น้องหนานกงไปพักในห้องรับรอง และนำโอสถชุนเซิงไป่ลู่ ไปให้ด้วย”
หลังจากหนานกงซีเอ๋อร์ เดินตามคนรับใช้จากไป จี๋โม่ฮวาเสวี่ยพลันถามขึ้น “เจ้าชอบศิษย์พี่หญิงของเจ้าหรือไม่?”
ซูไป๋อีหน้าแดงก่ำ พลางโบกมือปฏิเสธ “พี่สะใภ้อย่าล้อเล่นเลย นางคือศิษย์พี่หญิงของข้านะ”
จี๋โม่ฮวาเสวี่ย หัวเราะเบาๆ “ศิษย์พี่หญิงแล้วอย่างไร? ข้ายังเคยเห็นศิษย์แต่งงานกับอาจารย์มาก่อนเลย”
ซูไป๋อีหน้าแดงยิ่งขึ้น “พี่สะใภ้ หยุดล้อข้าเถิด”
จี๋โม่ฮวาเสวี่ยยิ้ม “ชอบก็บอกว่าชอบ ไม่ชอบก็บอกว่าไม่ชอบ ไยต้องลังเลด้วย?”
จากนั้นนางหันไปสั่ง โม่ไป๋ “ศิษย์น้องโม่ โปรดนำคนออกไปสืบข่าวว่ามีศิษย์จากสำนักศึกษาผ่านมาที่นี่บ้างหรือไม่ และจัดเรือนรับรองไว้แห่งหนึ่ง ข้ามีเรื่องจะพูดกับศิษย์น้องซู”
โม่ไป๋พยักหน้า “เข้าใจแล้ว ข้าจะจัดการเดี๋ยวนี้”
ลานหลังหมู่ตึกหมึกจารึก
ซูไป๋อียืนอยู่ด้วยท่าทีเคารพ ถือกระบี่ในมืออย่างแน่วแน่ ขณะที่จี๋โม่ฮวาเสวี่ยนั่งจิบชาอย่างผ่อนคลาย
“ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าที่อาจารย์เจ้าไม่สอนวิชากระบี่นั้น ไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากสอน แต่เพราะเขาไม่รู้จะสอนอย่างไร” จี๋โม่ฮวาเสวี่ยเอ่ยอย่างใจเย็น
ซูไป๋อีถอนหายใจโล่งอก ในใจคิดว่านางคงไม่พูดเรื่องความรักอีกแล้ว จึงรีบตอบ “พี่สะใภ้ ท่านจะสอนวิชากระบี่อะไรให้ข้า? วิชาแบบที่ท่านใช้ท่องบนคลื่นสมุทรนั้นหรือ?”
จี๋โม่ฮวาเสวี่ยยิ้ม “นั่นไม่ใช่วิชากระบี่ เพียงแค่ทำไปโดยไม่คิด แต่ก่อนจะเริ่ม ข้าขอถามเจ้าสักสองสามข้อ”
ซูไป๋อีพยักหน้า “โปรดถามมาเถิด”
“เหตุใดเจ้าจึงอยากฝึกกระบี่อย่างเร่งด่วน?”
“ก่อนหน้านี้ข้าอยู่ที่ หมู่บ้านดอกท้อ ทุกวันเพียงแค่อ่านตำรา เขียนตัวอักษร ดื่มสุราดอกท้อ ข้าคิดว่าฝึกกระบี่ไปก็คงไม่มีประโยชน์อะไร สุราก็ไม่หวานขึ้น เงินก็ไม่พอใช้…”
“แล้วตอนนี้เล่า?”
ซูไป๋อีคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ยกมือประสานคำนับ “อาจารย์ข้าติดอยู่ที่เขาเหวยหลง ข้าจึงต้องการฝึกกระบี่เพื่อช่วยอาจารย์!”
จี๋โม่ฮวาเสวี่ย หัวเราะเบาๆ “เจ้าต้องการช่วยอาจารย์อย่างนั้นหรือ?”
ซูไป๋อีพยักหน้า “ใช่ อาจารย์ให้ข้าขึ้นเขาไปขอความช่วยเหลือจากเซียนปราชญ์ แต่ท่านไม่อยู่ ข้าเลยคิดว่า แทนที่จะรอ ควรฝึกกระบี่ให้เก่งกว่านี้ อย่างน้อยจะได้มีโอกาสช่วยอาจารย์มากขึ้น”
จี๋โม่ฮวาเสวี่ย มองเขาด้วยแววตาอบอุ่น “เจ้าถือว่าอาจารย์เป็นญาติคนเดียวในโลกนี้?”
ซูไป๋อีพยักหน้าหนักแน่น “ใช่ เขาเป็นคนเดียวที่ข้ามี”
จี๋โม่ฮวาเสวี่ยเดินเข้าไปพยุงเขาขึ้น “ไม่ต้องห่วง อนาคตเจ้าจะมีญาติมากขึ้น เช่นศิษย์พี่หญิงของเจ้า…”
ซูไป๋อีหัวเราะพลางส่ายหน้า “พี่สะใภ้ ท่านชอบล้อเล่นจริงๆ”
“ข้ามิได้ล้อเล่น หากอาจารย์เจ้าเป็นบิดาของนาง แล้วนางมิใช่ญาติเจ้าหรือไร?”
ในขณะพูด กระบี่ยาวที่คาดอยู่เอวนางพลันพุ่งออกจากฝัก แทงไปยังซูไป๋อีอย่างรวดเร็ว
ซูไป๋อีพลิกตัวหลบ แต่เสียหลักล้มลง กระบี่เล่มนั้นหยุดปลายห่างจากหว่างคิ้วของเขาเพียงคืบ
ซูไป๋อี อ้าปากค้าง “พี่สะใภ้ ท่านควบคุมกระบี่โดยไม่ใช้มือได้อย่างไร?”
จี๋โม่ฮวาเสวี่ยยิ้ม “เพราะคนอื่นเป็นเพียงมือกระบี่ แต่ข้าเป็นเซียนกระบี่”
ซูไป๋อีถอนหายใจ “นี่ท่านกำลังอวดหรือ?”
จี๋โม่ฮวาเสวี่ยหัวเราะ “แน่นอน เช่นเดียวกับที่ข้าล้อเล่นกับเจ้า”
“จับกระบี่เล่มนี้ไว้” จี๋โม่ฮวาเสวี่ยกล่าวขึ้นอย่างกะทันหัน
ซูไป๋อีอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนก้าวอ้อมกระบี่นั้นและยื่นมือขวาจับด้ามกระบี่ “กระบี่ของท่านเล่มนี้ชื่อว่าอะไรหรือ?”
“ไร้นาม” จี๋โม่ฮวาเสวี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ไร้นามหรือ?” ซูไป๋อีขมวดคิ้วอย่างสงสัย
“กระบี่ก็คือกระบี่ ไยต้องตั้งชื่อ? ข้าซึ่งเป็นเซียนกระบี่แล้ว ยังจะใส่ใจว่ากระบี่ของตนจะเป็นกระบี่มีนามหรือไม่?” น้ำเสียงของจี๋โม่ฮวาเสวี่ยเจือด้วยความไม่แยแส
นางกล่าวต่อ “เจ้าจงปักกระบี่ยาวเล่มนี้ลงบนพื้น จากนั้นกดด้ามกระบี่ลง หมุนไปทางขวาสามรอบ แล้วหมุนกลับทางซ้ายสามรอบ จากนั้นยกด้ามกระบี่ขึ้น”
ซูไป๋อีทำตามคำสั่งอย่างระมัดระวัง ทุกขั้นตอนถูกต้อง แต่เมื่อเขายกด้ามกระบี่ขึ้นมาเต็มแรง กลับพบว่ามือเขาถือเพียงด้ามกระบี่เปล่า ขณะที่ตัวกระบี่หลุดตกลงพื้น
เคร้ง!
“แย่แล้ว! กระบี่ของเซียนกระบี่พังเสียแล้ว!” ซูไป๋อีตะโกนออกมาด้วยความตกใจ
“ซูไป๋อี!” จี๋โม่ฮวาเสวี่ยพลันขึ้นเสียงด้วยความดุดัน
ซูไป๋อีตัวแข็งทื่อ เอ่ยด้วยเสียงสั่น “ข้า...ข้าผิดไปแล้ว...”
