บทที่ 4 หลี่เย่เซิง
“ท่านลุง โปรดไว้ชีวิตด้วย!”
ชายคนนั้นกลัวจนแทบสิ้นสติ ทันทีที่ตกถึงพื้นก็รีบคุกเข่าขอร้องอ้อนวอนกอดหลี่มู่เถียนไว้แน่นจนตัวงอเป็นก้อนกลม
“โปรดไว้ชีวิตด้วยท่านลุง โปรดไว้ชีวิตด้วยท่านลุง…”
หลี่เย่เซิงไม่เคยคิดว่าการขโมยผลไม้เพียงลูกเดียวเพื่อดับความอยากจะนำพาเขาไปพบกับท่านลุงที่เขากลัวที่สุดได้ในพริบตาเดียว เขายืนตัวแข็งด้วยความหวาดกลัว แต่ยิ่งหวาดผวาหนักเมื่อเห็นหลี่มู่เถียนถือดาบยาวในมือจนแทบขาดใจ
“เย่เซิง?” หลี่มู่เถียนจ้องเขม็ง พลางขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าสลับระหว่างความเคร่งขรึมและความลังเล มือหนึ่งลูบเคราที่คางพลางจ้องเขาอย่างพินิจพิเคราะห์
หลี่เย่เซิงเป็นพี่ชายของหลี่เย่เซิน พ่อของพวกเขาป่วยนอนติดเตียงมานานหลายปี ส่วนหลี่เย่เซิงนั้นกลับใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมาย ไม่ทำงานทำการเอาแต่เดินเตร่หากินไปวันๆ
เด็กหนุ่มสองคนที่อยู่ใกล้ๆได้ยินเสียงก็รีบเข้ามาดู หลี่ทงหยายกไม้ยาวในมือขึ้นกดลงบนไหล่ของหลี่เย่เซิงทำให้เขาตกใจจนร้องไห้สะอึกสะอื้น หลี่จางหูจับศีรษะของเขาเงยขึ้นมองแล้วอดสะท้อนใจไม่ได้
“ลูกพี่ลูกน้องหรือ?” หลี่จางหูถอนหายใจลึกแล้วเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” หลี่ทงหยาถามเสียงเย็นพลางออกแรงกดไม้ในมือโดยไม่ลดละ
“ขโมยผลไม้ที่บ้านเจ้าสิ!” หลี่มู่เถียนตอบแทนหลี่เย่เซิงด้วยใบหน้าเคร่งเครียด เขาเก็บดาบยาวในมือแล้วหันหลังเดินจากไป
“ข้าขอโทษด้วย”
หลี่ทงหยาก็ลดแรงกดไม้แล้วสะบัดไม้ในมือพลางทิ้งคำพูดไว้ ก่อนจะเดินตามพ่อกลับเข้าบ้านไป เหลือเพียงหลี่จางหูที่ช่วยพยุงหลี่เย่เซิงขึ้นมาเช็ดหน้าให้พลางพูดปลอบประโลมแล้วจึงส่งเขาออกไปจากลานบ้านอย่างสุภาพ
ในบ้าน
หลี่ชื่อจิ้งและหลี่เซี่ยงผิงนั่งนิ่งอยู่ข้างโต๊ะ บนตักของหลี่เซี่ยงผิงมีวัตถุที่ถูกซ่อนอยู่ เขาไม่กล้าขยับตัวแม้แต่น้อย โชคดีที่ไม่นานนักพ่อและพี่ชายก็เดินเข้ามาในห้องโถง
“พี่ใหญ่ล่ะ?”
เขามองไปยังด้านหลังของพวกเขาพลางรีบถาม
“ไปส่งแขกแล้ว”
หลี่มู่เถียนส่ายศีรษะ
“เย่เซิงเด็กคนนี้ชอบมาอาศัยกินข้าเป็นประจำ ข้ารู้อยู่แล้วแต่เกรงว่าเรื่องคืนนี้จะรั่วไหลจนทำให้ครอบครัวเราพังพินาศ”
หลี่ทงหยาหาเก้าอี้เล็กๆมานั่ง เขาเอียงคอพลางมองไปทางหลี่เซี่ยงผิงอย่างพิจารณา ก่อนจะเอ่ยปาก
“แกร๊บ…”
เสียงประตูใหญ่ปิดดังขึ้น พี่ชายคนโตหลี่จางหูเดินกลับเข้ามาด้วยสีหน้าฉงน เขานั่งลงบนเก้าอี้แล้วพูดกับหลี่มู่เถียน
“พ่อ ทำไมต้องทำถึงเพียงนี้?”
