บทที่ 21 สุนัข?
บทที่ 21 สุนัข?
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“เข้ามาได้”
จางอ้ายเต้าที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องเงยหน้าขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นโจวไป๋ที่เขาช่วยไว้เมื่อวาน เขาถอนหายใจพร้อมเกาศีรษะเบาๆ
“โอ้? โจวไป๋? ดูเหมือนมีใครบางคนบอกนายเรื่องที่ฉันสอบเข้าโรงเรียนเต๋าแล้วตกสินะ”
โจวไป๋ยิ้มแหยๆ และพูดด้วยความจริงใจ
“ลาวจาง ผมอยากมาขอคำแนะนำเกี่ยวกับการสอบเข้าโรงเรียนเต๋าตงฮว่าครับ”
จางอ้ายเต้าพูดอย่างไม่ใส่ใจ
“ไม่มีเวลา เมื่อวานฉันช่วยนายเพราะมันเป็นหน้าที่ของฉัน แต่วันนี้เป็นวันหยุดเพียงวันเดียวของฉันในเดือนนี้ ฉันมีแผนแล้ว”
โจวไป๋ยิ้มเก้อเขิน แต่ในใจเขาคิดอย่างขุ่นเคือง
‘ฉันเป็นถึงผู้ถูกเลือกของโชคชะตา ผู้ที่จะกอบกู้มนุษยชาติในอนาคต แทนที่จะมีสาวสวยหนุ่มหล่อมาต่อคิวช่วยฉัน หรือเปิดประตูไปเจอปรมาจารย์สักคน… ทำไมถึงต้องเจอแบบนี้?’
คริสตินารีบแทรก
“ฉันนี่ไง! ทั้งสวย ทั้งน่ารัก แถมมีความเป็นปรมาจารย์ในตัวด้วยนะ! ฉันจะช่วยนายเตรียมตัวสอบเข้าเอง!”
โจวไป๋มองเธออย่างไม่ไว้ใจแม้แต่น้อย ก่อนจะเหลือบมองห้องที่ดูรกของจางอ้ายเต้า แล้วถามอย่างลองเชิง
“ลาวจาง คุณต้องการคนมาช่วยทำความสะอาดห้องไหม?”
จางอ้ายเต้าหันมามองเขาและถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“แล้วนายซักกางเกงในให้ด้วยไหม?”
“หา?” โจวไป๋ทำหน้าเหวอ
“พวกคุณมีรถม้าเหาะแล้ว… ยังไม่มีเครื่องซักผ้าสำหรับกางเกงในอีกเหรอ?”
จางอ้ายเต้าพยักหน้า
“ในช่วงสงคราม สวรรค์ส่งผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีเซียนไปพัฒนาอาวุธทั้งหมด ส่วนเรื่องของใช้ในชีวิตประจำวันไม่ได้ให้ความสำคัญหรอก สรุป นายจะซักไหม?”
โจวไป๋ถอนหายใจ
“ซักก็ซัก”
หลังจากนั้น โจวไป๋เริ่มทำความสะอาดห้อง ซักผ้า และถูพื้นไปพร้อมกับฟังจางอ้ายเต้าเล่าเรื่องการสอบเข้าโรงเรียนเต๋า
“โรงเรียนเต๋าตงฮว่าเป็นหนึ่งในสี่โรงเรียนเต๋าใหญ่ พวกเขารับแต่คนเก่ง คนที่มีพรสวรรค์ในการฝึกฝน คนที่สามารถเป็นเสาหลักในสงครามอนาคตได้”
“ดังนั้นการสอบเข้ามีข้อกำหนดที่ชัดเจนสองข้อ คือ อายุไม่เกิน 20 ปี และพลังวิญญาณต้องเกิน 30 หน่วย” จางอ้ายเต้าหันมามองโจวไป๋
“เมื่อวานตอนตรวจนาย อายุ 18 ยังพอผ่านเกณฑ์ ส่วนพลังวิญญาณ 30 นายมีไหม?”
โจวไป๋พยักหน้า แต่ไม่ได้บอกว่าเขามีพลังวิญญาณถึง 70 แล้ว และคงจะมากขึ้นอีกก่อนถึงวันสอบ
ในใจเขาคิดอย่างปลาบปลื้ม
‘เฮ้ย! ตอนนั้นฉันต้องทำให้ทุกคนตกตะลึงแน่! อาจกลายเป็นคนแรกที่มีพรสวรรค์สูงสุดในประวัติศาสตร์การสอบเข้าเลยก็ได้!’
แล้วเขาถามด้วยความสงสัย
“พลังวิญญาณ 30 ถือว่าอยู่ระดับไหนเหรอ?”
