บทที่ 5 : ลูกชายของเราเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
ถนนยังเป็นถนนเส้นเดิม ตึกก็ยังเป็นตึกหลังเดิม แม้แต่โคมไฟที่เสียก็ยังอยู่ที่เดิม เฉินฮั่นเซิงยืนอยู่หน้าบ้าน เขาตั้งใจว่าจะเคาะประตูเบาๆ แต่พอยกมือขึ้นกลับกลายเป็นเสียง "ตึง ตึง" แถมปากก็พลั้งร้องออกมาโดยไม่รู้ตัว "แม่ครับ ผมกลับมาแล้ว"
"เอี๊ยด..."
ประตูไม้ด้านในถูกเปิดออก หญิงวัยกลางคนอายุราวสี่สิบกว่าปรากฏในสายตาของเฉินฮั่นเซิง เธอเปิดประตูพลางดุด้วยน้ำเสียงไม่ไว้หน้า "ตะโกนอะไรนักหนา ทั้งตึกได้ยินเสียงนายหมด โตป่านนี้แล้ว ออกจากบ้านยังไม่เอากุญแจติดตัว"
"สูตรเดิม รสชาติเดิม" เฉินฮั่นเซิงคิดในใจ
สิ่งแวดล้อมมีความสามารถในการจดจำ เหมือนอย่างคืนฟ้าร้อง เจ้าหน้าที่เวรในพระราชวังต้องห้ามมักเห็นร่างนางกำนัลเดินผ่านกำแพงสีแดงเข้ม ว่ากันว่าเป็นเพราะสนามแม่เหล็กในตอนฟ้าร้องได้บันทึกภาพในอดีตเก็บไว้ในกำแพง
แรกๆ เฉินฮั่นเซิงยังรู้สึกกังวลอยู่บ้าง แต่พอแม่เหลียงเหม่ยจวนเอ่ยปาก เขาก็ถูกดึงกลับไปยังความทรงจำเมื่อ 17 ปีก่อนในทันที รูปแบบความสัมพันธ์แทบไม่เปลี่ยนไปเลย
เฉินฮั่นเซิงเดินเข้าบ้านภายใต้สายตาดุๆ ของแม่ เขาไม่รู้สึกอะไร กลับคิดว่าในห้องนั่งเล่นร้อนเกินไป จึงพลิกหารีโมทในโซฟา "ร้อนขนาดนี้ยังไม่เปิดแอร์อีก พ่อไปไหนครับ?"
เหลียงเหม่ยจวนอุ้มแตงโมเย็นๆ ออกมาจากตู้เย็นพลางตอบ "กลับมาก็จะเปิดแอร์ พ่อนายยังไม่เลิกงาน"
เห็นแตงโมเย็น เฉินฮั่นเซิงยิ้มแหย "แม่นี่รักผมที่สุดเลย"
"ปากหวานไปได้"
เหลียงเหม่ยจวนมองลูกชายที่ดูกระฉับกระเฉง ในใจก็พอใจ แต่ยังทำเสียงเข้มถาม "ใบรับรองผลการสอบล่ะ?"
เฉินฮั่นเซิงโยนซองที่มีใบรับรองผลการสอบลงบนโต๊ะอาหารอย่างไม่ใส่ใจ "นี่ไงครับ"
"ตายแล้ว!"
