ตอนที่แล้วบทที่ 35 กองทัพเทียนฉิง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 37 ความหมายของชีวิต 

บทที่ 36 การบริจาค


บทที่ 36 การบริจาค

ขณะเดินตามหลังคู่รักที่เพิ่งกอดกันอย่างหวานชื่น เสิ่นชิวได้แต่ส่ายหัวเบา ๆ พลางเดินเลียบถนนต่อไป เขามองอาคารที่คุ้นเคยตามทางด้วยความสุขเหมือนกลับมาบ้าน แม้ช่วงเวลาที่เคยอยู่ในสถานสงเคราะห์จะลำบาก แต่ก็มีความทรงจำที่ดีมากมาย นอกจากเรื่องความขาดแคลนอาหารแล้ว ทุกอย่างยังเป็นวันที่น่าจดจำ

หลังเดินประมาณสิบกว่านาที เสิ่นชิวมองเห็นพื้นที่ด้านหน้ากว้างใหญ่กว่า 50 ไร่ ถูกล้อมรั้วเหล็กเอาไว้ ภายในมีอาคารเก่า ๆ หลายหลัง บางหลังฉนวนกันความร้อนด้านนอกหลุดร่อนจนเห็นโครงสร้าง เสิ่นชิวเร่งฝีเท้าจนมาถึงหน้าประตูหลัก

ที่ประตูหลักนั้นถูกล็อกไว้ มีป้ายชื่อ สถานสงเคราะห์เซิ่งอิน ที่สีเริ่มลอกออกเกือบหมด

“เสิ่นชิว?” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลัง เป็นเสียงที่ฟังดูไม่มั่นใจ

เสิ่นชิวหันไปมอง พบกับหญิงสาวในชุดกระโปรงลายดอก มือถือกระเป๋าสีฟ้า ใบหน้ามีรอยกระเล็ก ๆ

“จ้าวเหลียน เธอก็มาด้วย” เสิ่นชิวจำได้ทันที เธอคือเพื่อนรุ่นเดียวกันในสถานสงเคราะห์เมื่อก่อน

“ใช่ แล้วมีใครคนอื่นมาด้วยไหม?” จ้าวเหลียนถามด้วยความเขินอาย

“ฉันไม่แน่ใจนัก ไม่ค่อยได้ติดต่อใครเลย เอาเถอะ เข้าไปกันก่อน” เสิ่นชิวตอบพร้อมส่ายหน้า

“ได้สิ” จ้าวเหลียนพยักหน้ารับ

เสิ่นชิวกดกริ่งหน้าประตู ไม่นานนัก ชายชราที่มีฟันเหลือน้อยเต็มทีเดินออกมาอย่างเชื่องช้า เขาพูดด้วยเสียงอู้อี้

“มาแล้ว มาแล้ว”

จ้าวเหลียนยิ้มและทักทายชายชรา

“คุณปู่อู๋ ฉันนึกว่าคุณเกษียณไปแล้วเสียอีก”

“อ้าว! เป็นพวกเธอเองหรือนี่ ทำไมมาสายขนาดนี้ คนอื่นมากันหมดแล้ว ฉันเปิดให้เดี๋ยวนี้” คุณปู่อู๋พูดพลางยิ้มกว้าง เปิดประตูให้พวกเขาเข้าไป

“มีเรื่องนิดหน่อยเลยมาช้า ผู้อำนวยการอยู่ไหม?” เสิ่นชิวถามด้วยรอยยิ้ม

“อยู่ เธออยู่ที่ห้องโถงใหญ่ในอาคารหลัก เข้าไปได้เลย จำทางได้ใช่ไหม?”

“จำได้ ขอบคุณครับ” เสิ่นชิวตอบก่อนเดินนำจ้าวเหลียนไปยังอาคารหลัก

ระหว่างทาง เขามองต้นไม้ที่ปลูกไว้และอุปกรณ์สนามเด็กเล่นที่เริ่มเก่าโทรม ความทรงจำในวัยเด็กพลันหวนกลับมา จ้าวเหลียนที่เดินข้าง ๆ เหมือนอยากพูดอะไร แต่ก็ลังเลไม่กล้าเริ่มบทสนทนา ขณะที่เสิ่นชิวเดินไปข้างหน้าโดยไม่ได้สังเกตอาการของเธอ