จางอ้ายเต้าอธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“สวรรค์แบ่งระดับผู้ฝึกเต๋าออกเป็น 11 ระดับ ตั้งแต่ ‘ขั้นคืนต้น’ ซึ่งเป็นระดับที่ 0 ไปจนถึงระดับที่ 10 ‘ขั้นสิบทิศ’
ถ้าจะพูดง่ายๆ การบรรลุขั้นเต๋าขึ้นอยู่กับ ‘ระดับการกลายเป็นหนึ่งเดียวกับเต๋า’ หรือ ‘ระดับเต๋า’
0% ถึง 9% คือระดับศูนย์ ‘ขั้นคืนต้น’
10% ถึง 19% คือระดับหนึ่ง ‘ขั้นลมหายใจเดียว’
20% ถึง 29% คือระดับสอง
30% ถึง 39% คือระดับสาม และเพิ่มขึ้นทีละ 10% ตามลำดับไปจนถึง 100% ซึ่งเป็นระดับที่ 10”
“แต่ก่อนที่จะสามารถเริ่มเพิ่มระดับเต๋า ทุกคนเริ่มต้นที่ 0% และพลังวิญญาณจะไม่เกิน 99 หน่วย”
เขาหยุดพูดแล้วหันไปสั่งโจวไป๋
“นายถูอยู่ที่เดิมนานไปแล้ว ไปถูที่อื่นบ้าง ตรงนี้…ตรงนั้น…ต้องถูให้สะอาด!”
“โอ้ โอ้ โอ้!” โจวไป๋ใช้พลังวิญญาณควบคุมไม้ถูพื้นให้ทำงานไปรอบๆ
จางอ้ายเต้าพูดต่อ
“ตอนฉันสอบเข้า มีคนอายุผ่านเกณฑ์และพลังวิญญาณถึงเกณฑ์ประมาณสองหมื่นคน ส่วนใหญ่พลังวิญญาณอยู่ที่ 30 ถึง 60 มีแค่สิบกว่าคนที่ถึง 99”
โจวไป๋คิดในใจ
‘ไม่รู้เหมือนกันว่าระบบช่วยเหลือของฉันจะเพิ่มพลังวิญญาณได้ถึง 99 แล้วหยุดเหมือนคนอื่นไหม’
คริสตินาตอบในจิตสำนึก
“ระบบของนายต้องทำได้สิ! มันเพิ่มพลังวิญญาณให้นายโดยตรง ตราบใดที่ร่างกายนายรับไหว มันก็เพิ่มได้เรื่อยๆ แน่นอน!”
โจวไป๋ใช้พลังวิญญาณช่วยซักกางเกงใน พร้อมกับรู้สึกว่ากำลังมุ่งหน้าสู่อนาคตที่สดใส จางอ้ายเต้าพูดต่อ
“เมื่อผ่านเงื่อนไขพื้นฐานในรอบแรกไปแล้ว ส่วนที่เหลือของการสอบเข้าโรงเรียนเต๋า จะเน้นที่ความแข็งแกร่งของจิตใจและความสามารถในการเรียนรู้”
เขาอธิบายต่อ
“ตั้งแต่สวรรค์เริ่มบิดเบี้ยว ประสิทธิภาพของการฝึกเต๋าก็สูงขึ้นมาก แต่ก็อันตรายกว่าเดิม แม้จะมีค่ายกลป้องกันและวัคซีนรูนช่วย แต่การฝึกฝนยังคงมีโอกาสทำให้เกิดความบิดเบี้ยวหรือเสียสติได้ ดังนั้น ผู้ฝึกเต๋าจำเป็นต้องมีจิตใจที่แข็งแกร่งเพื่อรับมือกับสิ่งเหล่านี้”
โจวไป๋ถามด้วยความสงสัย
“แล้วจะทดสอบจิตใจยังไง?”
“ตอนที่ฉันสอบ พวกเขาให้ฉันเข้าไปในค่ายกลภาพลวงตา แล้วนั่งยองๆ แข่งกับคนอื่น ต้องนั่งจนกว่าจะเหลือ 5,000 คนสุดท้าย”
โจวไป๋เบิกตากว้าง
“โหดไปหน่อยไหม?”
จางอ้ายเต้าพยักหน้า
“ฉันนั่งไป 7 ชั่วโมง ขาจนเกือบจะไม่ใช่ของตัวเองแล้ว”
โจวไป๋ถามต่อ
“แล้วความสามารถในการเรียนรู้ล่ะ?”