เหลียงเหม่ยจวนรีบเก็บขึ้นมา ตรวจดูว่าซองไม่เปื้อนน้ำแตงโม แล้วจึงใช้ตะหลิวตีเฉินฮั่นเซิงเบาๆ "ไอ้ลูกกระต่าย ยังอยากไปเรียนมหาวิทยาลัยอยู่มั้ย"
เหลียงเหม่ยจวนค่อยๆ หยิบใบรับรองออกมาจากซองอย่างระมัดระวัง เห็นข้อความบนหน้าปกสีแดงที่เขียนว่า "ขอรับรองว่านายเฉินฮั่นเซิงได้รับการคัดเลือกเข้าศึกษาต่อในสาขา 'การบริหารรัฐกิจ' กรุณานำใบรับรองนี้มารายงานตัวที่มหาวิทยาลัยในวันที่ 1 กันยายน 2002" เธอก็ยิ้มแก้มปริ
แม้ว่าตั้งแต่ปี 1999 มหาวิทยาลัยในประเทศจีนจะเริ่มขยายการรับนักศึกษา แต่ในช่วงนี้ผลกระทบยังไม่ลึกซึ้งนัก คุณค่าและชื่อเสียงของการเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยยังคงอยู่ได้อีกสักพัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อลูกหลานทางบ้านเกิดของเหลียงเหม่ยจวนไม่มีใครสอบติดมหาวิทยาลัยเลย แม้ลูกชายจะไม่ค่อยเชื่อฟัง แต่เรื่องการเรียนก็ยังทำให้เธอภูมิใจได้
ถึงแม้จะเป็นแค่มหาวิทยาลัยระดับสอง แต่ต่อไปก็ยังสอบโทได้นี่นา
ขณะที่เหลียงเหม่ยจวนกำลังคิดอยู่นั้น เฉินฮั่นเซิงก็กินแตงโมจนหมดครึ่งลูก ตบท้องแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปอาบน้ำ เหลียงเหม่ยจวนถึงได้นึกขึ้นมาได้ "รอให้น้ำร้อนสัก 10 นาทีก่อน ไม่งั้นจะเป็นหวัด"
ตอนนี้บ้านยังใช้เครื่องทำน้ำร้อนพลังงานแสงอาทิตย์อยู่ ก่อนอาบน้ำต้องรอให้น้ำร้อนก่อน แต่เฉินฮั่นเซิงไม่ฟัง คว้าเสื้อผ้าแล้วเดินเข้าไปเลย "อากาศร้อนขนาดนี้ อาบน้ำเย็นสิสบายกว่า"
"ไอ้ตัวแสบ!"
เหลียงเหม่ยจวนห้ามไม่อยู่ ก็ได้แต่ปล่อยให้เฉินฮั่นเซิงทำตามใจ เธอหันกลับมามองใบรับรองผลการสอบอีกครั้ง จู่ๆ ก็รู้สึกโล่งอก
การเลี้ยงดูลูกคนหนึ่งจนถึงมหาวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็นด้านการเงินหรือจิตใจ ล้วนต้องทุ่มเทมากมาย
"อีกสี่ปี ฉันกับลาวเฉิน (สามี) ก็จะได้สบายแล้ว แล้วค่อยช่วยเลี้ยงหลานๆ ชีวิตนี้ก็ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้แล้ว"
นี่คือชีวิตที่เหลียงเหม่ยจวน หญิงวัยกลางคนแห่งเมืองกั่งเฉิงใฝ่ฝันถึง
......
เฉินฮั่นเซิงอาบน้ำเย็นอย่างสบายอารมณ์ แล้วเหม่อมองตัวเองในกระจก ร่างกายหนุ่มแน่น เต็มไปด้วยพลัง ถ้าปิดตาก็คือใบหน้าของเด็กหนุ่มวัย 18
แต่พอเปิดตา ก็มักจะเห็นแววตาที่ลึกซึ้งเกินวัยแฝงอยู่
เฉินฮั่นเซิงยื่นนิ้วแตะกระจกอย่างแรง พูดว่า "ในเมื่อส่งฉันกลับมาแล้ว ฉันต้องทำอะไรบางอย่างให้ได้แน่ ถึงแม้ว่าพัฒนาไปตามปกติฉันก็ไม่ขัดสนเรื่องเงิน แต่แบบนั้นมันไม่สนุกน่ะสิ!"
ตอนนั้นเอง เฉินฮั่นเซิงได้ยินเสียงประตูเหล็กและเสียงคนคุยในห้องนั่งเล่น เขารีบเก็บสีหน้าจริงจังไว้ สวมเสื้อเชิ้ตหลวมๆ กับกางเกงขาสั้นแล้วเดินออกมาตะโกน "ลาวเฉินกลับมาแล้วเหรอ!"
