บทที่ 3 เฝิงอวี้ซู่
เสียงกรีดร้องที่แปลกประหลาด ราวกับทั้งหัวเราะและร้องไห้ในเวลาเดียวกัน ทำให้หนิงเจ๋อสะดุ้งสุดตัว ร่างกายของเขาตอบสนองก่อนที่สมองจะคิด ขาได้เตะออกไปยังทิศทางของเสียงโดยอัตโนมัติ
เมื่อมองชัดๆเจ้าของเสียงนั้นได้ถูกเตะจนล้มลงไปกองกับพื้น มือทั้งสองกุมท้องด้วยความเจ็บปวด พร้อมทั้งขดตัวด้วยท่าทางทรมาน
“เป็นคนที่ยังมีชีวิตอยู่…” หนิงเจ๋อถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ในศาลเจ้าด้านหลัง จางหยางซวี่และหญิงสาวในชุดทำงานซึ่งถูกรบกวนด้วยเสียงดัง ได้เดินตรงมาที่ประตูด้านข้าง
หนิงเจ๋อที่รู้ตัวว่าถูกพบแล้ว เลิกคิดที่จะหลบหนี เขากวาดสายตาสำรวจผู้หญิงที่ปรากฏตัวขึ้นกะทันหันและถูกเขาเตะจนล้ม
เธอเป็นหญิงวัยกลางคนที่ดูมีอายุประมาณ 30-40 ปี แต่การประมาณอายุนี้อาจไม่แม่นยำ เนื่องจากเธอประดับด้วยเครื่องประดับล้ำค่าหรูหราจำนวนมาก การแต่งกายของเธอดูหรูหราและฉูดฉาด
สร้อยไข่มุกที่คอมีความมันวาวทุกเม็ด กำไลหยกขาวโปร่งแสงที่ข้อมือซ้ายมีราคาสูงกว่าค่าชดเชยเวนคืนที่บ้านของหนิงเจ๋อเสียอีก ผมยาวดำเงางามของเธอถูกม้วนเกล้าขึ้นด้วยปิ่นปักผมทองคำฝังหยก และผิวพรรณขาวเนียนของเธอไม่เคยถูกแสงแดดเลย มือขวาถือประคำไม้โพธิ์ที่มีผิวมันเงา บ่งบอกว่าเธอน่าจะนับถือศาสนาพุทธ
เธอสวมชุดกระโปรงยาวสีม่วงเข้มที่ออกแบบมาอย่างพิถีพิถัน พร้อมกับผ้าคาดเอวสีชมพูม่วงลายลูกไม้ที่เย็บอย่างประณีต ซึ่งช่วยขับรูปร่างที่สมบูรณ์แบบของเธอให้เด่นชัด ใบหน้ารูปไข่ที่อิ่มเอิบของเธอมีความงามสง่าราวกับบัวที่เพิ่งผลิบาน
…ทุกอย่างที่เห็นบ่งบอกว่าเธอคือสุภาพสตรีที่มีฐานะสูงส่งและใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย การดูแลตัวเองของเธออยู่ในระดับที่ดีมาก ผู้ที่มีชีวิตที่สุขสบายมักจะแก่ช้ากว่าปกติ หนิงเจ๋อจึงไม่แน่ใจว่าเธออายุเท่าไร เธอดูเหมือนจะอายุประมาณ 30 แต่จริง ๆ อาจมีอายุ 40 ปี หรือมากกว่านั้นก็ได้
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของจางหยางซวี่ที่ใกล้เข้ามา หนิงเจ๋อแตะไหล่หญิงคนนั้นเบาๆพร้อมเอ่ยถาม “ขอโทษครับ คุณเป็นอะไรมากไหม?”