ไม่นานทั้งสองก็ใกล้ถึงอาคารหลัก เสียงหัวเราะและเสียงเด็กเล่นกันอย่างสนุกสนานดังลอดออกมา เสิ่นชิวผลักประตูเข้าไป ภายในเป็นห้องโถงกิจกรรมกว้างใหญ่ มีเด็กเล็กอายุระหว่าง 3-7 ปี หลายร้อยคนกำลังล้อมกลุ่มผู้ใหญ่ประมาณ 60 คน

เด็กเหล่านั้นถึงแม้จะสวมเสื้อผ้าธรรมดาและเก่าไปบ้าง แต่ทุกคนสะอาดเรียบร้อย ทว่าในกลุ่มนั้น หลายคนมีความบกพร่องทางร่างกาย บ้างมือเท้าผิดรูป บ้างสายตาบอด

กลุ่มผู้ใหญ่ที่ถูกเด็ก ๆ รายล้อมกำลังแจกนมและขนมพร้อมรอยยิ้ม เสิ่นชิวกวาดตามอง เขาจำได้เกือบทั้งหมด ยกเว้นเพียงไม่กี่คนที่อายุมากกว่า

ขณะที่เขากำลังจะเดินเข้าไป มีมือเล็ก ๆ ดึงขากางเกงของเขา เสิ่นชิวก้มมอง พบเด็กชายอายุราว 4 ขวบยืนอยู่ เด็กชายพูดเสียงแผ่วด้วยความกล้า ๆ กลัว ๆ...

“พี่ชายคะ ขอขนมให้หนูสักชิ้นได้ไหม? หนูอยากเอาไปให้เพื่อนรักของหนู เธอป่วยมาไม่ได้” เด็กชายพูดด้วยเสียงแผ่วเบา พลางดึงขากางเกงของเสิ่นชิว

เสิ่นชิวล้วงกระเป๋า แต่ใบหน้ากลับแข็งค้าง เขาหันไปถามจ้าวเหลียน

“เธอพอมีอะไรติดมาบ้างไหม?”

“มาถึงแบบเร่งรีบ ฉันก็ไม่ได้เอาอะไรมาเลย แต่นี่ใช้ได้ไหม?” จ้าวเหลียนตอบ พลางหยิบคุกกี้ชิ้นหนึ่งออกจากกระเป๋า

“ได้ครับ!” เด็กชายพยักหน้าด้วยความดีใจ

จ้าวเหลียนก้มตัวส่งคุกกี้ให้เด็กชาย แต่จังหวะนั้น เสียงปรบมือดังขึ้นในห้องโถง เด็ก ๆ ที่กำลังเล่นกันอย่างสนุกสนานพลันเงียบลงทันที สายตาทุกคู่หันไปยังประตูด้านหลัง

หญิงวัยกลางคน อายุราวห้าสิบกว่า ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอย แต่แฝงไว้ด้วยความใจดี เธอสวมเสื้อผ้าเรียบง่าย เดินเข้ามาในห้องโถงและพูดกับเด็ก ๆ

“เด็ก ๆ กลับห้องกันก่อนนะ ได้ไหม?”

“ได้ครับ/ค่ะ!” เด็ก ๆ ตอบพร้อมกันด้วยน้ำเสียงร่าเริง ก่อนจะทยอยจับกลุ่มเดินออกจากห้องไป

เสิ่นชิวและกลุ่มเพื่อนเดินเข้าไปหาเธอ พวกเขาทักทายอย่างนอบน้อม

“ผู้อำนวยการจ้าวอันหยวน”

“สุขภาพยังดีอยู่ใช่ไหมคะ?”

จ้าวอันหยวนมองดูใบหน้าคุ้นเคยเหล่านั้นและยิ้มด้วยความอบอุ่น

“ดีค่ะ ฉันสบายดีมาก พอเห็นพวกเธอกลับมา ใจก็ยิ่งดีขึ้นไปอีก”

“อย่าพูดแบบนั้นเลยค่ะ เราต่างหากที่ผิดเองที่ไม่ได้กลับมาเยี่ยมบ่อย ๆ” หญิงสาวสองสามคนพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

จ้าวอันหยวนตบไหล่พวกเธอเบา ๆ และพูดด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ต้องรู้สึกผิด ฉันเข้าใจดี พวกเธอต้องดิ้นรนกับชีวิต”

