บทที่ 1 สวรรค์ไม่เคยตัดทางรอดของผู้ใด อ่านแล้วแข็งแกร่งขึ้น!
“ผู้พิทักษ์หอ หวังเฉิน น้อมรับคำสั่งจากจ้าวแดนศักดิ์สิทธิ์ นำผู้พิทักษ์หอคนใหม่ ฉินเฟิง เข้าหอคัมภีร์ นี่คือตราประจำตัวของฉินเฟิง ขอให้ท่านผู้อาวุโสเซียวตรวจสอบ”
ภายในหอคัมภีร์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าเมฆา ชายชราผมขาวโพลนหลังค่อมเล็กน้อย หวังเฉิน ยืนอยู่พร้อมกับเด็กหนุ่มรูปร่างสง่างาม ใบหน้าขาวผ่องดุจหยกที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา
เวลานี้ หวังเฉินยื่นตราประจำตัวในมืออย่างนอบน้อมให้แก่ผู้อาวุโสเซียว ผู้ที่มีผมขาวดุจหงส์แต่ใบหน้ายังคงดูอ่อนเยาว์ นั่งอยู่บนเก้าอี้โยกอย่างผ่อนคลาย
“โอ้ หวังเฉิน เจ้าเองรึ ข้าไม่เห็นเจ้าแค่สองร้อยกว่าปีเท่านั้น เจ้าก็แก่ไปเสียแล้ว น่าเสียดายจริง ๆ ผู้พิทักษ์หอคนนี้ก็ต้องเปลี่ยนอีกแล้วสินะ!”
ผู้อาวุโสเซียวลืมตาขึ้นมองหวังเฉินแวบหนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงปลงใจ ตราประจำตัวในมือของหวังเฉินลอยมาหาเขาโดยที่เขาไม่ได้ขยับตัวแม้แต่น้อย
“เอาล่ะ!”
“กฎเกณฑ์ทั้งหลาย เจ้าสอนเขาเอง โอ้ จริงสิ อย่าปล่อยให้เขารบกวนคนผู้นั้น เขาไม่ได้มีนิสัยดีเหมือนข้า ข้าไม่อยากเปลี่ยนผู้พิทักษ์หออีกในเวลาไม่กี่วัน”
“ขอรับ ผู้อาวุโส!”
หวังเฉินก้มตัวคารวะอย่างนอบน้อม เด็กหนุ่มที่อยู่ด้านหลังก็ทำตามอย่างเคร่งครัด ทั้งสองก้าวเข้าสู่หอคัมภีร์อย่างเป็นทางการ
“ฉินเฟิง ถึงแม้ว่าบิดามารดาของเจ้าจะเคยเป็นเพียงศิษย์รับใช้ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่ในฐานะของพวกเขาแล้ว ความรู้เกี่ยวกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ถึงเสี้ยวหนึ่งในพันของความจริง โดยเฉพาะหอคัมภีร์ที่เรายืนอยู่ในตอนนี้”
“ดังนั้น คำพูดทุกคำที่ข้าจะบอกเจ้าต่อจากนี้ เจ้าต้องจดจำไว้ในใจให้มั่น มีเพียงเช่นนี้เท่านั้น เจ้าจึงจะทำหน้าที่ผู้พิทักษ์หอได้ดี และมีโอกาสสร้างรากฐานเพื่อมีชีวิตรอดยืนยาว เจ้าพอเข้าใจหรือไม่”
หวังเฉินหันไปมองเด็กหนุ่มด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เข้าใจแล้ว ท่านอาวุโส”
ฉินเฟิงพยักหน้าอย่างหนักแน่น เขารู้ดีว่าหน้าที่ผู้พิทักษ์หอนี้ไม่ได้ได้มาง่าย ๆ หากไม่ได้หวังเฉินเอ่ยปากช่วยเหลือ เขาคงถูกขับออกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว เพราะเขายังไม่ได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตแรกของการฝึกตนแม้แต่น้อย
