บทที่ 589: ฉันว่าคนนั้นก็คือเธอนั่นแหละ
เฉียวซางลังเลอยู่ในใจเพียงเสี้ยววินาที ก่อนจะตัดสินใจว่ายังไม่ควรเพิ่มแต้มพลังเข้าไปในระดับของกงเป่าทันที เพราะเธอคิดว่าควรรอให้กงเป่าพัฒนาตัวเองจนกลายเป็นสัตว์อสูรระดับกลางโดยธรรมชาติก่อน ในระหว่างนี้ก็จะได้มีเวลาเก็บสะสมแต้มพลังเพิ่มอีกสักหน่อย และเมื่อถึงเวลานั้นเธอจะเพิ่มแต้มทีเดียวไปเลย เพื่อให้กงเป่าพัฒนาจากสัตว์อสูรระดับกลางไปสู่ระดับสูงได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ยิ่งสัตว์อสูรพัฒนาไปในระดับที่สูงขึ้น จำนวนแต้มคะแนนที่ต้องใช้ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นเมื่อมีโอกาสที่จะสะสมแต้มเพิ่มได้ในตอนนี้ ก็ควรใช้โอกาสนี้ให้เต็มที่ที่สุด
สะสมให้มากเพื่อก้าวไปได้ไกลและไวยิ่งขึ้น วิธีนี้นี่แหละที่จะช่วยให้กงเป่าสามารถไล่ตามหยาเป่ากับตัวอื่นๆ ได้เร็วขึ้น… เฉียวซางดึงสติกลับคืนสู่ความเป็นจริง แล้วมองไปที่กงเป่าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
“ในการแข่งขันอีกไม่กี่วันข้างหน้า ฉันจะส่งแกลงสนามทุกครั้ง”
“กงกง?”กงเป่าเงยหน้าขึ้นมองเฉียวซางด้วยท่าทางงุนงง
มันไม่เข้าใจเลยว่าทำไม ทั้งๆ ที่มันอ่อนแอที่สุดในทีม แต่กลับต้องลงสนาม
ก็เพราะว่าอยากให้แกสะสมแต้มได้เร็วในช่วงที่ยังอยู่ในระดับเริ่มต้นนี่ไงล่ะ... เฉียวซางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังและจริงใจ:
“ไม่ใช่ว่าแกคิดว่าตัวเองอ่อนแอหรอกเหรอ? การที่แกได้สู้กับคู่ต่อสู้ที่เก่งกว่าตัวเอง มันจะช่วยให้แกพัฒนาฝีมือได้เร็วขึ้น แม้ว่าการแข่งขันจะเป็นแบบทีม และบทบาทสำคัญอาจไม่ได้อยู่ที่แกโดยตรง แต่แค่แกไม่ทำให้ทีมลำบาก ก็นับว่าเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมแล้ว เพราะถ้าแกพลาดเมื่อไหร่ เพื่อนร่วมทีมของแกก็จะต้องเผชิญสถานการณ์การต่อสู้แบบสองต่อหนึ่งทันที”
พูดมาถึงตรงนี้ ดวงตาของเฉียวซางก็หยีลงเล็กน้อย พร้อมกับกล่าวเสริมด้วยรอยยิ้มที่แฝงความภูมิใจ
“ฉันน่าจะพูดไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้วนะ ถ้าไม่ใช่เพราะแกเชื่อมั่นในตัวซุนเป่าและยอมหลับตาเลี่ยงการสะกดใจของเซียนหมวกดำ แล้วก็โจมตีเซียนหมวกดำทันทีเพื่อป้องกันไม่ให้มันถูกปลุกขึ้นมาโดยเซียนผ้าขาว การแข่งขันวันนี้คงไม่ได้ชัยชนะมาง่ายๆแบบนี้แน่”
“กงกง…”
กงเป่าคิดตามคำพูดของเฉียวซางอยู่สักพัก แล้วมันก็เริ่มยอมรับว่า คำพูดของเธอนั้นไม่ผิด เพราะมันเองก็มีส่วนช่วยให้ทีมชนะอยู่เหมือนกัน
เฉียวซางพูดต่อด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนขึ้น
“ตอนนี้แกไม่ควรเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับซุนเป่าหรือใครๆในทีม เป้าหมายที่อยากจะเก่งกว่าใครก็ไม่ใช่เรื่องผิด แต่เรื่องพวกนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นได้ในชั่วข้ามคืน เข้าใจไหมว่า สะสมให้มากเพื่อก้าวไปได้ไกล?”