ถึงแม้ว่าเมื่อครู่เขาจะเตะเธอโดยไม่ตั้งใจ แต่ด้วยพื้นที่แคบของประตูด้านข้าง หนิงเจ๋อไม่ได้ใช้แรงทั้งหมด เขาคาดว่าคงทำให้เธอเจ็บแค่บริเวณช่องท้องไม่ถึงขั้นบาดเจ็บสาหัสหรือเลือดออกภายใน
ความสามารถในการควบคุมแรงของเขานั้นแม่นยำมาตั้งแต่เด็ก ตอนที่เรียนประถม เขาเคยอัดเด็กที่มากวนใจจนเขียวช้ำ แต่ไม่เคยทำให้เกิดบาดแผลที่รุนแรงจนเป็นเรื่องใหญ่ ครั้งนี้ก็เช่นกัน
สักพัก หญิงสาวที่เต็มไปด้วยเครื่องประดับหรูหราก็ลุกขึ้นจากพื้นหินอย่างยากลำบาก มือยังคงกุมท้องและพิงผนังหายใจหอบ
“ทำไม…เจอหน้าก็เล่นแบบนี้เลยเหรอ…” เสียงของเธอสั่นเครือเพราะความเจ็บปวด แต่กลับไม่มีความโกรธเคืองในน้ำเสียงเลย
“ผมต้องขอโทษจริงๆครับ คุณมาแบบไม่มีเสียง ผมนึกว่าเป็นพวกชาวบ้านเหอเจียที่เหมือนผีไม่มีวิญญาณมาแอบโจมตี เลยตอบโต้ไปโดยอัตโนมัติ” หนิงเจ๋อกล่าวขอโทษด้วยความจริงใจ
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร…” หญิงคนนั้นส่ายหัว
“ฉันเข้าใจดีในที่แบบนี้ใครๆก็ต้องตึงเครียด มันไม่ใช่ความผิดของคุณเลย…”
หนิงเจ๋อสังเกตเห็นสีหน้าที่หลากหลายของเธอ เธอมีใบหน้าซีดเผือดที่แสดงถึงความกังวลต่อสถานที่แปลกประหลาดแห่งนี้ ริมฝีปากที่เม้มแน่นแฝงด้วยความกลัวต่อเด็กหนุ่มที่ทำร้ายเธอเมื่อครู่ แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือความโล่งใจและดีใจที่ในที่สุดก็ได้พบเจอคนอื่นที่ยังมีชีวิต
“ผู้หญิงคนนี้มีนิสัยอ่อนแอและไม่มีความมั่นใจในตัวเอง เมื่อถูกทำร้ายเธอไม่ได้แสดงความโกรธหรือเกลียดชัง แต่กลับพยายามหาเหตุผลให้ฉันและแสดงความเป็นมิตร เพื่อสร้างความไว้วางใจ” หนิงเจ๋อวิเคราะห์ลักษณะนิสัยของเธอในใจอย่างรวดเร็ว
จากนั้นเขาหันไปพูดกับจางหยางซวี่ที่เดินมาถึงประตูด้านข้าง
“สวัสดีครับคุณจาง ไม่คิดเลยว่าจะเจอคุณที่นี่ ผมชื่อหนิงเจ๋อ เป็นนักเรียนมัธยมปลายปีสามจากโรงเรียนเถาหยวน”
“สวัสดี ฉันจางหยางซวี่” จางหยางซวี่ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ฉันเป็นที่ปรึกษากฎหมายของคุณจาง ชื่อเซี่ยซือหนิง” หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างจางหยางซวี่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่สดใสกว่า
สายตาของจางหยางซวี่กวาดไปมาระหว่างหญิงสาวที่พิงผนังและหนิงเจ๋อ พร้อมกับพูดด้วยความประหลาดใจ
“คุณนายไป๋ก็อยู่ที่นี่ด้วย… หนิงเจ๋อใช่ไหมคุณรู้จักผมหรือ?”
“มีใครบ้างไม่รู้จักคุณ? คุณจางถ่อมตัวเกินไป อย่างน้อยคนในชิงโจวก็น่าจะไม่มีใครไม่รู้จักคุณ” หนิงเจ๋อพูดพลางยิ้มบางๆ
“ก็เพราะชื่อเสียงของคุณนี่แหละ ผมถึงต้องลางานกลับบ้าน ตอนแรกยังคิดว่าโชคดีที่จะได้เป็นเจ้าของที่ดินเวนคืนใช้ชีวิตสบายๆเก็บค่าเช่าไปวันๆ แต่ใครจะคิดว่าแค่ลืมตาก็มาโผล่ในที่แปลกประหลาดแบบนี้”
จางหยางซวี่พยักหน้าเล็กน้อย
“เป็นอย่างนี้เอง”
เขาเองก็ไม่คาดคิดว่าหนิงเจ๋อจะเป็นคนในพื้นที่ตำบลกู่เปย
หนิงเจ๋อใช้คางชี้ไปทางหญิงสาวที่พิงผนัง ก่อนจะถามว่า
“คุณเมื่อกี้พูดถึงคุณนายไป๋ ผู้หญิงคนนี้แซ่ไป๋หรือครับ? คุณจางรู้จักเธอหรือเปล่า?”