ในโลกนี้ ชีวิตของคนธรรมดาแทบไม่มีค่าอะไรเลย หากบิดามารดาของเขายังมีชีวิตอยู่ ด้วยพื้นเพที่พวกเขาเป็นศิษย์รับใช้ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ อย่างน้อยเขาก็ยังสามารถอยู่ในโลกมนุษย์อย่างสุขสบาย ไม่ต้องห่วงเรื่องปากท้อง แต่ใครเล่าจะคิดว่าภารกิจของศิษย์รับใช้ก็อาจนำความตายมาได้
ทั้งสองคนโชคร้าย เมื่อกลับจากภารกิจได้เจอกับการต่อสู้ของสองยอดฝีมือรุ่นเยาว์ ทำให้พวกเขาและหมู่บ้านรอบข้างต้องรับผลกระทบจากการต่อสู้ครั้งนั้น มีผู้เสียชีวิตนับพันคน
แม้ว่าภายหลังสองยอดฝีมือรุ่นเยาว์จะถูกผู้แข็งแกร่งจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์สังหาร แต่ฉินเฟิงก็สูญเสียบิดามารดาไปตลอดกาล
สำหรับเด็กหนุ่มวัยเพียงสิบแปดปีที่เพิ่งล่วงเข้าอายุนี้ได้ไม่กี่เดือน เขารู้สึกราวกับกลับไปเป็นเด็กกำพร้าอีกครั้งในชาติก่อน
ครึ่งวันที่ผ่านมา เขาได้แต่มองดูสหายร่วมรุ่นที่เป็นลูกหลานศิษย์รับใช้และศิษย์นอกเหมือนกัน บางคนถูกจัดสรรไปยังหอโอสถ บางคนไปยังหออาวุธ หอยันต์ หรือหอค่ายกล แม้แต่คนที่ด้อยหน่อยก็ยังได้ไปปลูกข้าววิญญาณหรือทำงานฝ่ายสนับสนุนในครัวเรือน
มีเพียงเขาและอีกไม่กี่คนที่ไม่มีพลังฝึกตนติดตัว ถูกทิ้งไว้ไม่มีใครต้องการ
ทำไมน่ะหรือ ก็เพราะพรสวรรค์และสติปัญญาในการฝึกตนของเขาแย่เกินไปนั่นเอง กว่าทศวรรษที่ผ่านมา เขายังไม่อาจเข้าสู่ขอบเขตแรกของการฝึกตน คือขอบเขตการขัดเกลาร่างกายได้แม้แต่ขั้นแรก
หากไม่ใช่เพราะบิดามารดาของเขาเคยเป็นศิษย์รับใช้ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เขาคงถูกขับไล่ออกไปตั้งแต่สิบปีก่อนแล้ว
เมื่อบิดามารดาที่เคยเป็นหลักพึ่งพาเสียชีวิตไป เขาก็ต้องเผชิญกับวิกฤตการถูกขับไล่ออกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน โชคดีที่ในช่วงเวลาวิกฤต หวังเฉินปรากฏตัวและพาเขาไป
แต่แตกต่างจากศิษย์คนอื่นที่ได้รับการจัดสรร หวังเฉินไม่ได้พาเขาไปยังหอคัมภีร์ในทันที แต่พาเขาไปพบจ้าวแดนศักดิ์สิทธิ์ของดินแดนเก้าเมฆา บุคคลที่เขาไม่อาจเห็นแม้แต่เงา ไม่รู้ว่าเป็นชายหรือหญิง
เมื่อเขารู้สึกตัวอีกครั้ง ก็พบว่าตัวเองมาอยู่หน้าหอคัมภีร์พร้อมกับหวังเฉินแล้ว เขาไม่มีท่าทีตื่นตระหนกหรือแสดงอาการใด ๆ กลับสงบนิ่งอย่างน่าประหลาด เพราะเขารู้ดีว่า หากมีปัญหาจริง เขาคงไม่มีทางได้มายืนอยู่หน้าหอคัมภีร์นี้
ความสงบนิ่งของเขาทำให้หวังเฉินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ต้องรู้ว่าเมื่อสองร้อยปีก่อน ตอนที่เขาถูกผู้พิทักษ์หอคนก่อนพาไปพบจ้าวแดนศักดิ์สิทธิ์ เขาทำเรื่องขายหน้ามากมายจนไม่อาจลืมได้
“อย่าเรียกข้าว่าผู้อาวุโส เรียกข้าว่าลุงเฉินเถิด ด้วยอายุของข้า เรียกว่าท่านลุงย่อมไม่ทำให้เจ้าต้องลำบากใจ” หวังเฉินกล่าว
“ไม่เพียงไม่ลำบากใจ ข้ายังรู้สึกเป็นเกียรติอีกด้วย!”