เขาส่ายศีรษะ
“เย่เซิงก็แค่ขโมยผลไม้ลูกเดียว ท่านกลับไม่ยอมให้เขาได้โอกาสสักครั้ง แต่กลับทำให้ครอบครัวเขาไม่พอใจ”
“ครอบครัวเขา ครอบครัวเรา มีเพียงตระกูลหลี่เท่านั้นที่สำคัญ เราสายตรงพวกเขาเป็นเพียงสาขา”
หลี่มู่เถียนพิงหน้าต่างเงี่ยหูฟังแล้วเรียกภรรยาและลูกเล็กมาทางประตูหน้าบ้าน
“พวกเจ้าไปยืนเฝ้าทางเข้าออก หากมีคนมาก็ให้ร้องบอก”
สองคนรับคำแล้วถอยออกไป หลี่มู่เถียนปิดประตูหน้าต่างทั้งหมดแล้วตบไหล่หลี่เซี่ยงผิง
“ว่าไง?”
หลี่เซี่ยงผิงพยักหน้าหนักๆแล้วพูดเสียงเบา
“วันนี้ข้าไปจับปลาแถวแม่น้ำเหมยชื่อแล้วเก็บของบางอย่างได้จากในแม่น้ำ”
เขามองหลี่มู่เถียน เมื่อเห็นพ่อยิ้มรับเขาจึงล้วงวัตถุชิ้นหนึ่งออกมาจากอก
หลี่จางหูมองดูน้องชายแล้วเหลือบมองพ่อ เขารับวัตถุทรงกลมสีเทาอมน้ำเงินนั้นมาดูอย่างละเอียด แต่ก็ไม่พบสิ่งใดแปลกตา
หลี่มู่เถียนรับวัตถุนั้นจากมือบุตรคนโตแล้วไปยืนที่รูบนเพดาน เขาเลื่อนเก้าอี้หินเข้าไปใกล้และวางวัตถุนั้นใต้รูพลางหรี่ตามองบุตรทั้งสองคน
แสงจันทร์ที่ลอดผ่านรูลงมาคล้ายคลื่นน้ำที่พลิ้วไหว มันรวมตัวกันราวกับนกน้อยบินกลับรังจนเกิดเป็นวงแสงสีขาวนวลเหมือนอัญมณีบนพื้นผิววัตถุ
หลี่จางหูลุกขึ้นยืนพรวดพราด เขาจ้องวงแสงบนวัตถุนั้นไม่วางตา หลี่ทงหยาก็มีสีหน้าตกใจเช่นกัน เขาจ้องมองวัตถุนั้นอย่างครุ่นคิด
พวกเขาเงียบกันไปพักหนึ่งในขณะที่สายตาของคนในครอบครัวหลี่จับจ้องไปยังวัตถุอย่างไม่ละสายตา แต่ละคนแสดงความรู้สึกต่างกันออกไป
หลี่เซี่ยงผิงที่เห็นภาพนี้เป็นครั้งที่สองแล้วก็ยังคงตกตะลึงจนพูดไม่ออก เขาพึมพำกับตัวเอง
“ตั้งแต่เกิดมาข้าไม่เคยเห็นภาพที่งดงามเช่นนี้มาก่อนเลย…”
“ฮ่าฮ่า เจ้าอย่าพูดเลย แม้แต่ข้าเองก็ไม่เคยเห็นสิ่งของดีเช่นนี้มาก่อน”
หลี่มู่เถียนหัวเราะเบาๆ แต่ดวงตากลับฉายแววดุดัน
“นี่อาจเป็นของของเซียน”
หลี่ทงหยาเอ่ยเสียงเรียบ เขาหยิบดาบยาวขึ้นมาเช็ดไปมา ดวงตาจ้องมองวัตถุนั้นอย่างสงบ แต่ทว่ามือที่สั่นไหวกลับเผยให้เห็นถึงความปั่นป่วนในใจ
“หากเรื่องรั่วไหลนั่นอาจเป็นหายนะล้างตระกูลของเรา”
หลี่จางหูเดินวนไปมาในห้องโถงด้วยสีหน้าทั้งกังวลและตื่นเต้น
“หากว่านี่เป็นของที่เซียนทำหล่นไว้ พรุ่งนี้พวกเขาอาจใช้วิชาเสาะหามันมา เราจะทำอย่างไรกันดี?”
หลี่ทงหยาจ้องมองพ่อด้วยแววตาวิตกก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงกังวล
หลี่เซี่ยงผิงพยักหน้ารับ พลางพูดเสียงต่ำว่า
“ถ้าเซียนมอบรางวัลให้ ครอบครัวเราคงได้รับประโยชน์มหาศาล”
“ไร้สาระ!”
หลี่มู่เถียนโบกมือปฏิเสธ
“ข้าเคยได้ยินว่าเซียนส่วนมากโหดเหี้ยม เราห้ามประมาทเด็ดขาด วัตถุนี่ตกลงน้ำมานานเพียงใดแล้ว หากพวกเขาจะมาเอาคืนก็คงทำไปนานแล้ว พวกเรามนุษย์ธรรมดาจะไปเกี่ยวข้องได้อย่างไร ข้าว่าเซียนผู้นั้นคงพบจุดจบไปแล้ว”
คำพูดที่เป็นการลบหลู่เซียนนี้ทำให้หลี่จางหูถึงกับสะดุ้ง ใบหน้าขมวดคิ้วครุ่นคิดไม่หยุด
หลี่ทงหยากลับดูเหมือนเข้าใจทันที เขาเอ่ยเสียงต่ำว่า
“หรือว่า…เจ้าหลี่เย่เซิงจะเห็นเข้า?”
