ตอนที่แล้วบทที่ 12 ข้อห้ามแห่งความตาย 
ทั้งหมดรายชื่อตอน

บทที่ 13 การทำลายข้อจำกัด


“ยังจำได้ไหมว่าตอนที่เราเข้ามาในหมู่บ้านครั้งแรก ชาวบ้านในหมู่บ้านเหอเจียพูดว่าอะไร?...โชคจากปฏิทินโบราณคือความลับของสวรรค์ที่เทพอสรพิษเปิดเผย”

หนิงเจ๋อถอยหลังสองก้าวพิงเสาเทียนข้างหลังและมองขึ้นไปยังรูปปั้นไม้ของเทพอสรพิษที่ตั้งอยู่บนฐานดอกบัว

“เทพอสรพิษมีความเมตตาอย่างยิ่ง การละเมิดข้อห้ามครั้งแรกจะทำให้โชคไม่ดี แค่ประสบโชคร้ายเท่านั้น”

“แต่ความลับของสวรรค์นั้นเปิดเผยไม่ได้ การใช้ปฏิทินโบราณเพื่อดูโชควันนี้เป็นขอบเขตสูงสุดที่เทพอสรพิษยอมรับได้ ถ้าหากมีใครคิดล้ำเส้นไปดูโชคของวันพรุ่งนี้ ผลลัพธ์เดียวก็คือ…ตาย”

และเป็นความตายทันทีโดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ

ข้อมูลที่กระจัดกระจายถูกรวบรวมในศาลเจ้าเงียบสงบ กระบวนการฆ่าที่แปลกประหลาดแต่มีตรรกะสมเหตุสมผลถูกนำเสนอให้ทุกคนได้เห็น

ผีที่เร่ร่อนอยู่ในหมู่บ้านเหอเจียมีความสามารถในการปลอมตัวเป็นคนอื่น เมื่อมันใช้ร่างของ ‘กู้หยุนชิง’ เพื่อพลิกปฏิทินโบราณ กู้หยุนชิงตัวจริงก็ถูกมองว่าเป็นผู้ละเมิดข้อห้ามของเทพอสรพิษและตายทันที

เหมือนกับที่หนิงเจ๋อเคยคาดการณ์ไว้ ผีไม่มีความสามารถในการฆ่าใครได้โดยตรง สิ่งที่มันทำมีเพียงแค่สิ่งเดียวคือการปลอมตัวเป็นคนอื่น

หรือพูดง่ายๆว่ายืมมือคนอื่นฆ่า

“รู้แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว” จางหยางสวี่วางผ้าคลุมลงปิดศพของหลินจื้อหยวนและพูดว่า

“ต่อไปฉันจะไปสำรวจพื้นที่ศูนย์กลางของหมู่บ้านและตรวจสอบคฤหาสน์เหอเพื่อหาเบาะแสที่จะออกจากหมู่บ้านนี้ พวกเธอจะไปกับฉันไหม?”

คำพูดนี้ถูกกล่าวกับเย่เมี่ยวจูและเฟิงอวี้ซู่ โดยไม่มีการเชิญชวนหนิงเจ๋อแม้แต่น้อย ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เพราะไม่ว่าหลินจื้อหยวนจะเป็นคนอยากรู้อยากเห็นเองหรือถูกหนิงเจ๋อยุยงให้พลิกปฏิทินโบราณ ภาพลักษณ์ของหนิงเจ๋อในสายตาของคนอื่นก็พังทลายจนหมดสิ้น เขากลายเป็นคนที่ไม่น่าไว้วางใจและอันตรายอย่างยิ่ง

ในบางแง่มุมเขาอาจจะอันตรายยิ่งกว่าผีที่ไม่ใช่มนุษย์เสียอีก

ถ้าหากเงื่อนไขเอื้ออำนวย จางหยางสวี่อาจจะหาวิธีร่วมกับคนอื่นๆเพื่อกำจัดหนิงเจ๋อเพื่อลดภัยคุกคาม แต่โชคร้ายที่เงื่อนไขไม่เอื้อ หลินจื้อหยวนและกู้หยุนชิงเสียชีวิตไปแล้ว ในหมู่บ้านเหอเจียที่กว้างใหญ่นี้เหลือชายที่ยังมีชีวิตอยู่เพียงสองคนคือจางหยางสวี่และหนิงเจ๋อ ซึ่งจางหยางสวี่เองก็ไม่ได้มีร่างกายแข็งแรงอะไรนัก

หนิงเจ๋อไม่ฆ่าเขาก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์จากเทพอสรพิษแล้ว

ข้อเสนอของจางหยางสวี่ทำให้เย่เมี่ยวจูดูเหมือนจะลังเล ขณะที่เธอกำลังชั่งใจ หนิงเจ๋อก็หัวเราะเบาๆ