“ฮือ...ผู้อำนวยการ” หญิงสาวกลุ่มนั้นน้ำตาซึม

ชายคนหนึ่งในเสื้อโค้ทหนัง ตรงหน้าท้องเริ่มยื่นออกมาเล็กน้อย ไอแห้ง ๆ ก่อนพูดขึ้น

“เอาล่ะ เรื่องรำลึกความหลังค่อยว่ากัน เรามาทำธุระกันก่อนเถอะ”

“คุณหวงกานพูดถูกค่ะ ทำธุระก่อน” คนอื่น ๆ ต่างเห็นด้วย

“ก็ได้ค่ะ แต่จำไว้ว่า ให้ช่วยเท่าที่ทำได้ อย่าฝืนตัวเองนะ” จ้าวอันหยวนพูดอย่างใจดี

“งั้นผมเริ่มก่อนเลย ผมบริจาค 1.2 ล้าน” หวงกานพูดพลางหยิบเช็คออกมายื่นให้จ้าวอันหยวน

“ไม่เสียทีที่เป็นพี่หวง ใจป้ำมาก! ฉันสู้ไม่ได้เท่าไหร่ แต่ขอร่วมช่วยด้วยนะคะ ฉันบริจาค 5,000” หญิงสาวที่ดูร่าเริงในชุดเรียบง่ายยื่นซองเงินให้

“ฉันบริจาค 3,000!”

“ฉันบริจาค 10,000!”

การบริจาคดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่มีใครบริจาคมากเท่าหวงกาน ที่บริจาคมากที่สุดรองลงมาคือ 80,000

ชายหนุ่มในชุดเชิ้ตขาวกับสูทสีดำ ท่าทางสงบนิ่งพูดขึ้น

“ผู้อำนวยการจ้าว ผมคงไม่ได้บริจาคเงิน แต่ผมนำสิ่งของจากองค์กรการกุศลมาให้ เป็นอาหารและเสื้อผ้า หวังว่าจะช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้”

“ขอบคุณมากค่ะ คุณเฉาคุน” จ้าวอันหยวนจับมือเขาด้วยความซาบซึ้ง

เพื่อน ๆ รอบข้างพากันชม

“ไม่เสียทีที่เป็นพี่เฉา พวกเรานี่เทียบไม่ติดเลย ได้ยินว่าได้ตำแหน่งใหญ่มาแล้วด้วย”

“อย่าพูดแบบนั้นเลยครับ เป็นเพียงความสำเร็จเล็ก ๆ เท่านั้น” เฉาคุนตอบด้วยรอยยิ้ม

เสิ่นชิวเดินเข้าไปพร้อมถุงเงินสีดำ ยื่นให้จ้าวอันหยวน

“ผู้อำนวยการ นี่ห้าหมื่นครับ”

จ้าวอันหยวนรับถุงเงินมาและวางไว้บนโต๊ะ เธอยิ้มอย่างยินดี

“เสิ่นชิว เธอก็มาด้วย นานแล้วที่ไม่ได้เจอกัน”

“โอ้ ดูสิ ใครมา นึกว่าเสิ่นชิวจะไม่มาซะอีก” หวงกานพูดพร้อมมองเสิ่นชิวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์

“พึ่งมาถึง” เสิ่นชิวพยักหน้า

“เสิ่นชิว ฉันว่าเราคงไม่ได้ติดต่อกันเลยตั้งแต่โตแล้วใช่ไหม? จำได้ว่าเธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ดีที่สุด

พอออกมาได้งานใหญ่โต คงลืมพวกเราแล้วล่ะสิ” หวงกานแหย่

“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก ฉันเทียบเธอไม่ได้เลย” เสิ่นชิวตอบพลางส่ายหน้า

“เฮ้ ๆ พูดแบบนี้ฉันไม่เชื่อแน่ เลิกเล่นมุกเถอะ” หวงกานพูดประชด

“เอาล่ะ เลิกโต้กันได้แล้ว ไม่ใช่เด็ก ๆ กันแล้ว เสิ่นชิว ถ้ามีเวลาก็ลองติดต่อหวงกานบ้างนะ พวกเธอเคยสนิทกันนี่” จ้าวอันหยวนยิ้มพร้อมกล่าวแทรก

“ได้ครับ” เสิ่นชิวตอบด้วยรอยยิ้มจาง ๆ เขารู้ว่าหวงกานไม่ได้จริงจังนัก แต่ก็ยังอดยิ้มขมไม่ได้…

..........

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด