บทที่ 30 เจ้าเห็นข้าเป็นคนเช่นนั้นหรือ?
"ผู้อาวุโสเซียว ผู้น้อยศิษย์จางเทา!"
"ผู้น้อยศิษย์เซียวจาง!"
"พวกเราต้องการเข้าสู่ชั้นที่สองของหอคัมภีร์ นี่คือป้ายศิษย์ของพวกเรา!"
อีกด้านหนึ่ง ผู้อาวุโสเซียวมองศิษย์นอกสองคนตรงหน้า พลางตกอยู่ในภวังค์ความคิดชั่วครู่ หากเขาจำไม่ผิด เจ้าเด็กสองคนนี้เพิ่งเข้ามาในชั้นที่สองของหอคัมภีร์เมื่อไม่นานมานี้มิใช่หรือ?
ไม่สิ... หรือช่วงนี้ศิษย์นอกของสำนักต่างพากันร่ำรวยขึ้น? ถึงได้มีแต้มคะแนนเหลือเฟือกันหมด เริ่มใช้แต้มกันอย่างฟุ่มเฟือยแล้วหรือไร? ถ้ามีแต้มมากนัก ก็ไปที่ชั้นสามของหอคัมภีร์สิ! จะมัวแต่จ้องอยู่ที่ชั้นสองทำไม? หรือว่ามีสมบัติล้ำค่าซ่อนอยู่ในชั้นสองกัน? เหตุใดข้าถึงไม่เคยรู้มาก่อน!
แม้จะคิดเช่นนั้น แต่เขาก็ไม่ได้ถามเหตุผลว่าทำไมสองคนนี้จึงกลับมาอีกภายในไม่กี่วัน แค่คิดก็รู้แล้วว่า หากมีคนเอาแต้มคะแนนมาให้ เขาก็ไม่มีเหตุผลต้องไล่พวกมันออกไป
ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงนี้เขาสังเกตเห็นว่าบรรยากาศในหมู่ศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนไป แทนที่จะพากันฝึกฝนและขวนขวายหาแต้ม กลับเริ่มปล่อยตัวใช้ชีวิตอย่างสุขสำราญแทน ในฐานะผู้บำเพ็ญตน นี่เป็นพฤติกรรมที่ยอมรับไม่ได้โดยสิ้นเชิง
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้พวกมันใช้แต้มคะแนนให้หมดไปเสียเถิด พอแต้มหมดแล้วก็จะได้ตั้งใจกลับไปฝึกฝนหาแต้มใหม่
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ผู้อาวุโสเซียวก็ตัดสินใจเด็ดขาด หักแต้มของพวกเขาไปคนละ 480 แต้ม
"ข้ามองดูแล้ว พวกเจ้าอยู่ห่างจากขอบเขตแสงวิญญาณเพียงแค่ก้าวเดียวเท่านั้น ชั้นสองไม่มีอะไรให้พวกเจ้าเรียนรู้อีกแล้ว ไปชั้นสามเสียเถิด!"
หลังจากกล่าวจบ เขาขว้างป้ายศิษย์กลับคืนให้ทั้งสองคน แล้วสะบัดมือเบา ๆ ประตูหอคัมภีร์พลันเปิดกว้าง ลมแรงพัดโหมจนสองคนถูกส่งเข้าไปด้านในโดยไม่ทันตั้งตัว
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันทำให้ทั้งสองคนถึงกับตะลึงงัน จนเมื่อพวกเขาเห็นแต้มคะแนนในป้ายศิษย์ของตนลดลงไป 480 แต้ม เซียวจางก็รู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบจนเจ็บปวด ใบหน้าเหยเกจนแทบจะบิดเบี้ยว
"ไม่ใช่นะ! ผู้อาวุโส ข้ายังอยู่เพียงขอบเขตสร้างรากฐานขั้นแปดเท่านั้น ข้ายังไม่ได้ถึงขั้นเก้าเลย!"
"แต้มของข้า~~~!"
"แต้มของข้าาา~~!"
เซียวจางมองดูป้ายศิษย์ที่เหลือแต้มคะแนนเพียงไม่ถึง 1,500 แต้ม ความรู้สึกคับแค้นใจพุ่งทะยานขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ในเวลาเพียงไม่กี่วัน แต้มของเขาหายไปกว่า 1,100 แต้ม!