“ตอนที่ข้านำสิ่งนี้มาให้พ่อดู หลี่เย่เซิงอยู่ที่ทุ่งนา” หลี่เซี่ยงผิงพูดด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“ข้าจะไปฆ่ามันซะ!”
หลี่ทงหยาทำหน้าดุดัน เขาไม่ลังเลที่จะสวมเสื้อเกราะใบหวายหยิบดาบแล้วเดินออกไปทันที หลี่เซี่ยงผิงมองพี่ชายด้วยความตกใจ เขาเห็นสีหน้าแบบนี้เป็นครั้งแรกจึงอดมองตามไปอีกสองสามที
“กลับมา!” หลี่มู่เถียนขมวดคิ้วตะโกนเรียกหลี่ทงหยากลับมาก่อนจะหันไปมองหลี่เซี่ยงผิงด้วยสายตาจริงจัง ทำให้เขาดูตกใจยิ่งกว่าเดิม
“พ่อ!” หลี่ทงหยาพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน
“หลี่เย่เซิงคนนี้ไร้หัวใจและไม่ซื่อสัตย์ เขาเป็นคนอวดดีปากโป้ง หากปล่อยให้เขารั่วไหลข่าวนี้ออกไปครอบครัวเราต้องพบหายนะเป็นแน่ ข้าว่าฆ่าเขาเสียยังดีกว่า”
“ดูเหมือนว่าพี่รองจะเรียนรู้จากท่านอาจารย์ในหมู่บ้านมามากทีเดียว” หลี่เซี่ยงผิงคิดในใจด้วยความละอาย เขาก้มหน้าลงต่ำ เพราะตอนเด็กพ่อส่งพวกเขาสามคนไปเรียนหนังสือ มีเพียงพี่ทั้งสองที่ได้รับความชื่นชอบจากอาจารย์ ส่วนตัวเขานั้นเพราะความไม่ตั้งใจเรียนจึงไม่ได้อะไรติดตัวมาเลย ตอนนี้ถึงกับฟังคำพูดของพี่รองไม่เข้าใจ
“ถ้าหากน้องเล็กของเจ้าปากโป้ง เจ้าจะฆ่าเขาด้วยไหม?”
หลี่มู่เถียนหัวเราะเสียงดังแล้วถามลูกชายคนรอง
“ครอบครัวเราไม่มีพวกขี้ขลาดเช่นนั้น”
หลี่ทงหยาตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
หลี่มู่เถียนส่ายศีรษะก่อนจะยกมือเลื่อนโต๊ะไม้ให้ตรง จากนั้นกระโดดขึ้นไปยืนบนโต๊ะใช้ปลายเท้าดีดตัวเบาๆแล้วดึงกล่องไม้จากบนคานลงมา
เขาวางกล่องไม้บนโต๊ะด้วยสีหน้าจริงจัง พลางพูดกับลูกชายทั้งสามคนว่า
“มีบางเรื่องที่ควรให้พวกเจ้ารู้ ข้าออกจากบ้านตอนอายุสิบสามปี เดินทางตามเส้นทางโบราณของดินแดนหลี่จนถึงอำเภออันหลี่ ตอนนั้นแม่ทัพหยางได้รับคำสั่งจากราชสำนักให้โจมตีชาวซานเย่วและเกณฑ์ทหารตามเส้นทางโบราณ ข้าซึ่งไม่มีที่ไปจึงสมัครเป็นทหาร”
“แม่ทัพหยางปกครองกองทัพอย่างเข้มงวด แต่ก็ปฏิบัติต่อเราดั่งพี่น้องร่วมสาบาน เขาสอนกลยุทธ์การต่อสู้ของชนเผ่าซานเยว่ให้เราเพื่อฝึกฝนวิชา กลยุทธ์นี้แพร่หลายในหมู่คนทั่วไป เรียนรู้ง่ายแต่ฝึกให้เชี่ยวชาญนั้นยาก หากคนธรรมดาฝึกฝนก็เพียงแต่มีทักษะคล่องตัวขึ้น แต่ไม่ได้มีความพิเศษอันใด” หลี่มู่เถียนถอนหายใจ เห็นลูกชายทั้งสามตั้งใจฟังจึงพูดต่อว่า
“เมื่อข้ากลับบ้าน ข้าจดบันทึกกลยุทธ์นี้ลงบนแผ่นไม้และเคยสอนพวกเจ้าให้ฝึกฝนอย่างละเอียด แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน นี่เป็นเรื่องแรก”
หลี่มู่เถียนเปิดกล่องไม้ ภายในมีกลยุทธ์บนแผ่นไม้ยันต์หนึ่งชิ้น พร้อมด้วยเศษแก้วสีเงินและวัตถุอื่นๆปะปนอยู่
(จบบท)