ตอนที่ 142 เข้าสู่เมืองหยุน (ฟรี)
ตอนที่ 142 เข้าสู่เมืองหยุน
สำหรับคนอื่นๆ ตำแหน่งหัวหน้าทีมถือเป็นเหรียญตราที่แสดงความสามารถอย่างหนึ่ง
คนที่ได้เป็นไม่ใช่ผู้ปลุกพลังแสงจากเมืองหลวง แต่เป็นชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนเจ้าหน้าที่เคร่งครัดในกฎระเบียบ ดวงตาของเขาแหลมคมกว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับผู้ปลุกพลังคนอื่นๆ ที่แทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้เมื่อถูกยั่วยุ
เขาได้หยุดยั้งผู้ปลุกพลังหลายคนที่เริ่มเย่อหยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ห้ามปรามพวกเขาจากการต่อสู้
หลังจากนั้น การต่อสู้ที่เริ่มต้นได้ไม่นานก็จบลงอย่างอธิบายไม่ได้ เหตุผลของหลายๆ คนก็ค่อยๆ กลับคืนมา แต่ก็ใช่ว่าผลกระทบจะหายไปจนหมดสิ้น ความเย่อหยิ่งยังถูกจารึกไว้ในใจ และยากที่จะตรวจพบ และมันจะมีโอกาสที่จะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจในวันหน้า
เป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์ที่ฝังราก และงอกเงยอย่างเงียบๆ แม้ว่าเย่หยานไม่ได้ใช้พลังวิเศษของตนจริงๆ แต่ก็ยังมีผลกระทบต่อผู้ปลุกพลังหลายคนอย่างถาวร
ถ้าไม่ใช่เพราะสวี่จื้อ ทำไมเขาต้องทำแบบนี้กับมดฝูงนี้ด้วย
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เด็กชายก็รู้สึกว่าทั้งหมดเป็นความผิดของสวี่จื้อ ทำให้เขายิ่งอารมณ์ไม่ดี และรู้สึกไม่มีความสุขเมื่อคิดถึงเธอ
ทำให้สวี่จื้อต้องแบกหม้อดำโดยไม่รู้ตัว นี่มันช่างเอาแต่ใจจริงๆ เลย
หลังจากเรื่องตลกจบลง ผู้ปลุกพลังก็แยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว แต่ตามแผนเดิม พวกเขาต้องหารือกันอีกสักระยะเพื่อกำหนดแผนการง่ายๆ แต่หลังจากเกิดการต่อสู้ พวกเขาหลายคนก็ได้รับบาดเจ็บ ทำให้เกิดความขัดแย้งภายใน บรรยากาศจึงไม่ค่อยดีนัก จึงทำได้เพียงแยกย้ายกันไปก่อนเป็นการชั่วคราว
นั่นทำให้หน้าที่จัดวางแผน ตกไปอยู่ในมือเจ้าหน้าที่คนอื่นที่มีความเชี่ยวชาญ
ไม่นานก็มาถึงช่วงเวลาที่ ‘ประตู’ ของหยุนเฉิงกำลังจะเปิดออก
เพื่อให้ง่ายต่อการระบุตัวตนของกันและกันหลังจากเข้าสู่เมืองหยุน ทั้งสิบคนจึงสวมชุดสูทพิเศษสำหรับการต่อสู้ และด้วยการคำนึงถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นหลังจากเข้าไป อย่างอุปกรณ์สื่อสารเกิดใช้งานไม่ได้ พวกเขาก็ได้เตรียมเครื่องมือมากมายเผื่อเอาไว้