ในขณะที่จางเทานั้น ถึงกับรู้สึกเหมือนความดันโลหิตพุ่งสูงขึ้นทันที ยามที่เขาฝึกวิชาพิฆาตหยินจนร่างกายเปลี่ยนไปจนไม่อาจแยกแยะเพศได้ เขายังไม่เคยหัวร้อนเท่านี้มาก่อน
480 แต้ม... ศิษย์รับใช้ต้องใช้เวลาหนึ่งปีจึงจะสะสมได้เพียง 12 แต้ม ส่วนศิษย์นอกจะได้รับเพียง 60 แต้มต่อปี แต้มเหล่านี้สำหรับศิษย์นอกธรรมดาคนหนึ่งต้องสะสมถึงแปดปี! แม้แต่เขาที่ขยันทำภารกิจเพื่อหาแต้ม ก็ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งถึงสองปี หรืออย่างช้าสามถึงสี่ปีจึงจะได้แต้มเหล่านี้มา
คิดมาถึงตรงนี้ มือของจางเทากำแน่นด้วยความขุ่นเคือง ทว่าเมื่อคิดถึงพลังลึกล้ำที่ไม่อาจหยั่งถึงของผู้อาวุโสเซียว เขาก็ต้องค่อย ๆ คลายหมัดลงไปเอง
"หืม? โอ้สวรรค์! ศิษย์พี่เซียวจางกับศิษย์พี่จางเทาหรือ?"
"ทำไมถึงเป็นพวกเจ้าสองคน?"
ทางด้านฉินเฟิง หลังจากที่เขาหลอมโอสถสร้างรากฐานได้สำเร็จพร้อมกับปรากฏลวดลายโอสถ ก็รู้สึกพึงพอใจยิ่งนัก เขาวางแผนจะเก็บโอสถสร้างรากฐานไว้กับตนเองส่วนหนึ่ง ที่เหลือจะส่งมอบให้ผู้อาวุโสเซียวเพื่อช่วยขายต่อให้ ด้วยตำแหน่งผู้พิทักษ์หอของเขา ทำให้ไม่อาจออกจากหอคัมภีร์ได้โดยง่าย
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่เขาไปซื้อวัตถุดิบโอสถมาก่อนหน้านี้ ผู้อาวุโสเซียวเองก็ทราบเรื่องนี้ดี ดังนั้นการฝากโอสถให้ผู้อาวุโสเซียวช่วยขาย จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
อย่างไรเสีย ผู้อาวุโสใหญ่ของหอคัมภีร์ก็คงไม่คิดจะยักยอกโอสถของเขาหรอกกระมัง?
ทว่าไม่คาดคิดเลยว่า เพิ่งจะหลอมโอสถเสร็จหมาด ๆ ก็ได้รับข่าวจากผู้อาวุโสเซียวว่ามีศิษย์สองคนเข้ามาในหอคัมภีร์ เมื่อออกจากห้องมาก็พบว่าคนทั้งสองคือเซียวจางและจางเทา พอเห็นเช่นนี้ ฉินเฟิงก็รู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมาทันที คนสองคนนี้คงไม่ได้มาหาเรื่องเขาหรอกกระมัง?
ข้าเป็นผู้พิทักษ์หอคัมภีร์ พวกเขาจะกล้าหาเรื่องข้าได้อย่างนั้นหรือ?
เซียวจางเมื่อเห็นฉินเฟิงก็รีบกลั้นความเจ็บปวดจากการเสียแต้มคะแนนเอาไว้ แล้วกล่าวอย่างรวดเร็ว
"ศิษย์น้อง เราสองคนมาวันนี้ก็เพื่อขอความช่วยเหลือจากเจ้า"
"เจ้าพอจะช่วยหาวิชาฝึกฝนสักเล่มให้เราได้หรือไม่? ขอเป็นวิชาที่ทรงพลัง แต่มีจุดบกพร่อง ข้อผิดพลาด หรือผลกระทบร้ายแรงก็ได้ วิทยายุทธ์หรือทักษะลับก็ย่อมได้ทั้งนั้น"
"???"
ฉินเฟิงมองเซียวจางที่แสดงแววตาจริงใจอย่างผิดปกติ เขาถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
นี่มันคำขออะไรกัน เจ้าได้ยินตัวเองพูดบ้างหรือไม่?
ก่อนหน้านี้ที่ข้าหาวิชาเตาหลอมหยางและวิชาพิฆาตหยินให้พวกเจ้าสองคนก็ไม่ใช่ความตั้งใจแต่แรก!
แล้วนี่พวกเจ้าสองคนสมคบกันมาทดสอบข้าอย่างนั้นหรือ?
"ไม่ใช่ ข้าดูเหมือนคนเช่นนั้นหรือ?"
"ไม่ได้! เด็ดขาดไม่ได้!"
ฉินเฟิงปฏิเสธอย่างหนักแน่น ก่อนหน้านี้ทุกอย่างเป็นเพียงความผิดพลาดโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ถ้าคราวนี้เขาตอบตกลง เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นความจงใจ หากผู้อาวุโสเซียวจับได้ งานของเขาคงไม่เหลือแน่
สองคำ: ยุติธรรม ซื่อตรง
ข้าไม่มีทางยอมรับได้!
"อย่านะ ศิษย์น้อง ข้าขอร้องเจ้าได้หรือไม่!"
"พวกเราทุ่มหมดตัวกับเรื่องนี้จริง ๆ!"
"ศิษย์น้องช่วยศิษย์พี่เถิด ข้ารับรองว่าจะไม่มีใครล่วงรู้เรื่องนี้!"
เซียวจางโผเข้ากอดขาฉินเฟิง ทรุดตัวลงนั่งกับพื้นโดยไม่ยอมปล่อยแม้แต่น้อย
ฉินเฟิงถึงกับชะงัก เจ้าจะนึกภาพออกหรือไม่ว่าถูกชายร่างใหญ่กอดขาแน่นหนาขนาดนี้? จิตใจของเขาแทบระเบิดออกมาทันที
"ปล่อยข้า!"
"ข้าไม่ปล่อย!"
"ปล่อยข้า ข้าเป็นคนมีศักดิ์ศรี!"
"ข้าไม่ปล่อย ข้าไม่มีศักดิ์ศรี!"
โอ้สวรรค์! ฉินเฟิงเพิ่งเคยพบคนที่ดื้อด้านเช่นนี้เป็นครั้งแรก!
ด้านข้าง จางเทาเองก็ถึงกับอึ้งจนไม่อยากจะมอง แต่เพื่อให้ตนเองเป็นที่จดจำในสายตาผู้อาวุโสเซียว เขาก็ค่อย ๆ ขยับไปอีกฝั่งของฉินเฟิงอย่างสงบ แล้วเลียนแบบเซียวจาง กอดขาเขาอีกข้างไว้แน่น
"???"
"พอแล้ว ข้าตกลงก็ได้!"
ฉินเฟิงถอนหายใจยาว ก่อนจะมองทั้งสองคนแล้วกล่าวออกมา
"จริงหรือ?"
"จริง ตอนนี้ปล่อยข้าได้แล้วใช่หรือไม่?"
เมื่อได้รับคำตอบยืนยันจากฉินเฟิง สองคนก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย ก่อนจะรีบลุกขึ้นยืน
"พวกเจ้าจะไปชั้นสามของหอคัมภีร์ใช่หรือไม่? พอดีมีสองเคล็ดวิชาที่เหมาะกับพวกเจ้าคือวิชาใจน้ำแข็ง และ วิชาตะวันเพลิง"
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ความเจ็บปวดจากการเสียแต้มคะแนนของเซียวจางและจางเทาก็คลายลงไปบ้าง
หลังจากฉินเฟิงบอกตำแหน่งของเคล็ดวิชาให้ทั้งสองคน เขาก็หันกายกลับเข้าห้องไปทันที
วันนี้ออกจากห้องโดยไม่ได้ดูฤกษ์จริง ๆ! เจอสองคนนี้เข้าไป นับว่าซวยสุด ๆ! ต่อไปข้าจะไม่ก้าวออกจากห้องโดยไม่ดูฤกษ์อีกแล้ว!
"ขอบคุณศิษย์น้อง!"
"ศิษย์น้องมีพระคุณ ศิษย์พี่จะจดจำไว้ตลอดชีวิต!"
จากนั้นทั้งสองคนก็พุ่งตรงไปยังหอคัมภีร์ชั้นสาม โดยไม่ต้องให้ฉินเฟิงบอก พวกเขาก็รู้เองว่าผู้ใดควรได้วิชาใจน้ำแข็ง และผู้ใดควรได้วิชาตะวันเพลิง พวกเขารีบจดจำเคล็ดวิชาเหล่านี้อย่างรวดเร็วในเวลาที่เหลืออยู่ ก่อนจะออกจากหอคัมภีร์ไปด้วยความฮึกเหิม
ผู้อาวุโสเซียวมองดูพวกเขาจากด้านหลัง พลางเกิดความสงสัยขึ้นมา พวกเขาสองคนเข้าใจเจตนาดีของเขาจริง ๆ หรือ? จึงตั้งใจค้นหาเคล็ดวิชาวิทยายุทธ์ที่เหมาะสมเพื่อมุ่งมั่นฝึกฝน?
หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็นับว่าไม่เลว พวกเจ้าทั้งสองยังมีจิตใจใฝ่ฝึกฝน
ขณะเดียวกัน ฉินเฟิงที่เพิ่งได้รับแต้มคะแนนสี่สิบแต้ม ก็ก้าวออกจากห้อง ตรงไปยังด้านหน้าหอคัมภีร์ และมุ่งหน้าไปหาผู้อาวุโสเซียว