บทที่ 46 ดึงดูด
บทที่ 46 ดึงดูด
ทั่วทั้ง อาคารเลี้ยงทารก ก้องไปด้วยเสียงร้องของทารก ดึงดูด ซือเหริน จำนวนมากให้มารวมตัวกัน
ท่ามกลางฝูงซือเหรินที่เคลื่อนไหวอย่างบ้าคลั่ง มีร่างของ ซืออู่เจ่อ(นักรบซากศพ) โดดเด่นขึ้นมา มันมีรูปร่างอ้วนใหญ่สูง 2.5 เมตร ใส่ชุดเกราะโลหะพร้อมหมวกเหล็กสีเทา มือถือดาบใหญ่ที่ดูหนักอึ้ง
บันไดหนีไฟที่เชื่อมระหว่างชั้นหนึ่งและชั้นสองถูกกองขยะจำนวนมากกีดขวางไว้ ซือเหรินธรรมดาไม่สามารถผ่านไปได้ และแม้แต่ซืออู่เจ่อก็พยายามดันฝ่าขึ้นไป แต่กลับถูกขัดขวางโดยฝูงซือเหรินของตัวเอง
มันแกว่งดาบอย่างเดือดดาล ฆ่าซือเหรินที่ขวางทางเพื่อเปิดทางให้ตัวเอง
เสิ่นชิวที่สอดหัวมองดูสถานการณ์จากมุมหนึ่งดึงศีรษะกลับมาทันที พร้อมบอกอามู่ว่า
“สถานการณ์แย่พอสมควรนะ ชั้นล่างเต็มไปด้วยซือเหริน และยังมีตัวหนึ่งที่ดูน่ากลัวมาก โชคดีที่บันไดหนีไฟถูกกีดขวางไว้ พวกมันยังขึ้นไปชั้นสองไม่ได้”
อามู่สอดหัวไปดูเองอีกครั้ง เมื่อเห็นภาพนั้นก็พยักหน้ากลับมาพูด
“พวกมันเยอะเกินไป ฆ่าหมดตอนนี้คงไม่ได้แน่ ลองติดต่อไปที่ห้องเลี้ยงทารกดูว่าพวกเขายังปลอดภัยไหม”
“ฉันจะโทรหาอาตัน” ป้าเฉียวหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา กดหมายเลขแล้วต่อสายทันที
เสียงรอสายดังไม่นานนัก ก่อนอาตันจะรับสาย
“อาตัน ที่นั่นเป็นยังไงบ้าง?” ป้าเฉียวลดเสียงต่ำถาม
“ในห้องเลี้ยงทารก มีตัวประหลาดโผล่เข้ามาตัวหนึ่ง แต่พวกเราร่วมกันจัดการมันได้แล้ว แต่ตรงทางเดินหน้าห้องมีซือเหรินหลายตัว พวกมันกำลังพยายามพังประตูเข้ามา ประตูใกล้จะพังแล้ว!”
เสียงของอาตันสั่นไหวด้วยความตื่นตระหนก
“พยายามอดทนไว้ พวกเรากำลังไปเดี๋ยวนี้!” ป้าเฉียวพูดอย่างเร่งด่วน
“ได้! ได้ครับ!” อาตันตอบกลับด้วยน้ำเสียงร้อนรน
เมื่อวางสาย ป้าเฉียวรีบรายงานอามู่ว่า
“ห้องเลี้ยงทารกยังไม่ถูกยึด ทุกคนยังปลอดภัย!”
คำพูดนั้นทำให้อามู่ยิ่งเคร่งเครียด สีหน้าของหวงชวนเต็มไปด้วยความกังวล
“หัวหน้า ตอนนี้จะเอายังไง? ห้องเลี้ยงทารกยังปลอดภัย แต่เรา...”
อามู่ยกมือขึ้นห้ามคำพูดหวงชวน ก่อนจะถามป้าเฉียว
“ในห้องเลี้ยงทารกมีนักสังคมสงเคราะห์อยู่กี่คน?”