“ก็หมายถึงพรสวรรค์ในการฝึกเต๋า” จางอ้ายเต้าตอบ
“เพราะทรัพยากรมีจำกัด มันอาจฟังดูโหดร้าย แต่ทรัพยากรที่ดีที่สุดต้องมอบให้คนที่มีพรสวรรค์สูงสุด เพื่อให้พวกเขาแข็งแกร่งขึ้นและปกป้องพวกเราได้”
“ตอนที่ฉันสอบ พวกเขาให้เราอ่าน คัมภีร์เต๋าโบราณ แล้วเขียนข้อความจากสิ่งที่เราเข้าใจ” จางอ้ายเต้าพูดด้วยน้ำเสียงหดหู่
“คัมภีร์เล่มนั้นน่าจะเป็นผลงานก่อนที่สวรรค์จะเริ่มบิดเบี้ยว เป็นการอธิบายธรรมชาติของสวรรค์ในเชิงปรัชญา ยิ่งเข้าใจลึกซึ้งเท่าไหร่ ก็แสดงถึงพรสวรรค์ในการฝึกเต๋าที่สูงขึ้น ซึ่งด่านนี้แหละที่ทำให้ฉันตกรอบ”
โจวไป๋พยักหน้า
“แล้วผมจะเตรียมตัวยังไง?”
จางอ้ายเต้าถอนหายใจและยักไหล่
“พลังวิญญาณไม่ใช่สิ่งที่จะเพิ่มขึ้นในไม่กี่วัน ส่วนจิตใจฉันก็ไม่รู้ว่าจะฝึกยังไง ส่วนเรื่องพรสวรรค์ มันครึ่งหนึ่งมาจากพรสวรรค์โดยกำเนิด อีกครึ่งหนึ่งมาจากการสั่งสมความรู้ ถ้าตั้งแต่เด็กนายอ่านคัมภีร์เต๋าโบราณเยอะๆ อาจช่วยได้ แต่ตอนนี้มันสายไปแล้ว”
“อะไรนะ?” โจวไป๋ร้องออกมา
“ถ้างั้นผมก็ต้องรอสอบอย่างเดียวเหรอ? ที่ถามคุณก็เปล่าประโยชน์น่ะสิ!”
จางอ้ายเต้าหัวเราะ
“พูดแบบนี้ก็ไม่ถูก อย่างน้อยนายก็รู้ว่าการเตรียมตัวล่วงหน้าไม่มีประโยชน์ จะได้ไปสอบอย่างสบายใจ”
โจวไป๋ได้แต่เงียบ
หลังจากนั้น จางอ้ายเต้าเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าสีขาวเรียบๆ ตรวจดูตัวเองในกระจกก่อนจะเปิดประตูและพูดขึ้น
“การสอบก็มีแค่นี้แหละ ฉันมีนัดกับสาวงาม…” เขายิ้มอย่างตื่นเต้นและโบกมือให้โจวไป๋
“งานที่เหลือทำให้เสร็จแล้วนายก็กลับไปพักได้”
เมื่อจางอ้ายเต้าจากไป โจวไป๋ก็บ่นพึมพำ
“การสอบเข้าเต๋าเตรียมตัวล่วงหน้าไม่ได้แบบนี้ ก็เท่ากับพึ่งดวงล้วนๆ น่ะสิ”
ทันใดนั้น เขาก็สังเกตเห็นค่าความขี้เกียจในระบบช่วยเหลือเริ่มเพิ่มขึ้น
“เดี๋ยวนะ… ฉันแค่ขี้เกียจไม่ทำงานก็เพิ่มค่าความขี้เกียจได้?” โจวไป๋อุทานด้วยความดีใจ นั่งเอกเขนกบนโซฟา มองค่าความขี้เกียจเพิ่มขึ้นทีละ 1 คะแนนต่อนาที หลังจาก 10 นาทีผ่านไป ค่าความขี้เกียจเพิ่มขึ้น 10 คะแนน ก่อนจะหยุด
เขาเปลี่ยน 10 คะแนนนั้นเป็นพลังวิญญาณ และเห็นค่าพลังของตัวเองเพิ่มขึ้นเป็น 71 คะแนน เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะลุกขึ้นทำงานที่เหลือให้เสร็จ
เมื่อกลับถึงห้อง โจวไป๋พบว่ามีคนรออยู่ ชายชราผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าประตูพร้อมกับสุนัขพันธุ์ชิบะสีเหลือง
ชายชรากล่าวขึ้น
“สวัสดี คุณคือโจวไป๋ใช่ไหม?”
โจวไป๋พยักหน้า
“มีอะไรหรือครับ?”
“คืออย่างนี้ เพื่อนของคุณรักษาหายแล้ว คุณสามารถไปเจอเธอได้”
“จริงเหรอ?” โจวไป๋ดีใจมาก
“ไปกันเถอะ ผมอยากเจอไอชา ตอนนี้เธอเป็นยังไงบ้าง?”
ชายชราลูบคางอย่างเขินอาย
“ก็…ค่อนข้างดีนะ กินเก่งมากเลย” เขาชี้ไปที่สุนัขชิบะตัวนั้น
“นี่ไง เธอ…ลองดูสิว่าเธอมีอะไรผิดปกติไหม”
สุนัขชิบะยิ้มแยกเขี้ยวให้โจวไป๋ด้วยท่าทางเป็นมิตร
โจวไป๋อ้าปากค้าง
“???”
..........