บทที่ 4 ประตูและโรค
หลังจากปรึกษากัน สี่คนเห็นพ้องต้องกันว่าควรจะรออยู่ในศาลเจ้าต่ออีกสักพัก หากยังมีผู้รอดชีวิตคนอื่นๆอยู่ในหมู่บ้านเหอเจียและรู้ถึงการมีอยู่ของ “ข้อห้าม” พวกเขาจะต้องมาที่ศาลเจ้าเพื่อเปิดปฏิทินโบราณเพื่อตรวจสอบคำพยากรณ์ประจำวันอย่างแน่นอน
คืนนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น บ้านทุกหลังในหมู่บ้านเหอเจียปิดประตูหน้าต่างเงียบสนิทไม่มีใครออกมาที่ศาลเจ้าเลยแม้แต่คนเดียว
สิ่งนี้ผิดปกติและเมื่อผิดปกติย่อมหมายถึงบางสิ่งที่น่ากลัว
“คุณคิดอะไรออกบ้างไหม?” ระหว่างรอจางหยางซวี่เอ่ยถาม
“ไม่มีครับ” หนิงเจ๋อส่ายหน้า
“ชาวบ้านเหอเจียทุกเที่ยงคืนจะมาที่ศาลเจ้าเพื่อเปิดปฏิทิน แต่คืนนี้พวกเขาไม่มา บางทีพวกเขาอาจจะไม่สนใจเรื่องหลีกเลี่ยงเคราะห์ร้ายอีกต่อไป หรือบางทีพวกเขาอาจมีวิธีอื่นในการรู้คำพยากรณ์ประจำวัน หรือไม่ก็… ในศาลเจ้าอาจมีอันตรายบางอย่างที่ทำให้พวกเขาไม่กล้ามา”
“โอ้?” จางหยางซวี่เอ่ยด้วยความสนใจ
“อย่างนั้นหรือ?”
“ผมไม่รู้ แค่เดาเท่านั้น” หนิงเจ๋อยักไหล่
“อันตราย?” เมื่อได้ยินว่าศาลเจ้าอาจมีอันตราย เฝิงอวี้ซู่หน้าซีดเผือด เธอซึ่งมีความเชื่อในศาสนาพุทธและเคยเห็นความประหลาดของเทพอสรพิษมากับตา ยิ่งระวังตัวมากขึ้น เธอเหลือบมองแผ่นป้ายวิญญาณและรูปสลักเทพอสรพิษบนแท่นบูชาด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะหันไปมองหนิงเจ๋อด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ
“ถ้าอย่างนั้น… เราออกไปรอกันข้างนอกดีไหม? การอยู่ต่อหน้าเทพอสรพิษนานๆแบบนี้ อาจดูเป็นการไม่เคารพ” เธอเสนอด้วยน้ำเสียงลังเล
“ผมก็คิดอย่างนั้น” หนิงเจ๋อเห็นด้วย เขาหันไปถามจางหยางซวี่และเซี่ยซือหนิง
“พวกคุณคิดว่าไง?”
“มีเหตุผล ศาลเจ้าไม่ใช่ที่ที่คนภายนอกควรอยู่ ยิ่งนานก็ยิ่งไม่เหมาะสม” เซี่ยซือหนิงกล่าวสนับสนุน “คุณจาง เราออกไปกันไหมคะ?”