“ห้าคน!” ป้าเฉียวรีบตอบ
“ห้าคน กับพวกเราอีกสิบคน แต่เด็กทารกกว่า 130 คนแบบนี้จะพาออกมาไม่ไหว ฉันนึกว่าที่นี่ถูกยึดไปแล้ว คิดว่าเอาออกมาได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น แต่พอรู้ว่าทุกคนยังอยู่ครบ มันทำให้สถานการณ์ยุ่งยากขึ้นมาก”
อามู่พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“หัวหน้า พอจะขอกำลังเสริมเพิ่มได้ไหม?” หวงกานถามอย่างลังเล
“เป็นไปไม่ได้ ไม่มีคนเหลือมากขนาดนั้น นายก็เห็นว่า เว่ยเฟิง ต้องปกป้องคนเยอะกว่าเรามาก แค่ดึงพวกเรามาได้ก็นับว่าฝืนแล้ว”
อามู่ส่ายหน้าช้า ๆ หากขอกำลังเสริมได้ เขาคงขอไปนานแล้ว
เสิ่นชิวครุ่นคิดก่อนเสนอขึ้น
“หัวหน้าอามู่ เราเปลี่ยนแผนได้ไหม? ในเมื่อห้องเลี้ยงทารกยังไม่ถูกยึด เราอาจบุกเข้าไปแล้วตั้งรับที่นั่นแทน ตอนนี้สถานการณ์เลวร้ายก็จริง แต่ถ้าเราทนจนถึงเช้า สถานการณ์น่าจะดีขึ้น”
อามู่ฟังคำพูดของเสิ่นชิวก่อนสีหน้าเขาจะเปลี่ยนไปมาหลายครั้ง
หวงชวนและคนอื่น ๆ มองไปทางอามู่พร้อมพูดว่า
“หัวหน้า แผนนี้มันจะดีหรือครับ? แล้วทางหัวหน้าเว่ยเฟิงล่ะ?”
“ไม่ต้องพูดแล้ว ไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสม ในฐานะทหาร นี่คือหน้าที่ของเรา และชีวิตเด็กพวกนั้นคุ้มค่าที่จะเสี่ยง! ส่วนหัวหน้าเว่ยเฟิง ฉันจะรายงานเขาเอง” อามู่ตัดสินใจอย่างหนักแน่น
“ในเมื่อหัวหน้าว่าแบบนั้น เราก็พร้อมจะลุยไปกับหัวหน้า!” หวงชวนและทีมพูดพร้อมกัน
เสิ่นชิวมองภาพนี้ด้วยความนับถือในใจ
“งั้นไปกัน! ให้พวกมันรู้จักความเก่งของเรา ใช้ระเบิดมือ!” อามู่หยิบระเบิดมือขึ้นมา
“รับทราบ!”
เสิ่นชิวและคนอื่น ๆ หยิบระเบิดมือออกมาเตรียมพร้อม
จากนั้น อามู่พาทีมค่อย ๆ ย่องเข้าไปในอาคารอย่างระมัดระวัง
บันไดหนีไฟชั้นหนึ่ง
ซือเหรินจำนวนมากเบียดเสียดกันที่บันไดหนีไฟ ขณะที่ ซืออู่เจ่อ ร่างยักษ์กำลังคำรามด้วยความเดือดดาลใส่ฝูงซือเหรินที่ขวางทาง
ทันใดนั้น ระเบิดมือหลายลูกตกลงมาจากด้านบน บางลูกหล่นลงข้างตัวซืออู่เจ่อ ซือเหรินตัวหนึ่งที่ยืนใกล้ ๆ กลับยื่นมือรับมันอย่างงุนงง ดวงตาสีแดงก่ำของมันเผยความสงสัยออกมา
และในวินาทีถัดมา—
บึ้ม!
เสียงระเบิดดังสนั่นพร้อมเศษเลือดและชิ้นส่วนร่างกายที่ปลิวว่อนไปทั่ว
เมื่อควันจางลง ซากศพของซือเหรินนอนระเกะระกะเต็มพื้น แต่ ซืออู่เจ่อ ยังคงยืนตระหง่านอยู่ ร่างกายมันเต็มไปด้วยรอยไหม้จากระเบิด เกราะของมันถูกย้อมด้วยเขม่าสีดำสนิท
“นี่มันยังไม่ตายอีกเหรอ?!” หวงชวนอุทานด้วยความตกใจ ตาจ้องไปที่มันจนแทบถลน
เสิ่นชิวรู้สึกหนาวสะท้านอยู่ในใจ นี่มันเกินกว่าที่เขาเคยเผชิญมา
อามู่หยิบระเบิดมืออีกลูกออกมา ดึงสลักแล้วขว้างไป
ครั้งนี้ซืออู่เจ่อหันกลับมา มันคำรามเสียงดังพร้อมเหวี่ยงดาบใหญ่ในมือฟาดระเบิดอย่างแม่นยำ
บึ้ม!
