บทที่ 23 เมืองตงฮว่า
บทที่ 23 เมืองตงฮว่า
รถม้าเหาะขนาดมหึมาพุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง
ไอชานั่งอยู่ที่เท้าของโจวไป๋ ส่วนคริสตินายืนอยู่บนหัวของเธอ ตั้งตัวตรง เอาอุ้งเท้าวางพาดที่ขอบหน้าต่าง ดวงตาแมวเบิกกว้างจ้องมองทิวทัศน์ด้านนอก
ด้วยความดื้อดึงของคริสตินา บวกกับความคิดของโจวไป๋ที่มองว่าแมวตัวนี้ยังไงก็ต้องออกมาเจอโลกภายนอกอยู่ดี เขาจึงปล่อยเธอออกมาให้ช่วยจับตาดูไอชาแทนตนเอง
โจวไป๋หันมองทิวทัศน์สองข้างทาง มีเพียงความเวิ้งว้างของพื้นที่รกร้างและซากปรักหักพัง บางครั้งยังเห็นแสงเพลิงวาบขึ้นมาสองครั้ง พร้อมเสียงระเบิดดังก้องไกล ราวกับกำลังเกิดการสู้รบ
โลกใบนี้ถูกสงครามระหว่างปีศาจแห่งสวรรค์กับมนุษย์ทำลายจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม
ว่ากันว่าหลังจากมนุษย์ถูกบีบให้ล่าถอยมายังพื้นที่เพียงหนึ่งในสามของทวีปตะวันออก เพื่อป้องกันการโจมตีของปีศาจแห่งสวรรค์และรับมือกับการปนเปื้อนของพลังวิญญาณ นอกเหนือจากฐานที่มั่นบางแห่งแล้ว 90% ของประชากรล้วนถูกกระจุกตัวอยู่ในห้าเมืองหลักทางทิศตะวันออก ตะวันตก ใต้ เหนือ และศูนย์กลาง ที่ซึ่งเหล่าผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีแห่งเซียนและนักรบได้รวมตัวกัน
และเมืองตงฮว่า ที่โจวไป๋กำลังมุ่งหน้าไป ก็คือหนึ่งในห้าเมืองหลักเหล่านั้น
...
สองชั่วโมงต่อมา โจวไป๋ก็ได้เห็นเงามืดขนาดมหึมามากมายลอยอยู่กลางอากาศ พวกมันเรียงตัวกันหนาแน่นราวกับเรือเหาะขนาดยักษ์ที่ลอยอยู่เป็นกลุ่มใหญ่
'นี่มันไม่เหมือนกับที่คิดไว้เลย'
เมืองตงฮว่าคือมหานครขนาดยักษ์ที่มีประชากรเกินสามร้อยล้านคน หนาแน่นกว่าที่โจวไป๋จินตนาการไว้เสียอีก
ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีแห่งเซียน อาคารจำนวนมากจึงสามารถลอยอยู่บนฟ้า ขยายพื้นที่เมืองให้สามารถรองรับประชากรจำนวนมหาศาลได้
เมืองตงฮว่าถูกแบ่งออกเป็นหลายเขต ตั้งแต่เขตที่อยู่อาศัยของประชาชนบนพื้นดิน เขตทหารที่ความสูง 500 เมตร เขตปกครองที่ 1,000 เมตร เขตโรงเรียนเต๋าที่ 1,500 เมตร และอื่น ๆ โดยจัดสรรตามระดับความสูงตั้งแต่ 50 เมตรใต้ดิน ไปจนถึง 2,000 เมตรเหนือพื้นดิน
รอบเมืองถูกห่อหุ้มด้วยม่านพลังบาง ๆ ที่แทบมองไม่เห็น
นี่คือค่ายกลขนาดมหึมาที่ปกป้องเมืองตงฮว่าทั้งเมือง สามารถต้านทานปีศาจแห่งสวรรค์และชำระล้างพลังวิญญาณปนเปื้อน ป้องกันการติดเชื้อ ด้วยการป้องกันถึงสามชั้น—ค่ายกล การปรับแต่งพลังวิญญาณ และวัคซีนรูน—ความเสี่ยงของการปนเปื้อนจึงถูกลดลงอย่างมาก
"ใหญ่มหึมาจริง ๆ"
เมื่อรถม้าเหาะเคลื่อนตัวเข้าใกล้เมืองมากขึ้น โจวไป๋ก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงความกว้างใหญ่และความหนาแน่นของมัน อาคารที่ลอยอยู่เต็มท้องฟ้าบดบังแสงอาทิตย์จนแทบไม่เหลือที่ว่าง
อาคารเหล่านี้ล้วนมีสไตล์เดียวกัน—ขาว เทา ดำ—ไม่มีการตกแต่งใด ๆ มากเกินจำเป็น ดูเหมือนบล็อกไม้ที่ลอยตัวไปมาแล้วประกอบกัน