จางหยางซวี่ไม่ได้ตอบ แต่เซี่ยซือหนิงที่ยืนอยู่ข้างหลังเขาซึ่งเป็นที่ปรึกษากฎหมายของเขา ได้แนะนำแทน
“ท่านนี้คือคุณนายเฝิงอวี้ซู่ภรรยาของคุณไป๋ฟู่กุย ผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดของกลุ่มบริษัท ‘ซินเจียหยวน’คุณไป๋กับคุณจางต่างก็สนใจพัฒนาพื้นที่ในตำบลกู่เปยและทั้งสองฝ่ายกำลังแข่งขันกันอยู่”
“เป็นอย่างนี้เอง” หนิงเจ๋อยิ้มเล็กน้อยให้เซี่ยซือหนิง
“แต่ในที่แบบนี้ ความสัมพันธ์ทางธุรกิจคงไม่มีความหมายแล้ว”
จางหยางซวี่หัวเราะ
“ก็ไม่มีความหมายจริงๆ”
ในโลกภายนอก จางหยางซวี่อาจเป็นมหาเศรษฐีผู้ทรงอิทธิพล มีเครือข่ายกว้างขวางในแวดวงสังคม แต่ในหมู่บ้านที่ลึกลับและน่าสะพรึงกลัวแห่งนี้ เขาก็เป็นเพียงชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างท้วมและผมบางเท่านั้น
นั่นเป็นเหตุผลที่เขายอมสนทนากับหนิงเจ๋อในฐานะที่เท่าเทียมกัน
ในที่แห่งนี้หนิงเจ๋อไม่ได้เป็นเพียงนักเรียนมัธยมปลายที่ต้องนั่งทบทวนบทเรียนจนดึกดื่น แต่เป็นชายหนุ่มที่แข็งแรงและมีพลังชีวิตเต็มเปี่ยม
หนิงเจ๋อเดินไปที่ผนัง ยื่นมือไปช่วยคุณนายเฝิงอวี้ซู่ลุกขึ้น
“คุณผู้หญิง คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”
เฝิงอวี้ซู่กลั้นความเจ็บปวดในช่องท้อง ลูบฝุ่นที่ติดอยู่บนกระโปรงก่อนจะตอบอย่างสุภาพ
“ฉันมากับสามีและลูกสาวเราตั้งใจจะมาเที่ยวที่ตำบลกู่เปย เพราะสามีของฉันปกติมักจะยุ่งกับงาน ไม่มีเวลาอยู่บ้าน การมาเที่ยวครั้งนี้กะว่าจะใช้โอกาสสำรวจพื้นที่นี้พักผ่อนไปในตัว แต่ไม่คาดคิดว่า…”
เธอไม่ได้พูดต่อ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันพาเธอมายังหมู่บ้านเหอเจียแห่งนี้
“แล้วสามีและลูกสาวของคุณล่ะ? พวกเขามาที่นี่ด้วยไหม?” หนิงเจ๋อถามต่อ
เฝิงอวี้ซู่ส่ายหน้า
“ไม่ค่ะ เมื่อวานฉันเดินหาทั่วหมู่บ้าน ฝ่าฝืนข้อห้ามไปหลายครั้ง แต่ก็ไม่พบพวกเขา ดูเหมือนคนที่ถูกพัดเข้ามาจะมีแค่ฉันเท่านั้น”
“เข้าใจแล้ว” หนิงเจ๋อพยักหน้าอย่างพอใจ ตอนนี้เขาก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ของทุกคนที่อยู่ตรงหน้าแล้ว
การได้พบเจอคนที่ยังมีชีวิตอยู่ในสถานที่แบบนี้นับว่าเป็นเรื่องดี แต่เบื้องหลังความปรองดองกลับไม่ได้สงบสุขอย่างที่เห็น
ในขณะเดียวกัน โทรศัพท์มือถือของเซี่ยซือหนิงที่อยู่ด้านหลังจางหยางซวี่สั่นเบาๆเธอปลดล็อกหน้าจออย่างเงียบๆและเหลือบดูข้อความอย่างรวดเร็ว ข้อความนั้นถูกส่งมาจากเบอร์ที่ถูกบันทึกชื่อว่า
“คุณจาง”
“ปฏิทินโบราณถูกหนิงเจ๋อเปิด เขามาถึงก่อนพวกเราทุกคน ระวังเขาไว้”
(จบบท)