บทที่ 6 หยกศักดิ์สิทธิ์
หลี่ทงหยาและหลี่เซี่ยงผิงทั้งสองเข้าไปในดงอ้อ พยายามแหวกต้นอ้อหนาแน่นเพื่อมองไปข้างหน้า กระจกสีเทาอมฟ้าซึ่งถือไว้ในมือส่งแสงสว่างสีขาวอุ่นๆออกมา หลี่เซี่ยงผิงมองดูทิศทางและพูดเบาๆ
“นั่นคือทิศทางของทะเลสาบวั่งเยว่ เดินไปตามเส้นทางโบราณของดินแดนหลี่ประมาณครึ่งชั่วโมงก็ถึง”
หลี่ทงหยาส่ายศีรษะแล้วพูดว่า
“ทางนั้นเดินไม่ได้ต้องลัดเลาะผ่านดงอ้อไป”
หลี่เซี่ยงผิงตอบรับเบาๆและก้มตัวเดินตามพี่ชายเข้าไป
หลู่เจียงเซียนซึ่งอยู่ในกระจกรู้สึกถึงแรงดึงดูดที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆเมื่อเข้าสู่ดงอ้อ ภาพทิวทัศน์ที่ปรากฏเบื้องหน้าเริ่มชัดเจนขึ้น เป็นภาพทะเลสาบใสราวกับกระจกมีนกกระยางสีขาวนับสิบตัวพักผ่อนอยู่ริมฝั่ง
เมื่อหลี่เซี่ยงผิงเดินต่อไป กระจกในมือก็ยิ่งร้อนขึ้นจนเขาเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ เขาเงยหน้ามองพี่ชาย หลี่ทงหยายังคงนิ่งเงียบ แต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยความกังวล
“วาสนาเซียนจะเป็นสิ่งที่มนุษย์ธรรมดาเข้าถึงได้หรือ…” หลี่เซี่ยงผิงลูบกระจกในมือโดยไม่รู้สึกว่ามันร้อน
“เจ้ากระจกวิเศษ ใกล้ถึงแล้ว…” เขาพูดพึมพำกับกระจกสีเทาอมฟ้าในมือ
ไม่นานนักทั้งสองก็หลุดออกจากดงอ้อหนาทึบ ภาพทะเลสาบวั่งเยว่ที่ส่องประกายระยิบระยับพร้อมฝูงนกกระยางที่บินหนีขึ้นฟ้าก็ปรากฏต่อสายตา
หลู่เจียงเซียนจ้องมองไปยังเกาะหินที่อยู่กลางทะเลสาบ บนเกาะที่เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำนั้น มีหินหยกที่เปล่งแสงสีขาวสลับแสงระยิบระยับติดอยู่ในรอยแยกของโขดหิน
กระจกในมือหลี่เซี่ยงผิงปล่อยแสงจันทร์สีขาวออกมาเป็นสาย หลี่ทงหยาและหลี่เซี่ยงผิงมองเห็นภาพเกาะหินที่ส่องแสงอยู่ในกระจกอย่างชัดเจน
ทั้งสองสบตากันและเห็นความตื่นเต้นในแววตาของอีกฝ่าย หลี่เซี่ยงผิงพยักหน้าแรงๆก่อนจะถอดเสื้อเตรียมลงน้ำ
“เดี๋ยวก่อน!” หลี่ทงหยาดึงตัวเขาไว้และพูดว่า
“ข้าจะไปเอามาเอง เจ้าเฝ้ากระจกอยู่ที่นี่ หากถึงเวลาที่พระจันทร์เคลื่อนไปถึงจุดนั้นแล้วข้ายังไม่กลับมา…”
เขาชี้ไปบนท้องฟ้า