ในห้องนั่งเล่นมีชายวัยกลางคนรูปร่างสูงโปร่งยืนอยู่ หน้าตาคล้ายเฉินฮั่นเซิงราวหกส่วน
นี่คือเฉินจ้าวจวิน พ่อของเฉินฮั่นเซิง แต่นิสัยพ่อลูกคู่นี้ต่างกันราวฟ้ากับดิน
เฉินจ้าวจวินเป็นคนพูดน้อย เหลียงเหม่ยจวนมักบ่นว่าเขา "นั่งนิ่งครึ่งวันยังไม่มีเสียงผายลมออกมาสักที" แต่กลับได้ลูกชายที่ความคิดว่องไว ทำอะไรก็ไม่ค่อยสนใจกฎเกณฑ์
ดังนั้นแม้แต่ตอนลูกชายคนเดียวทักทาย เฉินจ้าวจวินก็แค่ "อืม" เบาๆ แต่พอสังเกตเห็นว่าเฉินฮั่นเซิงเพิ่งอาบน้ำเสร็จ หลังยังมีหยดน้ำเกาะอยู่ เขาก็เดินเงียบๆ ไปปรับอุณหภูมิแอร์ให้สูงขึ้น
เฉินฮั่นเซิงยังไม่ทันได้คุยอะไรกับพ่อ เหลียงเหม่ยจวนก็หยิบกางเกงที่เขาถอดไว้ขึ้นมา ล้วงเจอซองบุหรี่ "แปะ" วางลงบนโต๊ะ "เก่งนี่ เฉินฮั่นเซิง แอบหัดสูบบุหรี่ตั้งแต่เมื่อไหร่?"
นี่เป็นบุหรี่จินหลิงแดงที่เฉินฮั่นเซิง "ยึด" มาจากครูเฉิน ลืมซ่อนไว้ สุดท้ายก็โดนแม่ค้น
เฉินฮั่นเซิงสีหน้าไม่เปลี่ยน "ครูเฉินยัดเยียดให้ผมเองครับ เขาบอกว่าผมสอบได้คะแนนธรรมดาๆ เลยให้บุหรี่มาปลอบใจ"
"โกหกชัดๆ!"
เหลียงเหม่ยจวนไม่เชื่อเลยสักนิด "มีที่ไหนครูให้บุหรี่นักเรียน เฉินจ้าวจวิน นายจะจัดการลูกชายหน่อยมั้ย"
เฉินจ้าวจวินไม่อยากยุ่งกับ "สงคราม" ระหว่างแม่ลูกคู่นี้ กำลังจะแอบเข้าห้องนอน แต่เหลียงเม่ยจวินก็ไม่ปล่อยเขาไป
"ในใจก็รู้ว่าไม่ควรยุ่ง แต่ถ้าไม่ช่วยแม่สักหน่อยคงไม่ได้" เฉินฮั่นเซิงคิดในใจพลางมองพ่อที่กวาดตามองเขาแล้วหันไปมองแม่ที่โกรธจัด สุดท้ายก็ตัดสินใจเข้าข้างภรรยา
"ตอนนี้สูบบุหรี่ยังเร็วไป ถึงจะคิดว่าจำเป็นสำหรับการเข้าสังคม อย่างน้อยก็รอให้เข้ามหาวิทยาลัยก่อน ซองนี้พ่อเก็บไว้ก่อนละกัน"
เฉินจ้าวจวินพูดพลางเอาบุหรี่ใส่กระเป๋าตัวเอง เฉินฮั่นเซิงคิดในใจว่าวกวนไปวนมาสุดท้ายก็เข้าทางพ่อ แต่ในเมื่อตัวเองย้อนเวลากลับมา ไม่มีอะไรติดไม้ติดมือมาก็กระไรอยู่
"ช่างเถอะ ถือว่าซองนี้เป็นของขวัญทักทายแล้วกัน!"
เฉินฮั่นเซิงคิดอย่างใจกว้าง จากนั้นทุกคนก็เริ่มกินข้าว เหลียงเหม่ยจวนกินไปคุยกับเฉินจ้าวจวินไป "อย่าลืมลางานนะ ตอนส่งฮั่นเซิงไปเรียนเราไปด้วยกัน"
เฉินจ้าวจวินพยักหน้า แต่เฉินฮั่นเซิงส่ายหน้า
"ผมไปรายงานตัวเองก็ได้ครับ พ่อแม่ทำอะไรก็ทำไปตามปกติ"
เหลียงเหม่ยจวนจ้องตาขวาง "ตั้งหลายร้อยกิโลเมตรนะ แล้วยังมีค่าเทอมอีกตั้งหลายพัน"
"ผมถือไปเองได้" เฉินฮั่นเซิงตอบ
ชาติก่อนเขาก็ไม่ให้พ่อแม่ไปส่ง ชาตินี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง แต่ในปี 2002 การจ่ายค่าเทอมมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ต้องจ่ายเป็นเงินสด ตอนนั้นเขานั่งรถโดยสารไปพร้อมเงินหลายพัน ใจก็เต้นไม่น้อย
"อีกอย่าง..."