“ข้าจะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย” จี๋โม่ฮวาเสวี่ยเอ่ยอย่างเน้นคำชัดถ้อยชัดคำ “เหตุใดเจ้าจึงฝึกกระบี่?”
“เพื่อช่วยอาจารย์ข้าน่ะสิ!” ซูไป๋อีตอบอย่างตื่นตระหนก
“เจ้ามีความมุ่งหมายในการฝึกกระบี่ที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ไม่ได้หรือ?” จี๋โม่ฮวาเสวี่ยส่ายหน้า
“หากวันหนึ่ง ศิษย์พี่หญิงของเจ้าสูญเสียพลังและมีคนหมายจะสังหารนาง เจ้าจะปกป้องหรือไม่?”
“ย่อมต้องปกป้องนาง!”
“แล้วหากข้าซึ่งเป็นเซียนกระบี่ สูญเสียพลังจนถูกตามล่า เจ้าจะทำเช่นไร?”
“ย่อมต้องชักกระบี่ขึ้นสู้จนตัวตาย!”
จี๋โม่ฮวาเสวี่ยสูดลมหายใจลึกแล้วถามอีกครั้ง “ตอบข้าใหม่อีกครั้ง เหตุใดเจ้าจึงฝึกกระบี่?”
ซูไป๋อีรู้สึกถึงแรงกดดันอันมหาศาลราวกับบรรยากาศในลานหลังหมู่ตึกถูกปกคลุมด้วยเจตนากระบี่ของเซียนกระบี่จนทำให้เขาแทบยืนไม่ไหว เขากลืนน้ำลายและกล่าวด้วยเสียงหนักแน่น
“เพื่อปกป้อง...ปกป้องทุกคนที่ข้าให้ความสำคัญ”
แม้ได้ยินคำตอบนี้แล้ว จี๋โม่ฮวาเสวี่ยยังส่ายหน้า “เล็กเกินไป! เจ้ายังมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ไม่ได้หรือ?”
ซูไป๋อีเริ่มรู้สึกท้อ เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงปนสะอื้น “ท่านจะเอาใหญ่สักแค่ไหนกันเล่า...”
จี๋โม่ฮวาเสวี่ยแหงนมองฟ้าและกล่าว “เช่นการผดุงธรรมในใต้หล้า?”
ซูไป๋อีอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยอย่างไม่คิด “ช่างเป็นคำพูดที่โบราณเสียจริง...”
“ใช่ คำพูดเช่นนี้ราวกับหลุดออกมาจากนิยายที่เต็มไปด้วยอุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมผู้คนถึงชอบหัวเราะเยาะคำพูดเหล่านี้และผู้ที่กล่าวคำนี้?”
นางกล่าวพลางใช้ปลายเท้าสะกิดพื้นเบาๆ ก่อนเคลื่อนตัวมายืนตรงหน้าของซูไป๋อี ทั้งสองอยู่ใกล้กันจนต่างฝ่ายต่างสัมผัสได้ถึงลมหายใจ
ซูไป๋อีหน้าแดงพลางคิดในใจ นี่ใกล้เกินไปแล้ว!
จี๋โม่ฮวาเสวี่ยถอยหลังหนึ่งก้าว ยกมือขึ้นเล็กน้อย ทำให้มือที่ถือด้ามกระบี่ของซูไป๋อียกขึ้นตามอย่างไม่อาจควบคุม
“คนเหล่านั้นหัวเราะเยาะ เพราะพวกเขาไม่อาจทำได้” นางกล่าวพลางหมุนตัวกลับ
ชุดแดงพลิ้วไหวราวถูกลมพัด “การผดุงธรรมในใต้หล้าอาจดูเป็นเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่เกินไปสำหรับเจ้าในตอนนี้ แต่ข้าหวังว่าในวันหนึ่งที่เจ้ามีความสามารถเพียงพอ เจ้าจะไม่ลืมเป้าหมายนี้ เพราะมันเคยเป็นอุดมการณ์ของเจ้าสำนักใหญ่ซูหาน”
นางชี้ไปยังด้ามกระบี่ “พลิกด้ามกระบี่ดู ข้างในนั้นคือสิ่งที่ข้าจะสอนเจ้า”
ซูไป๋อีพลิกด้ามกระบี่และมองสิ่งที่อยู่ภายในด้วยความตื่นตะลึง “นี่มัน…”