“เจ้าจงซ่อนกระจกไว้ในดงอ้อแล้ววิ่งไปตามเส้นทางโบราณดินแดนหลี่ อย่ากลับบ้านจนกว่าพระอาทิตย์จะขึ้นสูงถึงยอดไม้จึงค่อยกลับมาดูสถานการณ์”
“ได้…” หลี่เซี่ยงผิงตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ น้ำตาคลอเบ้า เขาเช็ดน้ำตาและมองพี่ชายด้วยความหวาดหวั่น
หลี่ทงหยาหัวเราะเบาๆก่อนจะถอดเสื้อเผยให้เห็นร่างกายกำยำแล้วกระโดดลงน้ำว่ายไปยังเกาะหิน ทิ้งหลี่เซี่ยงผิงไว้ในดงอ้อ เขามองตามพี่ชายด้วยความกังวล
ก่อนหน้านี้หลี่ทงหยามาที่ทะเลสาบวั่งเยว่กับพ่อและพี่น้องหลายครั้ง เขาว่ายน้ำไปยังเกาะได้อย่างคล่องแคล่วใช้เวลาเพียงไม่นานก็ถึงเกาะ
เขาสำรวจรอยแยกของโขดหินอย่างระมัดระวังและในเวลาเพียงหนึ่งธูปเขาก็ตรวจดูทั่วทั้งเกาะ
“ไม่มี…” หลี่ทงหยาขมวดคิ้วก่อนจะตรวจสอบอีกครั้งอย่างละเอียด คราวนี้เขาพบปูแม่น้ำตัวเล็กๆ ห้าหกตัว
ในที่สุดเขารู้สึกถึงสัมผัสเย็นๆที่นิ้วและพบวัตถุเรียบลื่น เขาใช้สองนิ้วดึงหยกยาวประมาณสองนิ้วออกมา
หยกนี้มีลักษณะเป็นแผ่นยาวมีลวดลายโบราณจารึกไว้ เมื่อใช้แสงจันทร์พิจารณาเขาสามารถอ่านได้บางคำว่า “ไท่…เยว่…ชี่…หยาง…หลุน…”(วัฏจักรแห่งการบำรุงพลังแสงจันทร์) ลวดลายบนหยกซับซ้อนและเป็นเอกลักษณ์ทำให้การอ่านยากลำบาก
เมื่อมองไปยังฝั่งเขากำหยกไว้ในมือและว่ายน้ำกลับมา
“น้องสาม!”
เขาขึ้นจากน้ำและเรียกเบาๆไปยังดงอ้อ หลี่เซี่ยงผิงโผล่ออกมา หลี่ทงหยาตั้งใจจะแสดงหยกที่พบนั้น แต่ทันทีที่เขาแบมือหยกก็กลายเป็นแสงสีขาวพุ่งเข้าไปในกระจก
ทั้งสองตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มองดูกระจกที่แสงสีขาวค่อยๆจางลง และแสงจันทร์ก็หลอมรวมเข้ากับกระจกจนหมดสิ้น
หลู่เจียงเซียนในกระจกรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าลงมาที่ร่าง ความรู้มากมายไหลเข้าสู่จิตใจของเขาอย่างรวดเร็ว เขาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดก่อนจะหมดสติไป
หลี่ทงหยาและหลี่เซี่ยงผิงมองกระจกในมือที่กลืนหยกไปอย่างไม่เข้าใจ พวกเขาเห็นแสงสีขาวสงบลงช้าๆ
แสงอรุณสีทองแดงเริ่มสาดส่องท้องฟ้า ส่องประกายบนร่างกายของหลี่ทงหยาที่เปลือยเปล่าช่วงบน เผยให้เห็นลายกล้ามเนื้อสีทองเรืองรอง เขาก้มหน้าพูดกับน้องชาย
“กลับบ้านก่อนก่อน”
.....