เมื่อมองแวบแรก เส้นทางเข้าสู่เมืองหยุนดูเหมือนจะไม่มีอะไรพิเศษ แต่ในความเป็นจริงแล้ว มีคนที่ได้ลองเท่านั้นจึงจะรู้ ยิ่งลึกเข้าไปเท่าไรก็ยิ่งมีหมอกหนามากขึ้นเท่านั้น ทำให้มองเห็นทางข้างหน้าได้ยาก เหมือนเดินในเขาวงกตที่มืดมิด และต่อให้เดินไปไกลแค่ไหน ก็มองไม่เห็นจุดหมายสักที
ตอนนี้ เมื่อมาถึงเวลาที่นัดกันเอาไว้ มลพิษจากหมอกที่แต่เดิมปกคลุมทั่วเมืองก็ควบแน่น และก่อตัวเป็นบางสิ่ง
ทันใดนั้น ‘ประตู’ ที่เกิดจากหมอกก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน
หลังประตู มีแต่ความมืดมิดที่รออยู่
“มันเป็นเรื่องจริง” แม้ว่าก่อนหน้านี้ พวกเขาหลายคนจะมีความสงสัย แต่เมื่อได้เห็นประตูที่เปิดขึ้น พวกเขาก็รู้สึกว่าน่าจะเข้าไปในเมืองหยุนได้จริงๆ
“ไปเถอะ อย่ามัวชักช้า เดี๋ยวประตูจะปิดลงเสียก่อน” เมื่อมีคนพูดขึ้น ทุกคนก็ไม่ลังเลอีกต่อไปและก้าวเข้าไปในประตูแปลกๆ นี้พร้อมกับสายตาที่จับจ้องมาจากคนรอบตัว
ทันทีที่เดินเข้าไปในประตูนี้ ก็เหมือนเปลี่ยนจากกลางวันเป็นกลางคืนในพริบตา
สำหรับผู้คนในดินแดนของสหพันธ แม้ในตอนเย็น ก็ยังมีแสงสว่างอยู่ แต่ทันทีที่เข้าไปในเมืองหยุน รอบตัวพวกเขาก็มืดลงในทันที
ช่วงเวลาเย็นๆ ในเมืองหยุนไม่ต่างจากค่ำคืนที่มืดมิดในโลกภายนอก มีเพียงแสงอ่อนๆ ที่แทบจะไม่ช่วยให้เห็นสิ่งต่างๆ ที่อยู่ข้างหน้า และรอบตัวได้เลย และภายใต้หมอกหนาที่ปกคลุมอยู่ ระยะการมองเห็นก็จะหดสั้นลงมาก
“นี่คือเมืองหยุน?”
หลายคนยืนอยู่ตรงนั้นด้วยความงุนงง รับรู้ได้ถึงพลังงานที่หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ตั้งใจดูดซับมันก็ตาม แต่ในตอนนี้ ความแปลกใจก็เกิดขึ้นในจิตใจของผู้ปลุกพลังทุกคนที่เข้ามา
ผู้คนในเมืองหยุนได้เพลิดเพลินไปกับพลังงานมากมายขนาดนี้เป็นเวลานานกว่าครึ่งปีแล้วเหรอ
สำหรับพวกเขา ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากหรือสะสมผลงานเท่านั้น จึงจะสามารถเข้าไปใน ‘ห้องรวมพลังงาน’ ที่สร้างขึ้นโดยห้องปฏิบัติการของรัฐบาลกลาง และสัมผัสกับอากาศรอบตัวที่เต็มไปด้วยพลังงานมากมายได้ แต่ถึงอย่างนั้น ความบริสุทธิ์ของมันก็ยังด้อยกว่าในเมืองหยุนมาก
การดูดซับแก่นพลังโดยตรงมีความเสี่ยงสำหรับพวกเขาที่เป็นผู้ปลุกพลัง แต่สำหรับพลังงานในห้องปฏิบัติการนั้นบริสุทธิ์กว่ามาก ทำให้ดูดซับได้ง่ายกว่า
"นี่มันสุดยอดไปเลย"
หลังจากพูดจบ ก็มีเสียงถอนหายใจดังขึ้น
“ไปกันเถอะ สวี่จื้อบอกว่าจะมารับเรา แล้วทำไมไม่เห็นเธอเลยล่ะ”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ คนที่ถามก็มองไปที่หลินจื่อเจิน
หลินจื่อเจินดูสงบนิ่ง แต่จริงๆ แล้วเขากำลังทุกข์ทรมานอยู่ในใจ และอยากจะพูดว่า ‘ถามผมแล้วผมจะรู้ได้ยังไง?’
เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสวี่จื้อมากนัก จากสิ่งที่รู้มาจนถึงตอนนี้ อีกฝ่ายไม่ใช่คนที่จะส่งข่าวมาหาล่วงหน้า
แต่ตอนนี้ การมีปฏิสัมพันธ์ของเขากับสวี่จื้อเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เขาเข้าร่วมทีมได้ ดังนั้น เขาจึงไม่พูดออกมาตรงๆ ว่า ‘จริงๆ แล้ว ผมไม่ได้รู้จักเธอเลย’ ได้
“ที่นี่คือาณาเขตของเธอ บางทีเธออาจจะมารออยู่ก่อนแล้ว?”
หลินจื่อเจินพูดได้แค่นี้จริงๆ
อันที่จริงเขาไม่รู้เลยว่าเธอมาถึงแล้วหรือยัง บางที สวี่จื้ออาจจำไม่ได้ด้วยซ้ำ และไม่สนใจ
ไม่รู้ว่าทำไม แต่เขารู้สึกว่าสวี่จื้อสามารถทำอะไรแบบนั้นได้จริงๆ
แต่หลินจื่อเจินไม่รู้เลยว่าเขาพูดถูกจริงๆ
สวี่จื้อมาถึงที่นี่แล้ว
อย่างไรก็ตาม เธอสวมเสื้อคลุมมิดไนท์โกสต์ จึงไม่มีใครสังเกตเห็นเธอ
แม้แต่อาร์คบิชอปทั้งสาม ด้วยระดับชีวิตที่สูงกว่าเล็กน้อยของสวี่จื้อ และด้วยความสามารถในการปกปิดจากเสื้อคลุม พวกเขาก็ไม่สังเกตเห็นเลยว่ามีคนที่ซ่อนอยู่ท่ามกลางสายหมอก
"งั้นตอนนี้ เราก็เดินหน้าไปกันก่อนเถอะ"
ผู้ปลุกพลังหลายคนไม่มีความตั้งใจที่จะอยู่ในที่นี่ และรอคอยเพราะหนึ่งในภารกิจของพวกเขาคือ การสำรวจสถานการณ์ในเมืองหยุนให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
หลังจากทิ้งอุปกรณ์ที่ส่องแสงเล็กน้อยเอาไว้ ทั้งกลุ่มก็เดินไปตามถนนในเมืองหยุน
อุปกรณ์ส่องแสงนั้นสามารถตรวจจับได้ว่ามีคนอยู่ใกล้ๆ หรือไม่ ที่เลือกทิ้งเอาไว้ก็เผื่อไว้สวี่จื้อจะมาหา
น่าเสียดายที่สวี่จื้อเลือกเดินตามพวกเขาไป และไม่รีบร้อนที่จะปรากฏตัว เธอค่อยๆ สังเกตไปทีละคน
แม้ว่าเธอวางแผนที่จะต่อสู้แบบเผชิญหน้ากับอาร์คบิชอป แต่เธอก็ไม่ใช่คนบ้าบิ่น เธอไม่คิดจะปะทะเข้ากับพวกเขาในทันทีที่พบหน้ากัน
ถ้าทำแบบนั้น ก็โง่เกินไปแล้ว
อีกฝ่ายจะต้องเตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดี ดังนั้น เธอก็ต้องมองหาความได้เปรียบให้กับตัวเองเช่นกัน การซุ่มรออยู่ในเงามืด จึงถือเป็นทางเลือกที่ไม่เลวเลยทีเดียว
หลังจากคนทั้งกลุ่มเดินมาได้สักพักหนึ่ง จู่ๆ ผู้ปลุกพลังแสงในทีมก็ตะโกนว่า “หยุด”
น้ำเสียงของเขาเร่งด่วน และฟังดูวิตกกังวลเล็กน้อย
ก่อนที่เขาจะพูดขึ้น อาร์คบิชอปทั้งสามก็ได้มองเห็นไปในเงามืดเบื้องหน้าแล้ว
“มีอะไรผิดปกติ?”