“ตราบใดที่แกพัฒนาตัวเองทุกวัน ยังไงสักวันหนึ่งแกก็จะตามพวกมันทันแน่นอน”
การพูดคุยกับสัตว์อสูรที่ฉลาด บางครั้งการพูดตรงไปตรงมานั้นกลับได้ผลดีที่สุด
“กงกง”
กงเป่าพยักหน้าอย่างเข้าใจ พร้อมกับแสดงท่าทางเหมือนกำลังได้รับบทเรียนสำคัญจากคำพูดของเฉียวซาง
มันเริ่มตระหนักได้ว่าทัศนคติของตัวเองก่อนหน้านี้อาจจะผิดไปบ้าง
เมื่อคิดได้แบบนี้กงเป่าก็หันกลับไปป้อนพริกให้กับอสูรกำเนิดแร่ต่อ แต่คราวนี้ท่าทางของมันดูตั้งใจและละเอียดอ่อนมากกว่าเดิม
ในขณะเดียวกันซุนเป่าที่อยู่ข้างๆได้ยินบทสนทนาทั้งหมดนี้ก็รีบล่องหนหายตัวไปอย่างเงียบๆ
น่ากลัวเกินไปแล้ว! อีกไม่กี่วันน้องสี่จะต้องลงสนามทุกวัน ถ้าเจ้านั่นลากมันไปซ้อมจนถึงตีสามอีกจะทำยังไง…
“ซุนซุน…”
จงมองไม่เห็นมัน… จงมองไม่เห็นมัน…
เวลา 8:30 น.
เฉียวซางอุ้มหยาเป่าตามแมกกี้และกลุ่มนักเรียนเพื่อเดินทางไปยังโรงเรียนซาเฮอร์อย่างสบายอารมณ์
“เฉียวซาง”
เสียงหนึ่งดังขึ้นเบาๆที่หน้าสนามแข่งขัน
เมื่อเฉียวซางหันไปตามเสียงนั้น เธอก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่มีผมสีดำและดวงตาสีน้ำตาล เธอไม่ใช่ใครอื่นเลย นั่นคืออาจารย์มาดลีน ผู้ที่เคยช่วยทำนายให้เธอเมื่อสองวันก่อน
แมกกี้พยักหน้าเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้มที่สุภาพให้มาดลีน ก่อนจะหันมาพูดกับเฉียวซางว่า
“พวกเราจะเข้าไปรอข้างในก่อนนะ”
พูดจบ เธอก็พากลุ่มของซูเลียสเดินเข้าไปในสนามแข่งขันทันที
เดี๋ยวก่อนสิ! ไม่ต้องรีบไปขนาดนั้นก็ได้มั้ง เธออาจจะแค่ทักฉันเฉยๆเองก็ได้นะ…
เฉียวซางบ่นอยู่ในใจ แต่ภายนอกยังคงรักษาท่าทีเป็นมิตรไว้ได้อย่างดี เธอยิ้มและทักทายกลับไป:
“สวัสดีค่ะ อาจารย์มาดลีน”
มาดลีนเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า
“เราไปหาที่เงียบๆคุยกันสักหน่อย ฉันจะทำนายเรื่องที่เธอถามครั้งก่อนให้ใหม่ คราวนี้ไม่น่าจะมีปัญหาพลังงานไม่พอเหมือนครั้งที่แล้ว เพราะวันนี้เธอเป็นเป้าหมายการทำนายคนแรกของฉันเลยนะ”
เรื่องดีๆแบบนี้ก็มีด้วย!
ปราชญ์ตัวเลือกพยักหน้าเล็กน้อยเหมือนกำลังยืนยัน
เฉียวซางถึงกับอึ้งไปเล็กน้อย ไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะมาหาเธอเพื่อเรื่องการทำนาย
เธอรีบตอบกลับทันทีด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น
“ได้เลยค่ะ!”