เฉินฮั่นเซิงหยุดคิดแล้วพูดต่อ "ถ้าไม่ใช่เพราะบ้านเราไม่เข้าเกณฑ์ขอกู้ยืมเพื่อการศึกษา ผมก็ไม่อยากทำเอกสารปลอมหลอกรัฐ ผมคิดจะขอกู้เงินเรียนด้วยซ้ำ"
"พูดเหลวไหล!"
เหลียงเหม่ยจวนวางตะเกียบลงพูด "บ้านเราถึงจะไม่รวย แต่ส่งลูกเรียนมหาวิทยาลัยยังไหว อย่ามาเล่นอะไรแปลกๆ กับแม่ ตั้งใจเรียนให้ดีๆ"
เหลียงเหม่ยจวนรู้จักลูกชายดี ชอบคิดอะไรมากแถมควบคุมไม่ได้
"ผมคิดไว้หมดแล้ว" เฉินฮั่นเซิงไม่ฟังเลย "ยกเว้นเทอมแรก หลังจากนั้นผมจะไม่ขอค่าเทอมค่าใช้จ่ายจากพ่อแม่แล้ว ผมจะหาเงินเอง!"
"นายกล้านะ!"
เหลียงเหม่ยจวนขมวดคิ้ว
"มีอะไรจะกล้าไม่ได้!"
เฉินฮั่นเซิงแข็งคอตอบ
"เฉินจ้าวจวิน นายช่วยตัดสินหน่อย!"
เหมือนเคย ทุกครั้งที่แม่ลูกมีความเห็นไม่ตรงกัน พ่อต้องเป็นคนตัดสิน นิสัยนี้ยังคงอยู่จนถึงภายหลัง
เฉินจ้าวจวินครุ่นคิดอย่างจริงจัง พูดอย่างช้าๆ ว่า "ฮั่นเซิงเป็นผู้ชาย อยากลองดูบ้างก็ถูกต้องแล้ว แต่อย่าทิ้งการเรียน"
พอเห็นเฉินจ้าวจวินเข้าข้างเฉินฮั่นเซิง เหลียงเหม่ยจวนก็ไม่พอใจ "ตอนเด็กๆ มันน่ารักจะตาย แล้วนายก็มาพูดว่าต้องสร้างความเป็นตัวของตัวเองให้ลูกผู้ชาย ต้องฝึกความอดทน ต้องสร้างจิตสำนึกรับผิดชอบ คอยสนับสนุนความคิดประหลาดๆ ของมันตลอด สุดท้ายฝึกจนไม่ฟังคำแม่แล้วไง"
อย่างไรก็ตาม การลงคะแนนเสียงในครอบครัวออกมา 2 ต่อ 1 ข้อเสนอของเฉินฮั่นเซิงเรื่อง "ไปรายงานตัวคนเดียว" และ "ทำงานหาเงิน" ก็ผ่านไปในเชิงรูปแบบ แต่เหลียงเหม่ยจวนยังคงอารมณ์ไม่ดีจนถึงตอนเข้านอน
"ความรักของแม่นี่มันทั้งน่ารำคาญและอบอุ่นจริงๆ" เฉินฮั่นเซิงคิดในใจพลางแอบยิ้ม นึกถึงอนาคตที่แม่จะคอยบ่นเรื่องการทำธุรกิจของเขาไม่เว้นแต่ละวัน
เฉินจ้าวจวินปลอบภรรยา "การเรียนของฮั่นเซิงอาจจะไม่ได้เด่นที่สุด แต่เธอลองสังเกตดู ทักษะการลงมือทำและไหวพริบทางสังคมของมันเหนือกว่าเด็กรุ่นเดียวกันมาก จุดนี้พอเข้าสู่สังคมจะยิ่งเห็นชัด"
ชาติก่อน เฉินฮั่นเซิงเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยก็เริ่มทำธุรกิจ ล้มลุกคลุกคลานกี่ครั้งก็ไม่ยอมแพ้ สุดท้ายก็ประสบความสำเร็จ ความอดทนและทักษะการเข้าสังคมเหล่านี้ ที่จริงมีความเกี่ยวข้องกับการที่พ่อตั้งใจบ่มเพาะมาตลอด
"ไอ้ลูกกระต่าย ไม่รู้ตัวว่าโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว"
เหลียงเหม่ยจวนพึมพำ
เฉินจ้าวจวินหัวเราะเบาๆ "ลูกชายของเราเริ่มโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว"
......
(จบบทที่ 5)