ระเบิดแตกกลางอากาศ แต่ไม่สร้างความเสียหายใด ๆ ให้กับมัน
“หัวหน้า! ทำยังไงดี? เจ้านี่ถึกเกินไป ฆ่ามันไม่ได้เลย!” หวงชวนร้องถามอย่างตื่นตระหนก
ในตอนนั้นเอง ซืออู่เจ่อที่ถูกยั่วยุจนขาดสติ ก็พุ่งเข้ามาหาเสิ่นชิวและทีม
“ไม่ไหว! ฉันจะล่อมันไป ที่นี่ฝากพวกนายจัดการต่อ!” อามู่ประกาศกร้าว
เสิ่นชิวรีบดึงตัวอามู่ไว้ก่อนพูดขึ้น “ผมจะล่อมันเอง ที่นี่ต้องการคุณคอยสั่งการ!”
ไม่ทันให้อามู่คัดค้าน เสิ่นชิวก็พุ่งตัวออกไปทางด้านขวา ซึ่งเขาสังเกตแล้วว่าไม่มีซือเหรินอยู่ เป็นเส้นทางที่เหมาะสมที่สุด
เขายิงกระสุนสองนัดเข้าที่หน้าของซืออู่เจ่อ ปัง ปัง กระสุนฝังอยู่บนใบหน้าอันน่าเกลียดของมัน ทำให้มันดูน่ากลัวขึ้นไปอีก
ทันใดนั้น ความโกรธของซืออู่เจ่อพุ่งเปลี่ยนเป้าหมายไปที่เสิ่นชิว มันคำรามเสียงดังแล้ววิ่งไล่ตามเขา
“ไปกันเถอะ!” อามู่กัดฟันสั่งการก่อนจะนำทีมบุกต่อ
เสิ่นชิวเร่งฝีเท้าวิ่งออกจากอาคารทันที เมื่อเขาวิ่งออกมาได้ประมาณสิบเมตร เขาหันกลับไปมอง
“โฮ่!”
ซืออู่เจ่อที่กำลังเดือดดาลพุ่งตามออกมา ดวงตาสีแดงก่ำราวกับปีศาจ
เสิ่นชิวกวาดตามองรอบ ๆ ก่อนตัดสินใจวิ่งไปทาง ประตูขวาของสถานสงเคราะห์
เขาเคยคิดจะนำมันไปที่เว่ยเฟิง แต่สุดท้ายเขาปล่อยแผนนั้นทิ้ง เพราะซืออู่เจ่อแตกต่างจากซือเหรินทั่วไปมากเกินไป หากปล่อยมันเข้าไปในกลุ่มคน คงกลายเป็นหายนะ
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจจะล่อมันไปให้ไกล และหาทางสลัดมันออก
เสียงคำรามดุร้ายดังตามหลัง ร่างใหญ่ของซืออู่เจ่อวิ่งไล่ตามเขา แม้จะดูอ้วนใหญ่ แต่มันกลับมีความเร็วไม่น่าเชื่อ
เสิ่นชิววิ่งมาถึง ประตูเหล็กขนาดใหญ่ ซึ่งมีแม่กุญแจล็อกอยู่ เขายกปืนขึ้นเล็งไปที่แม่กุญแจทันที
ปัง ปัง!
กระสุนกระทบแม่กุญแจจนเกิดประกายไฟ แต่แม่กุญแจยังคงสมบูรณ์
“บ้าเอ๊ย!” เสิ่นชิวสบถ ก่อนจะสะพายปืนกลับไปด้านหลัง จากนั้นเร่งฝีเท้าพุ่งไปที่ประตู
ในเสี้ยววินาที เขากระโดดขึ้น ใช้เท้าพาดบนประตู มือจับราวเหล็กแล้วปีนขึ้นไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเสิ่นชิวปีนขึ้นถึงยอดประตู ซืออู่เจ่อก็ตามมาถึงพอดี มันฟาดดาบใหญ่ลงบนประตูด้วยพลังมหาศาล
กึง!
เสียงดังสนั่นไปทั่วทั้งบริเวณ ประตูเหล็กเก่าแก่พังทลายลงมา
เสิ่นชิวรีบกระโดดลงพื้น เขางอตัวหลบและพุ่งตัวหนีไปข้างหน้า ขณะที่ประตูเหล็กตกลงมาทับพื้นเกือบโดนเขา
เหงื่อเย็นไหลซึมลงใบหน้า เสิ่นชิวรู้ตัวดีว่าเขาเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่ไม่มีเวลาจะหยุดพัก เขารีบวิ่งต่อไปตามถนน
ในขณะที่เขาวิ่งต่อไป หมอกเทาในอากาศก็หนาทึบขึ้นเรื่อย ๆ ทัศนวิสัยลดลงจนแทบมองเห็นไม่เกินแปดเมตร
มองดูหมอกที่ปกคลุม เสิ่นชิวขมวดคิ้วแน่น...
..........