โจวไป๋ก้มลงมองถนนด้านล่าง เพราะท้องฟ้าถูกบดบังด้วยอาคารมากมาย ถนนจึงดูมืดสลัว ประกอบกับความแออัดของอาคารและตรอกซอกซอยที่คับแคบ ทำให้รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก
หลังลงจากรถ โจวไป๋หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งที่จางอ้ายเต้าให้มา ในนั้นมีที่อยู่สองแห่ง—จุดลงทะเบียนสอบเข้าโรงเรียนเต๋าตงฮว่า และบ้านของเพื่อนจางอ้ายเต้า
เนื่องจากโจวไป๋เพิ่งมาถึงและยังไม่มีที่พัก จางอ้ายเต้าจึงให้ที่อยู่นี้เพื่อให้เขาไปพักกับเพื่อนของตนก่อนถึงวันสอบ
พาแมวหนึ่งตัวกับหมาหนึ่งตัวติดตัวไปด้วย โจวไป๋จึงเริ่มเดินถามทางไปยังจุดลงทะเบียนสอบเข้า และจากนั้นก็ออกตามหาบ้านของเพื่อนจางอ้ายเต้า
ตลอดทาง คริสตินาและไอชาดึงดูดสายตาผู้คนอยู่ไม่น้อย ในยุคสมัยนี้ การเลี้ยงแมวเลี้ยงหมาเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ยากมาก
มองดูถนนที่แม้ฟ้ายังไม่มืดสนิท แต่กลับดูมืดครึ้มราวกับเป็นเวลากลางคืน โจวไป๋ถอนหายใจ เมืองตงฮว่านี้จากที่ไกลดูยิ่งใหญ่อลังการ แต่เมื่อเดินอยู่บนถนนกลับให้ความรู้สึกเหมือนต้องอยู่ในเงามืดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง...
ผู้คนบนท้องถนนต่างเร่งรีบเป็นส่วนใหญ่ แทบไม่มีใครเดินทอดน่องหรือหยุดคุยกัน ทุกคนล้วนดูเหมือนกำลังเร่งแข่งกับเวลา
ถนนหนทางสะอาดสะอ้านเกินไป ไม่เพียงไร้ซึ่งขยะ แต่ยังขาดต้นไม้ สวนหย่อม หรือแม้แต่แสงไฟนีออนที่มักพบเห็นในเมืองใหญ่ ๆ ซึ่งตรงกันข้ามกับความทรงจำของโจวไป๋โดยสิ้นเชิง
‘เย็นชา แม่นยำ ราวกับเป็นเครื่องจักรที่ขับเคลื่อนด้วยชิ้นส่วนนับไม่ถ้วน’
นี่คือความรู้สึกแรกที่เขามีต่อเมืองตงฮว่า
ไอชาที่เดินอยู่ข้าง ๆ แลบลิ้นออกมา พลางส่งเสียงเรียกเขา “ฉัน...หิว...”
ทันใดนั้น คริสตินาที่ขี่อยู่บนหลังไอชาก็ตบหัวเธอด้วยอุ้งเท้าแมวทันที “ใครบอกให้แกพูด! บอกแล้วไงว่าห้ามพูดเวลาที่อยู่ข้างนอก”
ไอชาก้มหน้าด้วยความรู้สึกผิด บางทีอาจเป็นเพราะการทดลองของดร.จวงประสบความสำเร็จ ไอชาที่กลายร่างเป็นสัตว์อย่างสมบูรณ์สามารถพูดออกมาเป็นคำสั้น ๆ ได้ เช่น "โจวไป๋" หรือ "ฉันหิว"
แต่เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่ไม่จำเป็น โจวไป๋จึงสั่งห้ามเธอพูดในที่สาธารณะ
ได้ยินเสียงของไอชา โจวไป๋ก็ยื่นมือไปลูบหัวเธอเบา ๆ ไอชาก็ใช้หัวถูมือของเขากลับ ก่อนที่เขาจะเอ่ยปลอบว่า “รออีกหน่อยนะไอชา ใกล้จะถึงแล้ว เดี๋ยวก็มีของกินแล้วล่ะ”
พวกเขาเดินไปจนถึงกลุ่มอาคารหลังเล็ก ๆ ที่ตั้งเรียงกันเป็นระเบียบเหมือนกระป๋องเหล็กที่วางซ้อนกันอย่างเป็นระบบ นี่คืออพาร์ตเมนต์ที่สวรรค์สร้างขึ้นเพื่อแจกจ่ายให้กับประชาชนทั่วไป
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงฝีเท้าดังขึ้น ก่อนที่ชายชราผมสีดอกเลาจะเปิดประตูออกมา เมื่อเห็นโจวไป๋ เขาก็ชะงักไปเล็กน้อย “เจ้าเป็นใคร?”