ฉินเฟิงพึมพำในใจ เขารู้ว่าหวังเฉินสามารถมีอายุยืนยาวถึงสองร้อยกว่าปีได้ย่อมต้องทะลุขอบเขตการฝึกตนขั้นแรกและเข้าสู่ระดับขอบเขตการสร้างรากฐาน ไม่เช่นนั้นด้วยขอบเขตการขัดเกลาร่างกายที่มีห้าขั้นย่อย จะไม่มีทางมีอายุเกินร้อยห้าสิบปีได้เลย
บิดามารดาของเขาเองเคยเป็นผู้ฝึกตนระดับขอบเขตการขัดเกลาร่างกาย และอยู่ในช่วงปลายของขั้นที่ห้า เขาย่อมรู้ว่าอายุขัยสูงสุดของระดับขอบเขตการขัดเกลาร่างกายคือร้อยห้าสิบปี และนี่คือความจริงที่ทุกสำนักยอมรับ
การได้เรียกผู้ฝึกตนระดับขอบเขตการสร้างรากฐานว่าลุง จึงถือว่าเขาได้เกียรติอย่างสูง
“ลุงเฉิน!”
ฉินเฟิงเรียก “ลุงเฉิน” อย่างนอบน้อม ทำให้ใบหน้าของหวังเฉินปรากฏรอยยิ้มอันหาได้ยาก
“หอคัมภีร์เป็นหนึ่งในสิบสองดินแดนต้องห้ามของดินแดนศักดิ์สิทธิ์เก้าเมฆา และเป็นรากฐานของพลังทั้งหมด ตั้งแต่ความลับแห่งฟ้าดินและตำนานลึกลับ จนถึงเคล็ดวิชาและวิชายุทธ์ล้ำค่า ล้วนรวบรวมไว้ครบครัน ในชั้นแรกของหอคัมภีร์แห่งนี้ มีชั้นหนังสือทั้งหมดเก้าสิบเก้าชั้น และมีตำรารวมกันเก้าหมื่นเก้าพันเล่ม”
“เนื่องจากตำราในชั้นแรกนั้นมุ่งเน้นสำหรับขอบเขตการขัดเกลาร่างกายและตำนานลึกลับบางประการ จึงมีจำนวนไม่มาก ตำราในชั้นที่สามถึงชั้นที่ห้าจึงเป็นส่วนที่มีจำนวนมากที่สุด ซึ่งเจ้าเองจะค่อย ๆ ได้เรียนรู้ในภายหลัง”
“ในฐานะผู้พิทักษ์หอ เจ้าหาได้จำเป็นต้องมีพลังอันยิ่งใหญ่ เพราะนั่นเป็นหน้าที่ของผู้อาวุโสเซียวและพวกพ้องของเขา เจ้าต้องเพียงเข้าใจการจัดวางตำราในหอคัมภีร์ทั้งสิบสามชั้น และช่วยชี้แนะแก่ศิษย์ที่เข้ามาหาตำราในสิ่งที่พวกเขาต้องการ”
“แน่นอนว่า ในฐานะผู้พิทักษ์หอ เจ้าสามารถอ่านตำราในหอคัมภีร์ได้ทุกเล่ม ซึ่งแม้แต่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งมวล ผู้ที่มีสิทธิเช่นนี้ก็มีเพียงไม่กี่คน และนอกเหนือจากจ้าวแดนศักดิ์สิทธิ์แล้วก็แทบไม่มีใครอีกเลย”
“อีกอย่าง ชั้นที่สิบสามของหอคัมภีร์ ห้ามขึ้นไปโดยง่าย หากเจ้าจำเป็นต้องขึ้นไป จงระวังอย่าส่งเสียงดังเกินไป เพราะไม่มีผู้ใดช่วยเจ้าได้หากเกิดปัญหา”
คำพูดของหวังเฉินทำให้ฉินเฟิงนึกถึงคนที่ผู้อาวุโสเซียวเคยเอ่ยถึง ดูเหมือนว่าผู้ที่เขากล่าวถึงนั้นน่าจะเป็นผู้ที่ปกปักษ์รักษาหอคัมภีร์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์
“ข้าเข้าใจแล้ว ลุงเฉิน!”