เพราะเมื่อวาน การที่เกอธาร์ได้ลงสนามก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าคำทำนายของปราชญ์ตัวเลือกนั้นแอบแม่นยำอยู่บ้าง
ทั้งสองคนเดินไปหยุดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ตั้งอยู่ไม่ไกล
ปราชญ์ตัวเลือกมองหยาเป่าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ก่อนจะโยนไพ่ที่ถืออยู่ในมือขึ้นไปบนอากาศ
ไพ่ลอยขึ้นไปและหยุดนิ่งค้างอยู่กลางอากาศโดยไม่มีรูปแบบใดๆ
จากนั้นปราชญ์ตัวเลือกหลับตาลง เริ่มเข้าสู่สมาธิ
เวลาค่อยๆผ่านไป รอยยิ้มบนใบหน้าของมาดลีนก็เริ่มแข็งทื่อ เธอเริ่มรู้สึกถึงลางไม่ดีที่ก่อตัวขึ้นในใจ
อย่าบอกนะว่าพลังงานไม่พออีกแล้ว?
แต่เป็นไปได้ยังไง… เป้าหมายการทำนายก็แค่สัตว์อสูรระดับสูงเท่านั้นเอง…
หรือว่า… มันมีอะไรผิดพลาดตรงไหนกันแน่?
มาดลีนจ้องไปที่เจ้าสุนัขเพลิงพร่างพรายด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย
หลังจากผ่านไปอีกประมาณครึ่งนาที ไพ่ก็ตกลงมาและปราชญ์ตัวเลือกลืมตาขึ้น ส่ายหัวเบาๆด้วยสีหน้าหดหู่
นี่มัน… เฉียวซางหันไปมองมาดลีนด้วยความสงสัย
มาดลีนเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกมา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังมากกว่าปกติว่า
“เราแลกเบอร์กันเถอะ รอให้ปราชญ์ตัวเลือกวิวัฒนาการเป็นระดับราชาแล้ว ฉันจะติดต่อเธออีกครั้ง แล้วตอนนั้นฉันจะทำนายให้ใหม่”
ได้ยินแบบนั้น เฉียวซางก็หยิบโทรศัพท์ออกมา พร้อมกับถามด้วยความสงสัยว่า
“ปราชญ์ตัวเลือกใกล้จะวิวัฒนาการแล้วเหรอคะ?”
“ยังจ๊ะ” มาดลีนส่ายหัวพร้อมกับตอบกลับสั้นๆ
เฉียวซางจึงถามต่อด้วยน้ำเสียงที่แฝงความอยากรู้
“แล้วมันจะวิวัฒนาการเมื่อไหร่กันคะ?”
มาดลีนคิดอยู่สักพัก ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า
“เวลาที่แน่นอนฉันคงบอกไม่ได้ แต่ฉันเชื่อว่ามันจะวิวัฒนาการเป็นระดับราชาได้ในอีกสิบปี”
อะไรนะ?! เฉียวซางถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก
สิบปี?
สิบปีฉันจะต้องมาทำนายเรื่องนี้ทำไมอีกล่ะ?หยาเป่าคงพัฒนาไปถึงไหนต่อไหนแล้ว!
มาดลีนเห็นสีหน้าของเฉียวซางดูแปลกๆ จึงถามด้วยความกังวลว่า
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าจ๊ะ?”
คิดว่าไงล่ะ?… เฉียวซางส่ายหัวเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับด้วยรอยยิ้มฝืนๆว่า
“ไม่มีค่ะ”
เฉียวซางนั่งลงอย่างสบายๆ ที่แถว C หมายเลข 27
กลุ่มของซูเลียสที่นั่งอยู่ไม่ไกลไม่ได้ถามอะไรเกี่ยวกับเหตุผลที่อาจารย์มาดลีนมาหาเฉียวซางเลย พวกเขายังคงให้ความเคารพในเรื่องส่วนตัวของเธอเป็นอย่างดีเหมือนเดิม
การแข่งขันบนสนามยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
ตอนนี้เป็นวันที่สามของการแข่งขันกระชับมิตร ซึ่งนักเรียนสามคนที่ถูกคัดเลือกจากแต่ละโรงเรียนก็ได้ลงสนามครบทุกคนแล้ว
สำหรับผู้โชคดีคนที่สามของโรงเรียนมัธยมปลายไซแนนท์ ได้ลงแข่งขันตั้งแต่เมื่อวานช่วงบ่าย นั่นก็คือเพลเกต์นักเรียนอีกคนจากห้องหนึ่ง
แต่น่าเสียดายที่เพลเกต์ถูกคัดออกตั้งแต่รอบแรก เรียกได้ว่าเปิดฉากยังไม่ทันไร ก็จบการแข่งขันไปเสียแล้ว
อย่างไรก็ตาม เพลเกต์ยังคงรักษาทัศนคติที่ดีเอาไว้ ไม่มีท่าทีหดหู่หรือสิ้นหวังให้เห็นเลยแม้แต่นิดเดียว
เมื่อการแข่งขันบนสนามจบลง เฉียวซางหยิบโทรศัพท์ออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วเปิดแอปโน้ตเพื่อบันทึกข้อมูลบางอย่าง
“เธอกำลังจดอะไรอยู่เหรอ?” อัลวาที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“ข้อมูลของคู่แข่งน่ะ” เฉียวซางตอบกลับพลางพิมพ์ข้อมูลต่อไปโดยไม่หยุดมือ “คนที่ชนะทุกคนมีโอกาสจะเป็นคู่แข่งของฉันได้ทั้งนั้น”
อัลวาถึงกับอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะมองเฉียวซางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความตกตะลึง
เก่งขนาดนี้แล้วยังตั้งใจขนาดนี้อีก แบบนี้คนอื่นจะเหลือที่ยืนไหมเนี่ย?
การแข่งขันยังคงดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบ ไม่มีความวุ่นวายเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย
เมื่อการแข่งขันช่วงเช้าสิ้นสุดลง การแข่งขันกระชับมิตรครั้งนี้ก็ได้คัดเลือกผู้เข้าแข่งขัน 18 คนสุดท้ายเรียบร้อยแล้ว
ขณะที่พิธีกรประกาศข้อมูลนี้ เฉียวซางถึงกับงุนงงไปชั่วขณะ
นี่คัดเลือกถึง 18 คนแล้วเหรอ?
แบบนี้กงเป่าคงไม่ได้ลงแข่งอีกหลายรอบเหมือนที่คิดไว้แล้วสิ?
พิธีกรพูดต่อพร้อมถือไมโครโฟนในมือ
“ในช่วงบ่าย เราจะคัดเลือกผู้เข้าแข่งขัน 9 คนสุดท้าย และในกลุ่มผู้เข้าแข่งขัน 9 คนนี้ เราจะจับฉลากเลือกผู้โชคดีหนึ่งคนที่ไม่ต้องแข่งขันในรอบถัดไป ดังนั้นหลังจบการแข่งขันในช่วงบ่าย ขอให้ผู้เข้าแข่งขันทุกคนอย่าเพิ่งออกจากสนาม”
ขออย่าให้ฉันเป็นคนที่ไม่ต้องแข่งเลยเถอะ… เฉียวซางคิดในใจ พร้อมภาวนาเงียบๆ
ในตอนนั้นเอง อัลวาก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูจริงจัง
“เฉียวซางดูเหมือนว่าเธอจะได้เป็นคนที่ไม่ต้องแข่งนะ”
ฉันกับเธอก็ไม่มีเรื่องบาดหมางอะไรกันนะ แล้วไหงเธอมาพูดอะไรหมาๆกับฉันกันเนี่ย... เฉียวซางพยายามกลั้นใจไม่พูดสวนออกมา แต่กลับถามกลับด้วยน้ำเสียงที่พยายามควบคุมอารมณ์ว่า
“ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะ?”
“ก็เพราะให้คนที่เก่งที่สุดเป็นคนไม่ต้องแข่ง มันเป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่เหรอ?” อัลวาตอบพลางโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ
ไม่ใช่สิ! ทุกคนมาถึงรอบ 18 คนสุดท้ายได้ก็เพราะความสามารถทั้งนั้น ทำไมถึงบอกว่าฉันเก่งที่สุดล่ะ… เฉียวซางตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจังและหนักแน่น
“อย่าพูดแบบนั้นสิ มันเป็นการจับฉลากต่างหาก”
“นั่นมันก็แค่พิธีการเอาหน้าแค่นั้นแหละ” อัลวาหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะพูดต่อ
“แล้วในรอบถัดไปในกลุ่ม 5 คนสุดท้าย ก็ต้องมีคนที่ได้สิทธิ์ไม่ต้องแข่งอีกหนึ่งคนอยู่ดี ฉันว่าเธอนั่นแหละที่จะได้สิทธิ์นั้นอีก”
เฉียวซาง: “???”