บทที่ 32 ทำดีโดยไม่ทิ้งชื่อ
【อ่านอย่างละเอียด คัมภีร์ไท่เสวียนจิง พรสวรรค์ +10】
【อ่านอย่างละเอียด คัมภีร์ไท่เสวียนจิง สติปัญญา +10】
【อ่านอย่างละเอียด คัมภีร์ไท่เสวียนจิง ร่างกาย +10】
【อ่านอย่างละเอียด คัมภีร์ไท่เสวียนจิง อายุขัย +10】
【อ่านอย่างลึกซึ้ง คัมภีร์ไท่เสวียนจิง พรสวรรค์ +20】
【อ่านอย่างลึกซึ้ง คัมภีร์ไท่เสวียนจิง สติปัญญา +20】
【อ่านอย่างลึกซึ้ง คัมภีร์ไท่เสวียนจิง ร่างกาย +20】
【อ่านอย่างลึกซึ้ง คัมภีร์ไท่เสวียนจิง อายุขัย +20】
【ชื่อ: ฉินเฟิง】
【พรสวรรค์: ระดับเจ็ด, 42430/50000】
【สติปัญญา: ระดับเจ็ด, 42500/50000】
【ร่างกาย: ร่างวิญญาณ, 1020/10000】
【อายุขัย: คงเหลือ 202 ปี 258 วัน】
【ระดับพลัง: ชำระกายเนื้อเหล็ก, 50/400】
【เคล็ดวิชา: วิถีธรรมเก้าเมฆา (ชั้นสอง), คัมภีร์จักรพรรดิแห่งโอสถ (บทที่หนึ่ง)】
【วิทยายุทธ์: หมัดวายุอัสนีเก้าเมฆา, หมัดกระทิงปีศาจ, วิชาสายฟ้าเก้าสวรรค์, เพลงดาบสังหารฟ้า】
【ทักษะลับ: เคล็ดวิชาปิดผนึกสัมผัสทั้งห้า, เคล็ดวิชาปิดผนึกจิตสำนึก, วิชาเร้นลมหายใจ, วิชาปิดฟ้า, กระบวนท่าเตาหลอม】
【วิชาศักดิ์สิทธิ์: กายาวัชรทองคำ, วิชาศักดิ์สิทธิ์โลหิตมรกตอรุณรุ่ง】
ฉินเฟิงค่อย ๆ วางคัมภีร์ไท่เสวียนจิงกลับไปยังชั้นหนังสือของหอคัมภีร์ชั้นสาม ก่อนจะเดินลงบันไดไป
เมื่อตอนที่เขาทะลวงถึงชำระกายเนื้อเหล็ก เขาเคยมาด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยมเพื่อสำรวจว่าชั้นสามของหอคัมภีร์มีตำราอะไรที่ควรค่าแก่การอ่าน แต่เขาพบว่าตำราทั้งหมดในชั้นนี้ไม่อาจเปิดอ่านได้ ดังนั้นเขาจึงกลับไปยังชั้นสอง
อย่างไรก็ตาม หลังจากพยายามลองอีกสิบกว่าครั้ง เขาก็พบว่ามีตำราส่วนน้อยที่เขาสามารถอ่านได้ เช่น วิชาใจน้ำแข็งและวิชาตะวันเพลิงที่เขาเคยบอกให้จางเทาและเซียวจางไปฝึก
หลังจากที่ตระหนักได้ว่า "ความมีน้ำใจ" ของเขาอาจสร้างปัญหา ฉินเฟิงก็เริ่มเปลี่ยนวิธี ก่อนอ่านตำราใด ๆ เขาจะไล่ดูในความทรงจำของตนเองก่อนเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีคำอธิบายเกี่ยวกับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น แล้วจึงอ่านอย่างละเอียด
ดังนั้น วิชาใจน้ำแข็งและวิชาตะวันเพลิงจึงไม่มีผลข้างเคียงเลยแม้แต่น้อย! ถ้าไม่ใช่เพราะฝีมือการแสดงของเขาดีเยี่ยม ป่านนี้เขาคงหลอกสองคนนั้นไม่ได้
แรกเริ่มเขาเองก็รู้สึกกังวลอยู่บ้าง เพราะกลัวว่าพวกนั้นจะมาถามเกี่ยวกับผลข้างเคียงของเคล็ดวิชา แต่สุดท้ายทั้งสองกลับไม่ถามอะไรเลย ฝึกฝนอย่างมีความสุขแล้วก็ออกจากหอคัมภีร์ไป
เมื่อเขาได้รับแต้มคะแนนจากการให้คำแนะนำแก่พวกนั้น ฉินเฟิงก็รู้ทันทีว่างานนี้เขารอดแล้ว
พวกนั้นต้องรู้สึกขอบคุณเขาแน่นอน! ฉินเฟิง ทำดีโดยไม่ทิ้งชื่อ!