ฉินเฟิงพยักหน้ารับ
“สัปดาห์นี้ เจ้าจงคุ้นเคยกับการจัดวางตำราของชั้นแรกไว้ก่อน สัปดาห์หน้าข้าจะทดสอบเจ้า”
หลังจากทิ้งคำพูดสุดท้าย หวังเฉินก็เดินเข้าไปในห้องพักข้างหอคัมภีร์ ผู้พิทักษ์หอมักจะไม่ออกจากหอคัมภีร์เลย การกินอยู่จึงล้วนจัดการภายในหอคัมภีร์
โชคดีที่พวกเขามีสวัสดิการไม่เลว แม้จะไม่ได้เป็นศิษย์ แต่ก็มีชีวิตความเป็นอยู่ดีกว่าศิษย์รับใช้มาก ได้รับเบี้ยเลี้ยงและส่วนแบ่งข้าววิญญาณประจำทุกเดือน
ในสมัยก่อน หวังเฉินเมื่อครั้งยังเป็นผู้ฝึกตนที่เพิ่งเข้าสู่ระดับขอบเขตการขัดเกลาร่างกาย ก็อาศัยเบี้ยเลี้ยงที่ได้รับสะสมเป็นเวลาหลายปีจนแลกหินวิญญาณมาได้มากพอและซื้อโอสถสร้างรากฐานสำเร็จ จึงบรรลุขอบเขตการสร้างรากฐานและมีอายุขัยยาวนานถึงสองร้อยปี แม้ในปัจจุบันเขาจะยังอยู่เพียงขั้นแรกของขอบเขตการสร้างรากฐานก็ตาม
บัดนี้ อายุขัยของหวังเฉินก็ใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว สภาพร่างกายและจิตใจก็ไม่เหมือนเดิม ดังนั้นทุกวันหากไม่มีใครมาที่หอคัมภีร์ เขามักจะพักผ่อนอยู่ในห้องเป็นหลัก
เมื่อครั้งหนึ่งเขาใช้เวลาครึ่งปีเต็มในการจดจำตำแหน่งตำราของชั้นแรกทั้งหมด และใช้เวลาสิบปีกว่าจะเข้าใจตำราในหอคัมภีร์ทั้งสิบสามชั้นอย่างครบถ้วน หากมิใช่เพราะเขาพยายามทะลวงเข้าสู่ขั้นที่สองของขอบเขตการสร้างรากฐานเพื่อเพิ่มอายุขัย แต่กลับล้มเหลวและได้รับบาดเจ็บจนทำให้อายุขัยสั้นลง เขาคงไม่รีบพาฉินเฟิงมาในเวลานี้
...
...
...