“นายหัวเราะอะไร?” เย่เมี่ยวจูถาม

“ฉันหัวเราะที่เธอขี้ขลาดและดูถูกตัวเอง เธอเป็นเหมือนตัวหนอนในท่อระบายน้ำที่มืดมนและบิดเบี้ยว” หนิงเจ๋อตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ

“ตอนที่กู้หยุนชิงตาย เธอไม่พยายามค้นหาสาเหตุการตายที่แท้จริงของเขาและไม่ได้คิดอย่างมีเหตุผลแม้แต่วินาทีเดียว เธอแค่ปล่อยให้อารมณ์พังทลายแล้วโทษฉันโดยไม่มีเหตุผล บอกว่าฉันเป็นคนฆ่าเขา”

“แต่ตอนนี้เธอรู้แล้วว่ากู้หยุนชิงตายเพราะอะไร? การตายของเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฉันเลย ต่อให้เราไม่ไปตรวจสอบศพที่ริมแม่น้ำ เขาก็จะตายตอนตีสองอยู่ดี และตายเพราะการที่ผีใช้มือเขาพลิกปฏิทินโบราณ”

“และถึงความจริงจะกระจ่างแล้ว เธอก็ยังไม่กล้าเผชิญหน้ากับความผิดพลาดของตัวเอง เธอไม่มีความกล้าที่จะกล่าวขอโทษฉัน เธอแค่ปล่อยให้ความภูมิใจและความกลัวที่ไร้สาระคอยบงการเธอ ทำให้เธอพยายามหนีไปให้ไกลจากฉัน เพราะมีแค่นั้น เธอถึงจะไม่ต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่ว่าเธอเป็นคนที่ไม่มีความสามารถอะไรเลยถ้าไม่มีกู้หยุนชิง…เธอก็แค่คนไร้ค่าโกรธเกรี้ยวที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากพึ่งพาคนอื่น”

คำพูดของหนิงเจ๋อเต็มไปด้วยพิษร้ายแรง จางหยางสวี่เผลอสูดลมหายใจลึกด้วยความตกใจ ความรู้สึกประหลาดไหลท่วมใจเขา

เมื่อหันกลับไปมอง เย่เมี่ยวจูที่เต็มไปด้วยความโกรธ ดวงตาแดงก่ำ มือทั้งสองข้างกำแน่นจนสั่น ราวกับสัตว์ป่าที่พร้อมจะกระโจนเข้าใส่และกัดคนตรงหน้า แต่ถึงเธอจะถูกเหยียดหยามจนถึงจุดนี้ เธอก็ยังไม่กล้าลงมือกับหนิงเจ๋อ เพราะเขาไม่ใช่ผู้ชายขี้ขลาดที่ยอมให้ใครด่าหรือตบตีโดยไม่ตอบโต้ เขาจะใช้ความรุนแรงกลับคืนให้ทุกคนที่คิดจะทำร้ายเขา แม้กระทั่งผู้หญิงก็ตาม

“ทำเหมือนว่านายสูงส่งนักอย่างนั้นแหละ นายมันก็แค่คนบ้า ฆาตกร! ไอ้โรคจิตที่ไร้มนุษยธรรม! นายมีสิทธิ์อะไรมาตัดสินความรู้สึกของคนอื่น?” เย่เมี่ยวจูตะโกนออกมาด้วยเสียงสั่นเครือหลังจากระบายอารมณ์ออกมาเธอก็หมุนตัววิ่งออกจากศาลเจ้า ทิ้งหนิงเจ๋อที่ยังคงพิงเสาเทียนอยู่ตามลำพัง ด้วยใบหน้าที่สงบไม่แสดงอารมณ์ใดๆราวกับไม่ได้รับผลกระทบจากเธอเลย

ดังนั้นความสงสัยในใจของจางหยางสวี่ก็ยิ่งลึกลงไปอีก

ตั้งแต่เจอกันในหมู่บ้านเหอเจีย หนุ่มน้อยชื่อหนิงเจ๋อคนนี้ไม่เคยทำอะไรที่ไร้ความหมาย ทุกคำพูด ทุกการเดิน ทุกการตัดสินใจในทุกการกระทำของเขามีเป้าหมายที่ชัดเจนหรือแอบแฝงอยู่เสมอ เขาไม่เคยเสียเวลาและพลังงานไปโดยเปล่าประโยชน์เลย

แต่ตอนนี้หนิงเจ๋อกำลังทำอะไร? การทำให้หมอเพียงคนเดียวในกลุ่มทั้ง 4 คนเกิดอารมณ์พังทลาย มันมีความหมายอะไรกับเขา?