รอบนี้ นอกจากเขาจะช่วยเหลือคนอื่นได้ เขายังได้รับแต้มคะแนนเพิ่มอีกด้วย ความรู้สึกพึงพอใจที่เกิดขึ้นทำให้เขาคิดว่าการช่วยเหลือผู้อื่นก็เป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน
"ตำราของชั้นสามให้ผลเพิ่มพูนคุณสมบัติเป็นสองเท่าจริง ๆ ถ้าเป็นตำราของชั้นสี่ ชั้นห้า หรือแม้แต่ชั้นสิบสาม หากอ่านอย่างละเอียดเพียงครั้งเดียว ไม่รู้ว่าจะเพิ่มคุณสมบัติได้มากเพียงใด"
ขณะครุ่นคิด ฉินเฟิงก็กลับไปยังห้องของตนเอง
ปัจจุบัน เขาไม่ได้ตั้งเป้าว่าจะต้องฝึกฝนทุกเคล็ดวิชา แม้ว่าการฝึกฝนจะทำให้คุณสมบัติเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
แต่ไม่ว่าจะเป็นชั้นแรก ชั้นสอง หรือชั้นสาม วิทยายุทธ์ในหอคัมภีร์ก็ไม่ได้อยู่ในระดับสูงมากนัก แม้ว่าเขาจะฝึกฝน ก็อาจจะไม่ได้ใช้จริงในอนาคต
ดังนั้น เขาจึงเลือกที่จะอ่านอย่างละเอียดเท่านั้น และจะฝึกฝนเฉพาะวิชาที่จะสามารถใช้ประโยชน์ได้ในระยะยาว เช่น คัมภีร์จักรพรรดิแห่งโอสถ
แน่นอนว่าสิ่งนี้ต้องขึ้นอยู่กับจำนวนตำราที่มีอยู่ หากวันหนึ่งจำนวนตำราไม่เพียงพอ เขาก็คงต้องมุ่งเน้นไปที่การฝึกฝนเชิงลึกแทน
ในขณะเดียวกัน บรรยากาศระหว่างจางชิงและหยวนฮวาก็เริ่มแปลกไปหลังจากที่ผู้ดูแลจ้าวพูดบางอย่างขึ้นมา
จางเทารู้สึกได้ว่าหัวใจของเขาเต้นรัวเร็วผิดปกติ เลือดในกายพลันพลุ่งพล่านขึ้นศีรษะ จนรู้สึกหน้ามืดและพื้นดินหมุนคว้าง
"สวรรค์! พี่ใหญ่!"
จางชิงตกใจไม่น้อย แต่ยังดีที่เขาตอบสนองได้เร็ว รีบเข้าไปประคองจางเทาไว้ไม่ให้ล้มลง
อีกด้านหนึ่ง เซียวจางค่อย ๆ เปลี่ยนจากอาการชะงักงันไปเป็นแววตาว่างเปล่า ในชั่วขณะนั้น เขารู้สึกได้ถึงเสียงหัวใจของตนเองที่แตกสลาย
"สี่ร้อยแปด!"
"สี่ร้อยแปด!"
"แต้มของข้า~!"
"แต้มของข้าาา!!"
"ไม่!"
"ไม่นะ!!"
เซียวจางทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้น ทั้งร่างจมอยู่ในความสิ้นหวัง เสียงร้องของเขาทำให้หยวนฮวาที่อยู่ข้าง ๆ ถึงกับสะดุ้ง ก่อนจะรีบเดินเข้ามาหาเขา
"สหาย ถึงแม้เจ้าจะเสียแต้มไปสี่ร้อยแปดสิบ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้อะไรเลย"
"วิชาตะวันเพลิงใช้ร่วมกับวิชาเตาหลอมหยางของเจ้า ข้าว่าพลังของเจ้ายังสามารถพัฒนาไปได้อีก บางทีอาจจะถึงขั้นสามารถประลองกับศิษย์ขอบเขตแสงวิญญาณในสำนักนิกายชั้นในได้เลยก็เป็นได้"
"อีกอย่าง การได้วิชาตะวันเพลิงซึ่งเป็นเคล็ดวิชาสนับสนุนระดับขอบเขตแสงวิญญาณ จะช่วยเพิ่มพื้นฐานของเจ้า โอกาสที่เจ้าจะทะลวงไปถึงขอบเขตแสงวิญญาณก็จะมากขึ้น ไม่ใช่เรื่องดีหรอกหรือ?"
"พวกผู้บำเพ็ญตนอย่างเราแสวงหาอะไรกันเล่า หากไม่ใช่การแสวงหาความเป็นอมตะ?"
หยวนฮวาอาจจะไม่รู้ว่าวิชาตะวันเพลิงอยู่ในระดับไหน แต่เขารู้ดีว่า 480 แต้มในหอคัมภีร์หมายถึงอะไร นั่นคือตำราของหอคัมภีร์ชั้นที่สาม ซึ่งโดยมากแล้วเป็นตำราที่มีไว้สำหรับผู้บำเพ็ญขอบเขตแสงวิญญาณ
เคล็ดวิชาสนับสนุนที่สามารถฝึกฝนได้ตั้งแต่ขอบเขตสร้างรากฐานไปจนถึงขอบเขตแสงวิญญาณนั้นหาได้ไม่มาก หากมองจากทั้งมูลค่าและประสิทธิภาพแล้ว ก็ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
"เจ้าพูดได้ง่ายนัก ถ้าเช่นนั้นคืนแต้มสี่ร้อยแปดสิบของข้ามา แล้วข้าจะให้วิชาตะวันเพลิงแก่เจ้าเอง!"