เมื่อหวังเฉินเข้าห้องไปแล้ว ฉินเฟิงก็เริ่มงานของตัวเองทันที โดยเริ่มจากการทำความคุ้นเคยกับการจัดวางตำราต่าง ๆ ในชั้นแรกของหอคัมภีร์
แท้จริงแล้ว ฉินเฟิงมีความลับที่แม้แต่บิดามารดาก็ไม่รู้ นั่นคือเขามีความสามารถในการจำได้แม่นยำ เพียงแค่ได้เห็นตัวอักษรผ่านตาเพียงครั้งเดียว เขาก็สามารถจดจำไว้ในสมองได้ทั้งหมด
ความสามารถนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จในชาติก่อนตั้งแต่อายุยังน้อย เพียงแต่เขาต้องมาจบชีวิตด้วยโรคมะเร็งสมองจนต้องมาเกิดใหม่ในโลกนี้
ผ่านไปหนึ่งเค่อ ฉินเฟิงสามารถจดจำตำแหน่งของตำรากว่าพันเล่มในชั้นหนังสือแรกไว้ในหัวได้ทั้งหมด จากนั้นเขาก็เริ่มที่ชั้นหนังสือที่สอง สาม สี่ ต่อไปเรื่อย ๆ
เมื่อถึงชั้นหนังสือที่สิบ เวลาที่เขาใช้ในการจดจำตำราลดลงจากหนึ่งเค่อเหลือเพียงห้านาที
เก้าชั่วยามผ่านไป ฉินเฟิงยืดตัวพลางลูบศีรษะที่เริ่มปวด ก่อนจะนั่งพักพิงชั้นหนังสืออย่างผ่อนคลาย ตอนนี้ตำราของชั้นแรกทั้งเก้าสิบเก้าชั้น เขาได้จดจำตำแหน่งทั้งหมดไว้ในใจเรียบร้อยแล้ว
“ลุงเฉินบอกว่ายิ่งตำรามีระดับสูงขึ้น พลังผนึกจะยิ่งรุนแรง ตำราในชั้นแรกนี้ ข้าคงรับพลังผนึกได้ใช่ไหม”
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ฉินเฟิงก็เอื้อมมือไปหยิบตำราบนชั้นหนังสือข้างตัว ในชั่วพริบตาที่สัมผัสตำรา แสงสีขาวจาง ๆ ก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับแรงต้าน
แต่แรงต้านนี้หายไปทันทีเมื่อเขาใช้แรงเพียงเล็กน้อย
“โชคดีจริง หากพลังผนึกแรงกว่านี้ ข้าคงไม่มีโอกาสแม้แต่จะอ่านตำราในชั้นแรก”
ตำราทุกเล่มในหอคัมภีร์ถูกปิดผนึกไว้ตามระดับความยาก แต่ด้วยตราประจำตัวของผู้พิทักษ์หอ พลังผนึกที่เขาเผชิญนั้นลดลงอย่างมหาศาล
อีกทั้งเมื่อศิษย์เข้าหอคัมภีร์ พลังผนึกของตำราจะลดลงในช่วงเวลาที่กำหนดไว้
ฉินเฟิงถอนหายใจอย่างโล่งอก ขณะมองตำราในมือที่มีชื่อว่า "หมัดวายุอัสนี" ก่อนจะเปิดอ่านหน้าแรก
“เคลื่อนไหวดุจวายุอัสนี สงบนิ่งดุจการกลับคืนสู่ความว่างเปล่า ออกกระบี่ไร้รูป ปราบศัตรูด้วยรูป…”
"หมัดวายุอัสนีแบ่งออกเป็นเก้าขั้น ฝึกสำเร็จขั้นแรกจะเกิดเสียงฟ้าร้องเพิ่มพลังได้ 1.2 เท่า หากฝึกถึงขั้นที่สอง…"
【อ่านแบบกวาดสายตา "หมัดวายุอัสนี" พรสวรรค์ +1】
【อ่านแบบกวาดสายตา "หมัดวายุอัสนี" สติปัญญา +1】
ขณะที่ฉินเฟิงกำลังอ่าน "หมัดวายุอัสนี" ข้อมูลบางอย่างก็หลั่งไหลเข้าสู่จิตใจของเขาอย่างฉับพลัน ทำให้เขาชะงักไปชั่วขณะ
“นี่มัน...”
ฉินเฟิงรู้สึกตื่นเต้นเมื่อพบว่าข้อมูลนี้ไม่ได้เกิดจากตำราโดยตรง แต่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่มาจากความสามารถพิเศษบางอย่างของเขา
หลังจากอ่านตำราเล่มนี้จบ เขาก็วางมันกลับไปยังตำแหน่งเดิม และหยิบตำราเล่มถัดไปขึ้นมาอ่านต่อ
【อ่านแบบกวาดสายตา "หมัดกระทิงปีศาจ" พรสวรรค์ +1】
【อ่านแบบกวาดสายตา "หมัดกระทิงปีศาจ" สติปัญญา +1】