มีคนถามด้วยความสับสน
ผู้ปลุกพลังแสงเม้มริมฝีปาก หลังจากสงบสติอารมณ์ได้เล็กน้อย เขาก็พูดต่อว่า “มีสัตว์ประหลาดขวางทางอยู่ข้างหน้า”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ก็มีคนขมวดคิ้ว “แค่นั้นเหรอ?”
พวกเขาทุกคนรู้ว่ามีสัตว์ประหลาดที่นี่ เพราะท้ายที่สุดแล้ว เมืองหยุนถูกปกคลุมไปด้วยหมอกดำ จึงต้องมีสัตว์ประหลาดอยู่เป็นจำนวนมาก ก่อนที่จะเข้ามา พวกเขาจึงได้เตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้ว จึงไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ต้องกังวลอะไรถึงขนาดนั้น
“ไม่ใช่แค่นั้น”
ผู้ปลุกพลังแสงขัดจังหวะ และกล่าวเสริมว่า “มีสัตว์ประหลาดอย่างน้อยห้าตัวอยู่ตรงหน้าเรา”
เมื่อเขาพูดจบ ดวงตาสีแดงหลายสิบดวงก็สว่างขึ้นท่ามกลางหมอกดำที่อยู่เบื้องหน้า
“ห้าตัวเลยเหรอ นี่มันบ้าไปแล้ว”
หากมีสัตว์ประหลาดอยู่ห้าตัว พวกเขาสองคนก็ต้องร่วมมือกัจัดการกับศัตรูตัวหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย
สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือ พวกเขาได้ตระหนักว่าด้วยความเข้มข้นของพลังงานในเมืองหยุน สัตว์ประหลาดในเมืองกับนอกเมืองจึงอาจจะไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน
สวี่จื้อยืนอยู่บนอาคารสูง และมองดูทุกสิ่งด้วยสายตาเย็นชา ทันทีที่คนเหล่านี้ปรากฏตัวต่อหน้าเธอ เธอก็รู้แล้วว่าใครคือ อาร์คบิชอป
เธอไม่ได้รวบรวมสัตว์ประหลาดเหล่านี้ให้มาหา แต่พวกเขาเป็นฝ่ายดึงดูดพวกมันเข้ามาเอง ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ สัตว์ประหลาดก็จะยิ่งมารวมตัวกันมากขึ้นเท่านั้น
ท้ายที่สุดแล้ว เธอได้สั่งห้ามพวกมันทำอะไรผู้คนในเมืองหยุน ดังนั้นเหยื่อจากโลกภายนอกที่สดใหม่เหล่านี้ จึงทำให้พวกมันแห่เข้ามาหาโดยธรรมชาติ
สวี่จื้อไม่ได้ตั้งใจที่จะเข้าไปแทรกแซง เธอได้เปิดใช้สกิลเนตรส่องความลับแล้ว และเริ่มแยกแยะความสามารถของอาร์คบิชอปทั้งสาม
อย่างไรก็ตาม มันต้องใช้เวลาพอสมควร ท้ายที่สุดแล้ว คนทั้งสามนี้ก็อยู่ในระดับเดียวกับเธอ แม้จะอ่อนแอว่าเล็กน้อย แต่ก็ต้องใช้เวลาและพลังงานในการวิเคราะห์ความสามารถของพวกเขา
ดงนั้น อย่าตายก่อนที่เธอจะวิเคราะห์เสร็จก็แล้วกัน
แน่นอนว่าคำพูดนี้กล่าวถึงผู้ปลุกพลังคนอื่นๆ ที่เข้ามาที่นี่ในเวลาเดียวกัน