ใบหน้าของเซียวจางบิดเบี้ยวอย่างเจ็บปวด แต้มหนึ่งพันหนึ่งร้อยแต้ม สามารถแลกเป็นหินวิญญาณล่างหนึ่งแสนก้อนได้เลยทีเดียว แม้ว่าจะไม่มีศิษย์คนไหนโง่พอจะนำแต้มไปแลกเช่นนั้น แต่หากคิดเป็นค่าใช้จ่ายรายเดือน แต้มเหล่านี้เพียงพอให้เขาใช้ชีวิตได้ถึงหนึ่งพันแปดร้อยปี
เมื่อคิดเช่นนี้ หัวใจของเซียวจางยิ่งเจ็บปวด
หยวนฮวาได้ฟังเช่นนั้นก็เพียงแค่หันหลังกลับอย่างไม่แยแส
"ล้อเล่นกันน่ะ พวกเราเป็นสหายกัน ข้าก็แค่ปลอบใจเจ้า แต่เจ้าคิดจะแย่งแต้มของข้า? เช่นนั้นขอลาล่ะ"
...
...
...
อีกด้านหนึ่ง
ผู้อาวุโสหลี่จากสำนักนิกายนอกกำลังเดินผ่านหน้าหอคัมภีร์ โดยมีจุดหมายที่จะไปหอโอสถเพื่อหาซื้อวัตถุดิบโอสถพิเศษ แต่เสียงของผู้อาวุโสเซียวดังขึ้น ทำให้เขารู้สึกตัวสั่นไหวขึ้นมาทันที
หรือว่าผู้อาวุโสเซียวจะเรียกเขามาตำหนิเรื่องของเฉียนหงกัน?
เมื่อคิดเช่นนี้ ผู้อาวุโสหลี่ก็ยิ่งไม่อยากเข้าไปหา แต่ด้วยความเกรงกลัวในพลังของผู้อาวุโสเซียว เขาก็ได้แต่กลั้นใจเดินเข้าไปหา
"ผู้อาวุโสเซียว มีธุระอันใดกับข้าหรือ?"
"เอานี่ไป ขายให้ข้า แล้วนำแต้มมาคืนข้า ไม่ต่ำกว่าสามพันแต้ม"
ผู้อาวุโสเซียวโยนถุงเก็บของให้กับเขา เมื่อเปิดดู เขาพบว่าด้านในเต็มไปด้วยขวดโอสถ สามพันแต้ม? นี่เป็นโอสถระดับแสงวิญญาณหรือวิญญาณแรกกำเนิดอย่างนั้นหรือ?
ตั้งแต่เมื่อไรที่ผู้อาวุโสเซียวมีโอสถระดับนี้?
เขาหยิบขวดโอสถขึ้นมาดู แล้วพบว่าเป็นโอสถสามพลังแห่งรากฐาน แต่เดี๋ยวก่อน นี่มันไม่ใช่ของธรรมดา มันเป็นโอสถระดับสูงสุดและสมบูรณ์แบบ!
นี่มัน... ใครกันที่ว่างมากพอจะหลอมโอสถระดับสร้างรากฐานขึ้นมาเป็นจำนวนมากเช่นนี้?
"ผู้อาวุโสเซียว ขออนุญาตถาม นี่เป็นโอสถที่ศิษย์คนใดหลอมขึ้นหรือ? เหตุใดท่านไม่ให้เขาขายเอง?"
ผู้อาวุโสหลี่รู้ดีว่าผู้อาวุโสเซียวไม่ถนัดเรื่องหลอมโอสถ ดังนั้นจึงต้องเป็นผลงานของศิษย์ในสำนักนิกายนอกที่เป็นนักหลอมโอสถ แต่ปกติแล้ว การหลอมโอสถสามพลังแห่งรากฐานไม่ใช่เรื่องคุ้มค่าเสียเวลาสำหรับพวกเขาเลย
"เป็นฝีมือของเจ้าหนูในหอคัมภีร์ มีอะไรหรือ?"
ผู้อาวุโสเซียวตอบเรียบ ๆ พลางปรายตามองเขา
"อ้อ เป็นศิษย์จากหอคัมภีร์... ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา"
"เดี๋ยวก่อน... ท่านหมายถึง ผู้พิทักษ์หอคนใหม่คนนั้น? เด็กนั่นเพิ่งอยู่ในขอบเขตชำระกายเนื้อเหล็กเท่านั้นมิใช่หรือ?"
ดวงตาของผู้อาวุโสหลี่เบิกกว้างขึ้นทันที มองผู้อาวุโสเซียวด้วยความตกตะลึง