จางหยางซวี่มองหนิงเจ๋อแวบหนึ่ง ก่อนพยักหน้า
“ไปกันเถอะ”
ทั้งสี่คนออกจากแท่นบูชาที่ประดิษฐานรูปสลักเทพอสรพิษมายืนรอใต้ชายคาหน้าประตูศาลเจ้า
ท่ามกลางคนแปลกหน้าสี่คน ไม่มีเรื่องราวที่สามารถพูดคุยได้มากนัก เซี่ยซือหนิงจึงเสนอให้ทุกคนแลกเปลี่ยนประสบการณ์ว่าถูกพัดเข้ามาในหมู่บ้านเหอเจียได้อย่างไร อาจจะพอค้นหาความเชื่อมโยงบางอย่างหรือเบาะแสที่จะช่วยให้พวกเขาออกไปจากที่นี่ได้
เฝิงอวี้ซู่เริ่มเล่าก่อน
“เมื่อวาน… หรืออาจจะเป็นวันก่อนหน้านั้น ฉันกับสามีและลูกสาวพักอยู่ที่โรงแรมในตำบลกู่เปย สามีฉันมีนิสัยทำงานตอนกลางคืน เราเลยจองห้องแยกกันสามห้อง ฉันพักกับลูกสาว ส่วนเขาพักห้องคนเดียว”
“ประมาณหนึ่งทุ่ม ฉันชงกาแฟเตรียมไปให้เขาที่ห้อง แต่พอเปิดประตูข้ามธรณีประตูเข้าไป สิ่งที่ปรากฏตรงหน้ากลับไม่ใช่ห้องพักในโรงแรม แต่เป็นตรอกแคบๆที่ปูด้วยหินศิลาแลง…”
เธอเล่าต่อด้วยสีหน้าหวาดหวั่น
“ตอนนั้นลูกบิดประตูที่ฉันจับอยู่จากสแตนเลสกลายเป็นกลอนทองเหลืองเก่าๆ ข้างหลังฉันเป็นบ้านหลังเตี้ยๆที่สร้างด้วยหินและมุงกระเบื้อง หลังจากนั้นฉันก็รู้ว่าตัวเองเดินเข้ามาจากประตูบ้านนั้น…”
จางหยางซวี่พยักหน้าเล็กน้อย
“ของผมก็คล้ายกัน ตอนนั้นรถผมจอดอยู่ที่ปั๊มน้ำมันนอกตำบลกู่เปย คนขับรถไปเข้าห้องน้ำ ส่วนผมบอกให้เซี่ยซือหนิงไปซื้อบุหรี่ แต่เธอก็หายไปนานจนผิดปกติ ผมเลยลงจากรถไปตามเธอ แต่ทันทีที่เปิดประตูรถลงมาผมก็มาโผล่ที่นี่เลย”
เซี่ยซือหนิงเสริม
“ฉันไปซื้อบุหรี่ให้คุณจางที่ร้านค้าปลีกในปั๊มน้ำมัน แต่พอเปิดประตูออกจากร้านก็พบว่าพื้นที่เหยียบอยู่นั้นกลายเป็นถนนปูหินในหมู่บ้านเหอเจีย…”
“ของผมตรงไปตรงมากว่านั้น” หนิงเจ๋อพยักหน้า
“ผมกลับไปที่บ้านเกิด เปิดประตูบ้านเก่า แล้วก็มาโผล่ที่นี่เลย”
จางหยางซวี่มีสีหน้าเคร่งขรึมเหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่าง
นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือว่าเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้? ไม่ว่าจะเป็นประตูบ้านเก่า ประตูห้องพักในโรงแรม ประตูกระจกของร้านค้า หรือแม้แต่ประตูรถยนต์ สี่คนที่มาถึงหมู่บ้านเหอเจียล้วนมีเส้นทางที่เกี่ยวข้องกับ “ประตู”
หนิงเจ๋อยังคงมีสีหน้าสงบ แต่ในใจคิดว่า
“น่าเสียดายที่หลินจื้อหยวนเสียชีวิตไปแล้ว ไม่งั้นคงได้ถามเขาว่าเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร เป็นเพราะประตูเหมือนกันหรือเปล่า?”
ทันใดนั้นเงาดำมุมหนึ่งปรากฏขึ้นที่ขอบสายตาของหนิงเจ๋อ แต่หายไปในพริบตา
“ในตรอกฝั่งตรงข้ามมีคนอยู่ เขากำลังจะวิ่งหนี” หนิงเจ๋อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโดยไม่ลังเล เปิดไฟฉายและส่องไปยังตรอกเล็กๆฝั่งตรงข้ามถนน
ไฟฉายของโทรศัพท์มือถือมีระยะส่องสว่างไม่ไกลนัก หนิงเจ๋อทำเช่นนี้เพื่อส่งสัญญาณบอกตำแหน่งเงาดำให้คนอื่นทราบอย่างรวดเร็ว การอธิบายด้วยคำพูดอาจช้าและไม่ชัดเจนพอ
แต่สิ่งที่แปลกคือ เงาดำที่เหมือนจะหนีไปกลับหยุดนิ่งเมื่อเห็นไฟฉายในมือของหนิงเจ๋อ
เงานั้นเดินเข้ามาใกล้สองก้าว จากนั้นแสงขาวจุดหนึ่งก็ปรากฏในมือของเขา มันคือไฟฉายอีกอันหนึ่ง
“เยี่ยมเป็นคนที่ยังมีชีวิตอยู่” เฝิงอวี้ซู่ถอนหายใจโล่งอกหลังจากที่หัวใจเธอแทบจะหลุดออกจากอก
เมื่อเข้ามาใกล้ พวกเขาเห็นว่าในตรอกฝั่งตรงข้ามไม่ได้มีเพียงคนเดียว แต่มีสองคน ชายหญิงวัยหนุ่มสาวทั้งคู่ ดูเหมือนจะยังเป็นนักศึกษา
“สวัสดีครับ ผมชื่อกู้หยุนชิง” ชายหนุ่มแนะนำตัวก่อน จากนั้นชี้ไปที่หญิงสาวข้างกาย
“นี่คือรุ่นพี่ของผม เราทั้งคู่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแพทย์ชิงโจว”
“ฉันชื่อเย่มิ่วจู๋” รุ่นพี่แนะนำตัว
“พวกคุณก็ถูกพัดเข้ามาที่นี่โดยไม่ได้ตั้งใจใช่ไหม?”
หนิงเจ๋อพยักหน้ารับ
หลังจากพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน พวกเขาต่างแสดงบัตรยืนยันตัวตน กู้หยุนชิงและเย่มิ่วจู๋แสดงบัตรฝึกงานของพวกเขา
ทั้งคู่เป็นแพทย์ฝึกหัด มหาวิทยาลัยแพทย์ชิงโจวมีประเพณีส่งนักศึกษาไปฝึกงานในคลินิกชนบทเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์และสถานที่ฝึกงานของทั้งคู่ก็คือศูนย์การแพทย์ประจำตำบลกู่เปย
เหมือนกับคนอื่นๆทั้งสองคนถูกพัดเข้ามาที่หมู่บ้านเหอเจียหลังจากเปิดประตูคลินิกและร้านขายยา
“มันเกี่ยวข้องกับประตูจริงๆ” หนิงเจ๋อคิดในใจยิ่งมั่นใจ
“ถ้าพวกเรามาที่หมู่บ้านเหอเจียผ่าน ‘ประตู’ นั่นหมายความว่าในหมู่บ้านนี้ อาจมีประตูที่ซ่อนอยู่ซึ่งสามารถพาเรากลับสู่โลกความจริงได้หรือเปล่า?”
“ไม่แน่ใจ แต่มีความเป็นไปได้” จางหยางซวี่เห็นด้วยกับข้อสันนิษฐานนี้
จากนั้นจางหยางซวี่หันไปถามเย่มิ่วจู๋
“พวกคุณรู้เรื่องคำพยากรณ์และข้อห้ามใช่ไหม แต่ทำไมพวกคุณถึงไม่เข้าไปในศาลเจ้าเพื่อเปิดดูปฏิทินโบราณ แต่กลับซ่อนตัวอยู่ในตรอกฝั่งตรงข้าม?”
เย่มิ่วจู๋ส่ายหน้า
“พวกเราไม่กล้าเข้าไปค่ะ”
กู้หยุนชิงเสริม
“ชาวเหอเจียปกติจะมาที่ศาลเจ้าเพื่อเปิดปฏิทินดูคำพยากรณ์ แต่วันนี้ไม่มีใครมาเลย พวกคุณรู้ไหมว่าทำไม?”
“ทำไมล่ะ?” เฝิงอวี้ซู่รีบถาม
กู้หยุนชิงสูดลมหายใจลึก ก่อนตอบ
“ผมได้ยินชาวบ้านสูงวัยสองคนพูดกันว่า… เทพอสรพิษป่วย วันนี้คือวันที่พระองค์ล้มป่วย”
(จบบท)