หลี่มู่เถียนนั่งอยู่ที่โต๊ะไม้สีแดงสดรับฟังสองพี่น้องเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างละเอียด เขาพยักหน้าพร้อมพูดกับหลี่ทงหยา
“ทำได้ดีมาก”
เมื่อคืนนี้เขาและหลี่จางหูนอนไม่หลับทั้งคืน บัดนี้เมื่อเห็นลูกทั้งสองกลับมาอย่างปลอดภัย ใจที่เคยหวั่นวิตกก็สงบลงได้เสียที
“ลานหน้าบ้านเรากับลานหลังที่ติดภูเขาไม่นับว่าเล็กนัก ข้าอยากสร้างเรือนอีกสองหลังหน้าสวนแตงเชื่อมต่อกันให้เป็นลานใหญ่ หากปิดประตูหน้าก็ไม่มีใครมาแอบดูได้”
หลี่มู่เถียนกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ความคิดนี้เขาเก็บไว้นานแล้ว เพราะลูกๆกำลังเติบโตและใกล้เวลาที่ต้องแยกครอบครัวกันอยู่
ด้วยทรัพย์สมบัติของตระกูลหลี่ พวกเขาถือเป็นครอบครัวใหญ่ที่มีฐานะในหมู่บ้าน หลี่มู่เถียนเคยเป็นทหาร เมื่อกลับมาก็ซื้อที่นากว่าสิบหมู่ บวกกับที่ดินจากพ่อที่ได้รับสืบทอดอีกห้าหมู่ รวมแล้วครอบครัวเขามีที่ดินเกือบยี่สิบหมู่
หมู่บ้านหลี่จิ้งมีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ทั้งดงอ้อและที่ลุ่มน้ำช่วยเลี้ยงปากท้องชาวบ้าน
หากพึ่งพาแรงงานคนที่ดินยี่สิบหมู่ในปีที่ผลผลิตอุดมสมบูรณ์ก็เพียงพอเลี้ยงครอบครัวสิบกว่าชีวิต ตระกูลหลี่จึงสามารถปิดประตูบ้านดำรงชีพอย่างเจ้าของที่ดินได้
เพราะตระกูลหลี่มีข้าวปลาอาหารและที่ดิน หลี่มู่เถียนจึงส่งลูกทั้งสี่ให้เรียนหนังสือและฝึกเขียนอ่าน แต่เนื่องจากเขารังเกียจพวกคนรวยขี้เกียจ เขาจึงกำชับให้ลูกๆต้องเรียนหนังสือและทำไร่ทำนาเพื่อชีวิตที่ดีในอนาคตเมื่อพวกเขาแยกครอบครัวกันไป
“ตอนนี้ครอบครัวยังแยกกันไม่ได้ ต้องหาภรรยาที่เข้าใจชีวิตครอบครัว”
หลี่มู่เถียนนึกถึงภาพครอบครัวใหญ่ในเมืองที่เขาเคยเห็น ครอบครัวที่มีบรรดาเครือญาติอยู่ในลานเดียวกัน บุตรหลานได้เรียนหนังสือมีคนรับราชการและเป็นทหารเป็นภาพที่น่าภาคภูมิใจ ในขณะที่ครอบครัวเกษตรกรยากจนกลับต้องแบ่งแยกกันจนไม่เหลือเยื่อใย
“เอาแบบนี้แหละ!”
หลี่มู่เถียนพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ พลางสั่งลูกชายทั้งสองว่า
“ไปตามพี่ใหญ่ของเจ้ากลับมาปรับพื้นที่ ส่วนที่ดินก็ให้ผู้เช่าไปดูแล ส่วนเจ้าคนเล็กไม่ต้องไปเก็บใบหม่อนแล้ว ตั้งแต่นี้ให้ไปเรียนหนังสือเต็มวันกับท่านอาจารย์”
“ได้เลยท่านพ่อ!” หลี่เซี่ยงผิงที่ลุยงานมาตลอดคืนยังคงกระฉับกระเฉง เขารีบออกไปทันที
หลี่ทงหยามองพ่อด้วยสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า
“พ่ออยากทำตามกฎของตระกูลในหนังสือหรือสร้างศาลบรรพบุรุษ เปิดบ้านตระกูล อ่านหนังสือรับราชการ ฝึกวรยุทธเพื่อเป็นทหาร”
“ตระกูลหลี่ของเราสะสมมากว่าสองร้อยปีก็ถึงเวลาสมควรแล้ว”
หลี่มู่เถียนยิ้มพร้อมโบกมือ
“ส่วนการอ่านหนังสือและฝึกวิชายุทธ์ เส้นทางโบราณดินแดนหลี่นั้นเต็มไปด้วยอันตราย ใครเดินทางเข้าออกเขาต้าหลี่ก็เสี่ยงชีวิตเก้าตายหนึ่ง แม้จะอ่านหนังสือหรือฝึกวิชายุทธ์ก็ยากที่จะส่งถึงจักรพรรดิแคว้นเยว่ สิ่งที่เราทำก็เพื่อสืบทอดมรดกของครอบครัวเพื่อความอยู่รอดเท่านั้น…”
หลี่ทงหยาพยักหน้ารับก่อนจะพูดเสียงเบา
“บางทีอาจมีสิ่งที่ดีกว่าการอ่านหนังสือหรือฝึกวิชายุทธ์…”
“อย่าพูดเหลวไหล”
หลี่มู่เถียนหัวเราะเสียงดังพลางตบไหล่หลี่ทงหยาก่อนจะเดินออกไปด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
(จบบท)