“จางอ้ายเต้าเป็นคนบอกให้ผมมา ผมจะเข้าสอบเข้าโรงเรียนเต๋าตงฮว่า แต่ไม่มีที่พัก เขาบอกว่าผมสามารถมาพักที่นี่ได้สักสองสามวัน…”
ชายชราหัวเราะเยาะ “มันยังจำพ่อแก่ ๆ คนนี้ได้ด้วยรึ?” เขาส่งเสียงฮึดฮัดในลำคอ ก่อนจะหันหลังเดินเข้าไปในบ้าน “เข้ามาสิ ปิดประตูด้วย”
โจวไป๋เดินเข้าไปในห้อง ภายในค่อนข้างรก ข้าวของวางระเกะระกะทั้งบนโต๊ะและพื้น หลายมุมเต็มไปด้วยฝุ่นและรอยเปื้อน ทำให้บ้านดูเก่าทรุดโทรม
แม้ใบหน้าของชายชราจะดูเคร่งขรึมและน้ำเสียงเย็นชา แต่เพียงไม่นานหลังจากโจวไป๋นั่งลง ชายชราก็ยกชามโจ๊กกับผักดองมาให้เขา
แม้แต่ไอชาและคริสตินาก็ยังได้รับขนมปังคนละก้อน
ไอชาคาบขนมปังแล้วรีบกลืนลงไปทันที ขณะที่คริสตินา—ผู้ที่ไม่จำเป็นต้องกินหรือขับถ่าย—ตบหัวไอชาพลางพูดเบา ๆ ว่า “จากนี้ไปเชื่อฟังฉันดี ๆ นะ ขนมปังนี่เป็นของแก เข้าใจไหม?”
ไอชาเอียงคอ มองคริสตินาด้วยสายตาสงสัย
อีกด้านหนึ่ง หลังจากโจวไป๋เดินเข้ามาในบ้าน ชายชราก็มองหน้าของเขาอย่างละเอียด สีหน้าสลับไปมาระหว่างรอยยิ้มกับความเคร่งขรึม
โจวไป๋กินโจ๊กไปได้ไม่กี่คำก็รู้สึกอึดอัดกับสายตานั้น จึงอดไม่ได้ที่จะถาม “คุณตา...จ้องหน้าผมทำไมครับ?”
“เจ้า...” ชายชราพึมพำ “เป็นลูกชายของจางอ้ายเต้ารึเปล่า?”
พรวด!
โจวไป๋พ่นโจ๊กออกมา ก่อนจะส่ายหน้ารัว ๆ
ชายชรากลับหัวเราะออกมา “หน้าเหมือนข้าตอนหนุ่ม ๆ เลยนะ…” เห็นโจวไป๋รีบปฏิเสธ เขาก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ “เอาเถอะ ข้ารู้ว่ามันไม่ยอมรับข้าเป็นพ่อหรอก”
สายตาของเขาที่มองโจวไป๋เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและความเมตตา จู่ ๆ ก็ถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะพึมพำว่า
“ข้ารู้ว่ามันเกลียดข้า เกลียดที่ข้าบังคับให้มันไปเป็นทหารหลังจากสอบตก จนแม่ของมันต้องหย่ากับข้าเพราะเรื่องนี้
แต่ข้าเป็นทหารมาทั้งชีวิต ข้ารู้ว่าความสงบสุขในตอนนี้เปราะบางแค่ไหน ถ้าทุกคนคิดแต่จะปกป้องตัวเอง ถ้าทุกคนกลัวอันตรายจนไม่มีใครยอมก้าวออกไปข้างหน้า… สุดท้ายเราก็จะไม่เหลืออะไรเลย”
โจวไป๋พึมพำ “อยู่ดี ๆ ก็เล่าอดีตขึ้นมาซะงั้น…”
“อ้ายเต้า…” ชายชราจ้องมองโจวไป๋ด้วยแววตาหวาดหวั่น “เจ้าจะเกลียดพ่อหรือเปล่า?”
โจวไป๋ “หา?”
คริสตินามองเขาแล้วพูดขึ้น “ความจำเสื่อมหรือเปล่า? สมัยก่อนเขาใช้พลังจิตต่อสู้ แต่ไม่ได้พัฒนาระดับพลังให้สูงขึ้น พอแก่ตัวลงเลยมีโอกาสเป็นโรคสมองเสื่อมมากกว่าคนทั่วไป
ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งเส้นทางแห่งเต๋าและพลังวิญญาณต่างก็ถูกบิดเบือนไปแล้ว การใช้มันเป็นเวลานานโดยไม่พัฒนาขึ้น ย่อมส่งผลให้พละกำลังและสภาพจิตใจถดถอยลงไปเรื่อย ๆ”
..........