บทที่ 10 วิชาสายฟ้าเก้าสวรรค์!
โจวอวี้มีเหตุผลของนางเองที่ต้องคิดเช่นนี้ ในสายตาของทุกคน แม้ว่าทักษะลับจะมีมูลค่าสูงกว่าวิทยายุทธ์และเคล็ดวิชา แต่การได้มานั้นกลับไม่ใช่เรื่องง่าย
มีศิษย์รับใช้เพียงไม่กี่คนที่รู้ว่าหอคัมภีร์ชั้นสองมีทักษะลับ และโจวอวี้ก็เป็นหนึ่งในคนส่วนน้อยนั้น นี่จึงเป็นเหตุผลที่นางยอมใช้แต้มคะแนนกว่าแปดในสิบส่วนเพื่อเข้าสู่หอคัมภีร์ชั้นสอง
ในเมื่อแต้มคะแนนเท่ากัน แน่นอนว่าการเลือกทักษะลับย่อมคุ้มค่ากว่า หากสามารถเลือกทักษะลับที่ทรงพลังและใช้งานได้จริง นางย่อมได้รับประโยชน์ทั้งในตอนนี้และภายหลังเมื่อนางก้าวเข้าสู่ระดับสร้างรากฐาน
"ชั้นวางตำราหมายเลข 107 แถวที่ห้า ตำรายี่สิบเล่มแรกเป็นทักษะลับทั้งหมด เจ้าสามารถไปเลือกดูได้ด้วยตนเอง"
"วิชาสายฟ้าล่อฟ้า อาจเป็นตัวเลือกที่ดี"
ฉินเฟิงกล่าวอย่างเรียบเฉย นางฝึกฝนหมัดวายุอัสนีอยู่แล้ว ถ้าหากสามารถฝึกฝนวิชาสายฟ้าล่อฟ้าที่ช่วยกระตุ้นพลังแห่งพายุและสายฟ้าได้สำเร็จ ย่อมต้องส่งเสริมกันและกันเป็นอย่างดี
ท้ายที่สุดแล้ว โจวอวี้ก็ไม่ใช่เขา นางไม่มีทางฝึกฝนหมัดวายุอัสนีเก้าสวรรค์ได้
ส่วนเขา ซึ่งเป็นผู้ที่สามารถฝึกฝนหมัดวายุอัสนีเก้าสวรรค์ได้โดยสมบูรณ์ ย่อมไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะลับอย่างวิชาสายฟ้าล่อฟ้า
"ขอบคุณศิษย์น้อง!"
"หากศิษย์น้องมีเรื่องให้ช่วยในอนาคต โจวอวี้ยินดีช่วยอย่างเต็มที่!"
โจวอวี้รู้สึกตื่นเต้น สายตาของนางเป็นประกาย รีบโค้งคำนับฉินเฟิงทันที จากนั้นจึงรีบตรงไปยังชั้นวางหนังสือหมายเลข 107
ศิษย์ที่เข้าสู่หอคัมภีร์ทุกคน ล้วนมีเวลาจำกัด เพราะหากปล่อยให้ศิษย์อยู่ที่นี่เป็นเดือน ๆ ย่อมเป็นเรื่องใหญ่
นางมีเวลาเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น หากไม่มีผู้ชี้แนะ นางคงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหาตำราที่ต้องการได้ในเวลาอันสั้น
ทางด้านฉินเฟิง หลังจากเห็นโจวอวี้ไปทำธุระของนางแล้ว เขาก็หันกลับมาเริ่มอ่านตำราในหอคัมภีร์ชั้นสองต่อ
【อ่านแบบกวาดสายตา กระบี่เทพโลหิต พรสวรรค์ +2】
【อ่านแบบกวาดสายตา กระบี่เทพโลหิต สติปัญญา +2】
【อ่านแบบกวาดสายตา เพลงดาบชลคลื่น พรสวรรค์ +2】
【อ่านแบบกวาดสายตา เพลงดาบชลคลื่น สติปัญญา +2】
【อ่านอย่างละเอียด วิชาก้าวสายฟ้า พรสวรรค์ +3】
【อ่านอย่างละเอียด วิชาก้าวสายฟ้า สติปัญญา +3】
【อ่านอย่างละเอียด วิชาก้าวสายฟ้า ร่างกาย +3】
【อ่านอย่างละเอียด วิชาก้าวสายฟ้า อายุขัย +3】
【อ่านอย่างละเอียด วิชาก้าวสายฟ้า พรสวรรค์ +5】
【อ่านอย่างละเอียด วิชาก้าวสายฟ้า สติปัญญา +5】
【อ่านอย่างละเอียด วิชาก้าวสายฟ้า ร่างกาย +5】
【อ่านอย่างละเอียด วิชาก้าวสายฟ้า อายุขัย +5】
【ฝึกฝน วิชาก้าวสายฟ้า สำเร็จ พรสวรรค์ +10】
【ฝึกฝน วิชาก้าวสายฟ้า สำเร็จ สติปัญญา +10】
【ฝึกฝน วิชาก้าวสายฟ้า สำเร็จ ร่างกาย +10】
【ฝึกฝน วิชาก้าวสายฟ้า สำเร็จ อายุขัย +10】
【ฝึกฝน วิชาก้าวสายฟ้า สำเร็จ ระดับพลัง +10】
【บรรลุความเข้าใจใน วิชาก้าวสายฟ้า และได้รับวิทยายุทธ์ขั้นสูง: วิชาสายฟ้าลับแล!】
ฉินเฟิงเลิกคิ้วขึ้น หากวิชาก้าวสายฟ้าเป็นวิชาที่เน้นการเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว วิชาสายฟ้าลับแลก็คือวิชาหลบหนีระดับสูง
หากเขาสามารถหลอมรวมสองวิทยายุทธ์เข้าด้วยกัน ความเร็วของเขาจะพัฒนาไปอีกขั้นหรือไม่?
คิดได้ดังนั้น เขาก็ไม่รอช้า รีบกลับไปยังห้องพักของตนและเริ่มต้นฝึกฝนเพื่อรวมสองวิทยายุทธ์เข้าด้วยกันทันที
การฝึกตนมีระดับขั้น วิทยายุทธ์ เคล็ดวิชา และอาวุธวิเศษก็มีการจัดลำดับขั้นเช่นเดียวกัน
จากต่ำไปสูง แบ่งออกเป็น ไม่เข้าขั้น, สมบัติ, วิญญาณ, สวรรค์, เต๋า และศักดิ์สิทธิ์
แต่ละระดับยังแบ่งเป็นสี่ชั้น: ต่ำ กลาง สูง และสูงสุด
เช่น หมัดวายุอัสนี เป็นวิทยายุทธ์ระดับสมบัติชั้นสูง ซึ่งเพียงพอให้ผู้ฝึกตนขอบเขตชำระกระดูกและชำระไขกระดูกใช้ได้
ส่วนหมัดวายุอัสนีเก้าสวรรค์ที่ฉินเฟิงฝึกฝนนั้น เป็นวิทยายุทธ์ระดับวิญญาณชั้นสูง ซึ่งสามารถใช้ได้จนถึงขอบเขตแสงวิญญาณ
วิชาก้าวสายฟ้าเองก็อยู่ในระดับวิญญาณชั้นสูง ส่วนวิชาสายฟ้าลับแลที่พัฒนาขึ้นมาอยู่ในระดับสวรรค์ชั้นต่ำ แม้แต่นักฝึกตนระดับวิญญาณแรกกำเนิดก็ยังถือว่าเป็นวิชาที่ดีเยี่ยม
ครึ่งชั่วยาม
หนึ่งชั่วยาม...
สองชั่วยามผ่านไป
ฉินเฟิงที่มุ่งมั่นจดจ่ออยู่กับการฝึกฝนพลันเกิดแรงบันดาลใจขึ้นมาอย่างฉับพลัน
【สำเร็จการหลอมรวม วิชาก้าวสายฟ้า และ วิชาสายฟ้าลับแล จนได้รับวิทยายุทธ์ขั้นสูง: วิชาสายฟ้าเก้าสวรรค์!】
ดวงตาของฉินเฟิงสว่างวาบ ร่างของเขาหายวับไปจากห้องพักของตน และในเสี้ยวพริบตา ปรากฏร่างของเขาอีกครั้งที่ชั้นที่สิบสองของหอคัมภีร์
“เร็วมาก!”
จิตใจของฉินเฟิงสั่นสะท้าน น่าตลกที่ตอนนี้เขายังอยู่เพียงแค่ระดับ ผิวทองแดงขั้นกลาง เท่านั้น แต่ความเร็วของเขากลับทะลุขีดจำกัดของขอบเขตสร้างรากฐานไปแล้ว
และนี่เป็นเพียงแค่การใช้งาน วิชาสายฟ้าเก้าสวรรค์ ครั้งแรกของเขาเท่านั้น ที่สำคัญ ระดับพลังของเขายังเป็นข้อจำกัดอยู่
หากวันใดเขาก้าวเข้าสู่ขอบเขตสร้างรากฐาน ความเร็วของเขาจะพุ่งขึ้นไปถึงขนาดไหนกันแน่ แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่อาจคาดเดาได้
...
...
...
ขณะเดียวกัน ในช่วงที่ฉินเฟิงกำลังทดลองหลอมรวมวิทยายุทธ์นั้น โจวอวี้ก็พบวิชาสายฟ้าล่อฟ้าตามที่ฉินเฟิงแนะนำ และทันทีที่เปิดดูตำราทักษะลับเล่มบางเล่มนี้ นางก็รู้ได้ทันทีว่า ฉินเฟิงพูดไว้เบาเกินไปแล้ว
นี่ไม่ใช่แค่ตัวเลือกที่ดี แต่เป็นตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมที่สุด! แม้ว่านางจะไม่เปิดดูทักษะลับอีกสิบเก้าเล่มที่เหลือ นางก็มั่นใจได้เลยว่า วิชาสายฟ้าล่อฟ้านี้เหมาะสมกับนางที่สุดในตอนนี้
เพราะตอนนี้ นางสามารถใช้หมัดวายุอัสนีถึงระดับสิบได้แล้ว เมื่อรวมกับวิชาสายฟ้าล่อฟ้านี้ พลังของนางอาจพุ่งทะยานถึงระดับสร้างรากฐาน!
ความคิดนี้ทำให้หัวใจของโจวอวี้เต้นแรง
ท้ายที่สุดแล้ว การสามารถต่อสู้เหนือระดับขั้นได้ นั่นคือเครื่องหมายของอัจฉริยะโดยแท้
ด้วยความตื่นเต้นนี้ นางตั้งใจจะไปหาฉินเฟิงเพื่อแสดงความขอบคุณ ทว่า... ไม่ว่านางจะหาทั่วทั้งชั้นหนึ่งและชั้นสอง ก็หาเขาไม่พบ สุดท้ายจึงเดินออกจากหอคัมภีร์ไปด้วยความผิดหวัง
“พี่ชิง นางออกจากหอคัมภีร์แล้ว”
ขณะเดียวกัน จางชิงก็ได้รับรายงานจากลูกน้องของตน แววตาของเขาฉายแววลึกลับ
ทำไมนางถึงเข้าหอคัมภีร์ถึงสองครั้งในระยะเวลาใกล้เคียงกัน? หรือว่าหมัดวายุอัสนีระดับสิบ ของนาง ได้มาจากผู้พิทักษ์หอที่ล่วงลับไปแล้วจริง ๆ?
เป็นไปไม่ได้!
ก่อนที่ผู้พิทักษ์หอจะสิ้นลมหายใจ เขาจะมีเรี่ยวแรงที่ไหนมาสอนนางกัน?
จางชิงไม่มีทางเชื่อสิ่งนี้เด็ดขาด แต่กระนั้น สายลับของเขาได้ตรวจสอบคนรอบตัวโจวอวี้แล้ว และยังไม่พบว่านางได้หมัดวายุอัสนีระดับสิบมาจากที่ใด
เช่นนั้น ก็เหลือเพียงความเป็นไปได้เดียว...หมัดวายุอัสนีระดับสิบของนาง ต้องเป็นบางสิ่งที่ได้มาในหอคัมภีร์แน่!
เมื่อคิดเช่นนี้ ใบหน้าของจางชิงพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา ก่อนจะมุ่งหน้าสู่หอคัมภีร์โดยไม่ลังเล
“ช่วงนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมศิษย์รับใช้ถึงได้กล้าเข้าหอคัมภีร์กันนัก?”
ผู้อาวุโสเซียวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่เขาย่อมไม่ขับไล่คะแนนแต้มออกไปอย่างโง่เขลา เขาจึงรับป้ายของจางชิงและหักคะแนนออกไปสองร้อยสี่สิบแต้ม ก่อนจะปล่อยให้เขาเข้าไป
หนึ่งชั่วยามผ่านไป จางชิงเดินออกจากหอคัมภีร์ด้วยใบหน้ามืดครึ้ม
หนึ่งชั่วยามเต็ม ๆ ที่เขาอยู่ในนั้น...แต่กลับไม่ได้อะไรเลย! คะแนนสองร้อยสี่สิบแต้มที่เสียไปเหมือนสูญเปล่า!
สิ่งนี้ทำให้อารมณ์ที่แย่อยู่แล้วของเขา ยิ่งเดือดดาลขึ้นไปอีก
ในขณะที่ภายในหอคัมภีร์ ฉินเฟิงที่เพิ่งออกจากการฝึกฝน ก็เห็นจางชิงเดินจากไปด้วยใบหน้ามืดมน เขากระพริบตาแล้วพึมพำกับตัวเองอย่างมึนงง
“คนนี้คงป่วยอะไรสักอย่างสินะ น่าสงสารจริง ๆ”