จางหยางสวี่คิดไม่ออก เขารู้สึกว่าความหนาวเย็นจากด้านหลังเริ่มทวีความรุนแรง เขากลัวเด็กหนุ่มผู้ดูเป็นมิตรและอบอุ่นคนนี้มากขึ้นทุกที

“ฉันคงต้องไปแล้ว คุณนายไป๋อยากไปด้วยกันไหม?” จางหยางสวี่ถามด้วยน้ำเสียงแฝงความกังวล

เฟิงอวี้ซู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วถอยหลังกลับไปอีกหนึ่งก้าว สุดท้ายเธอเม้มริมฝีปากแล้วส่ายหัวเบาๆ

“ขอบคุณค่ะคุณจาง แต่ฉันคงไม่ไปด้วย คฤหาสน์เหอ...ดูเหมือนจะเป็นที่อันตราย”

“แต่หนิงเจ๋อน่ากลัวยิ่งกว่า…” จางหยางสวี่คิดในใจ เขาส่ายหัวและไม่พูดอะไรอีก

“งั้นฉันไปก่อนนะ ดูแลตัวเองด้วย”

จางหยางสวี่เดินออกจากศาลเจ้ามุ่งหน้าไปทางที่เย่เมี่ยวจูวิ่งหนีไป

พระจันทร์ดวงกลมโตสีขาวอวบลอยขึ้นกลางฟ้า ราวกับดักแด้ตัวหนึ่งที่ค่อยๆคลานขึ้นสู่ศูนย์กลางของท้องฟ้า หนิงเจ๋อถอนหายใจเบาๆและมองไปยังเฟิงอวี้ซู่ที่ยังคงยืนอยู่ในศาลเจ้า ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ผมที่เคยมัดไว้อย่างเรียบร้อยกลับหลุดลุ่ย ชุดเดรสสีม่วงอันหรูหรามีคราบดินและน้ำแห้งกรังติดอยู่ทำให้ดูยุ่งเหยิงอย่างเห็นได้ชัด

“ทำไมไม่ไปกับเขา? ไม่กลัวว่าฆาตกรอย่างผมจะเกิดบ้าขึ้นมาแล้วฆ่าคุณด้วยหรือ?” หนิงเจ๋อถามด้วยน้ำเสียงกึ่งล้อเล่น

“...กลัว” เฟิงอวี้ซู่ตอบอย่างตรงไปตรงมา

“แต่ฉันกลัวยิ่งกว่าที่จะต้องติดอยู่ในที่แห่งนี้ไปตลอดชีวิต มันยิ่งกว่าตายทั้งเป็น”

“การตามผมไปก็ไม่ได้หมายความว่าจะออกไปได้” หนิงเจ๋อส่ายหัว

“คุณไม่รู้หรือว่าจางหยางสวี่จะไปที่ไหน? คฤหาสน์เหอเราทุกคนยังไม่เคยสำรวจที่นั่น ถ้าหากมีประตูที่จะพาเราออกจากหมู่บ้านเหอเจีย ประตูนั้นอาจอยู่ที่นั่น ถ้าคุณอยากออกไปจริงๆคุณควรไปกับเขา”

เฟิงอวี้ซู่ยังคงส่ายหัว

“ไม่ ไม่ว่าจะเป็นจางหยางสวี่หรือฉัน หรือแม้แต่เย่เมี่ยวจู เราทุกคนรู้และเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในที่นี่ได้น้อยกว่าคุณ คุณฉลาดมากและใจเย็นมาก ในขณะที่พวกเรายังคงพยายามหาทางออก คุณเริ่มแก้ไขกฎของเทพอสรพิษแล้ว และเฝ้ามองพวกเราค่อยๆตายทีละคนอย่างไร้ความรู้สึก”

ถ้าหากในหมู่คนที่ยังมีชีวิตอยู่ในหมู่บ้านเหอเจีย มีคนที่สามารถไขปริศนาและรอดชีวิตออกไปได้ คนนั้นก็คงเป็นหนิงเจ๋อ

หนิงเจ๋อหัวเราะ

“คุณนี่ตลกดีนะ คุณนาย คุณไม่มีความสามารถอะไรเลย ขี้ขลาดจะตายไป แต่คุณกลับมีสายตาที่มองคนได้แม่นยำมาก”

หลังจากพูดจบเขายืนตัวตรงไม่พิงเสาเทียนอีกต่อไปก่อนจะชี้นิ้วไปที่ขมับตัวเอง

“ใช่แล้ว เกี่ยวกับสถานการณ์ในหมู่บ้านนี้ ผมมีความเข้าใจและตั้งข้อสมมติฐานเบื้องต้นไว้แล้ว ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดน่าจะสามารถหาวิธีไขกฎและออกไปจากที่นี่ได้ ผมคิดว่าวิธีนี้น่าลองมาก…”

“แต่…ทำไมผมต้องช่วยด้วย?” หนิงเจ๋อเปลี่ยนท่าทียิ้มอบอุ่นบนใบหน้าหายไปทันที

“ในโลกนี้ไม่มีมื้อเที่ยงฟรีๆ ถ้าคุณอยากให้ผมช่วย คุณจะให้อะไรผมได้บ้าง?”

“อะไรก็ได้” เฟิงอวี้ซู่ตอบ

“อะไรก็ได้”

(จบบท)

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด