บทที่ 1216 : อัญเชิญเทพ
【แปลโดยฝีมือ...ยักษาแปร...มาติดตามได้ที่แฟนเพจหรือเพื่อติดตามเอาข่าวสารได้นะ】
【แค่ คอมเมนต์ ก็เหมือนการให้กำลังใจแล้วนะครับ รบกวน comment กันหน่อยน๊า ;-;】
【Thai-novelจะทำการลงไวกว่าที่อื่นทุกที่ เป็นจำนวน 5 ตอน แต่เรื่องราคาแพงกว่าที่อื่นนิดหน่อย】
บทที่ 1216 : อัญเชิญเทพ
ไม่นานก่อนหน้านี้...
"ลิลิธ มาช่วยหน่อยสิ ดูอะไหล่ตรงกราบซ้ายนั่นที!"
มือทั้งสองข้างของยอร์คกลายเป็นเครื่องมือไปแล้ว ตัวเธอเองก็เป็นไซบอร์ก เครื่องมือแบบนี้ช่วยเร่งกระบวนการทำงานของเธอได้มาก
ถึงแม้เธอจะเป็นร่างแยกของเวก้าพังค์ แต่เมื่อร่างหลักตายไป บันทึกพังค์ก็ถูกทำลาย ประสิทธิภาพการทำงานของยอร์คจึงเทียบกับเวก้าพังค์ตัวจริงไม่ได้เลย
อย่าว่าแต่ยอร์คที่แต่ก่อนไม่เคยรับผิดชอบงานเลย แม้แต่ลิลิธเอง เวลาทำงานก็ต้องค้นหาข้อมูลจากเอกสารที่รัฐบาลโลกมอบให้
การไม่มีบันทึกพังค์ก็เหมือนกับการผนึกคลังข้อมูลงานของพวกเธอไป ถึงแม้ความสามารถจะยังอยู่ แต่หลายสิ่งหลายอย่างก็ต้องเริ่มต้นใหม่
ตอนนี้ สิ่งที่พวกเธอกำลังจัดการอยู่ล้วนเป็นแผนการใหม่ ๆ จึงค่อนข้างคล่องแคล่วกว่า จึงสามารถจัดการสิ่งเหล่านี้ได้
ตอนแรก ยอร์คคิดจะกำจัดลิลิธ เพื่อให้ตัวเองเป็นร่างแยกเพียงหนึ่งเดียว แต่ตอนนี้เธอเปลี่ยนความคิดแล้ว
ถ้าไม่มีลิลิธ เธอคงเหนื่อยตายแน่ๆ
ก่อนหน้านี้ เธอแค่อยากกำจัดร่างหลักเพื่อขึ้นมาแทนที่ แต่กลับลืมเรื่องสำคัญไปอย่างหนึ่ง
คนที่ทำงานมาตลอดคือเวก้าพังค์ สิ่งที่รัฐบาลโลกต้องการคือความสามารถในการวิจัยของพวกเขา ไม่ใช่เลี้ยงคนไร้ประโยชน์ คนไร้ค่าแบบนั้นมีอยู่เยอะแล้วในแมรี่จัวร์ ไม่จำเป็นต้องให้คนนอกเข้ามาเพิ่ม
งานประจำวันของยอร์คในตอนนั้นมีแค่กิน นอน ขับถ่าย ไม่ต้องทำงานเลย แต่พอตัวจริงตาย ร่างแยกก็เหลือแค่เธอกับลิลิธ
ถ้าอยากพิสูจน์ความสามารถ ก็ต้องลงมือทำเอง
ส่วนเรื่องความทะเยอทะยานที่อยากเป็นเทพมังกร ห้าผู้เฒ่าไม่ได้ปฏิเสธเธอ แต่ก็ไม่ได้ตอบตกลง แค่เขียนเช็คเปล่าให้ แล้วก็สัญญาว่าจะให้ผลประโยชน์มากมาย โดยมีข้อแลกเปลี่ยนคือเธอต้องทำงาน
จนกระทั่งถึงตอนนี้ ยอร์คถึงได้เข้าใจว่าการเป็นวัวเป็นม้าทำงานหนักมันเป็นยังไง
การวิจัยของเวก้าพังค์เกิดจากความสนใจส่วนตัว เขาเสพติดการอยู่กับมัน จึงรู้สึกว่าเวลาไม่เคยพอ แม้กระทั่งสร้างร่างแยกขึ้นมาเพื่อช่วยตัวเองทำการวิจัยให้มากขึ้น
เมื่อเป้าหมายของยอร์คเปลี่ยนเป็นผลประโยชน์ กระบวนการนี้ก็ยิ่งน่าเบื่อหน่ายมากขึ้น โชคดีที่ยังมีลิลิธคอยช่วยจัดการบางอย่าง ทำให้เธอไม่ลำบากใจมากเกินไป
"กราบซ้ายไม่มีปัญหา แต่ระบบอาวุธด้านข้างเพิ่งซ่อมเสร็จ ยังไม่ได้ทดสอบ!"
ลิลิธลอยอยู่บนท้องฟ้า ใช้เครื่องมือพิเศษยึดตัวเองไว้กับเกราะด้านนอกของเซนต์มาเธอร์เฟลม กำลังทำการซ่อมแซมเพิ่มเติมจากด้านนอก
เพราะเหลือแค่ยอร์คกับเธอ ลิลิธก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป นั่นเป็นคำสั่งที่เวก้าพังค์ไม่เคยตั้งค่าไว้ จึงทำตามความคิดของยอร์คไปก่อนชั่วคราว
หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว ยอร์คและลิลิธก็ค่อนข้างแน่ใจว่าเซนต์มาเธอร์เฟลมสามารถทำงานได้ตามปกติ
"แบบนี้ก็น่าจะเรียบร้อยแล้ว ไปกันเถอะ เรื่องที่เหลือไม่เกี่ยวกับเราแล้ว ปล่อยให้พวกนั้นไปจัดการเรื่องต่อสู้กันเอง"
สวมเครื่องบินขนาดเล็ก ยอร์คและลิลิธก็กระโดดลงมาจากที่สูง แมรี่จัวร์ไม่ได้กำหนดจุดลงจอดให้ ถ้าเป็นเมื่อปีก่อน เอ็กเฮดคงจะสร้างฐานซ่อมบำรุงขึ้นมาได้ แต่ตอนนี้พวกเธอทำได้แค่ลงมือเอง
"ว่าแต่ลิลิธ เรื่องที่ฉันพูดไป เธอคิดยังไงบ้าง? ไม่อยากเป็นเซนต์ลิลิธบ้างเหรอ?"
"ฉันว่าสถานะแบบนั้นมันไร้สาระ ฉันก็ไม่คิดว่าพวกนั้นจะให้ตำแหน่งนี้กับเธอจริงๆหรอก แทนที่จะสนใจเรื่องพวกนี้ สู้ไปดูทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาลไม่ดีกว่าเหรอ?"
เมื่อไม่มีร่างหลัก ร่างแยกที่เหลืออีกสองร่างก็ค่อย ๆมีความคิดที่เป็นอิสระมากขึ้น พวกเธอที่เป็นตัวแทนของความชั่วร้ายและความปรารถนา ความคิดจึงไม่ตรงกัน ตามที่ลิลิธพูด ตอนนี้เธอแค่กำลังสะสมทุนอยู่
เธอไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่มีความคิดเป็นของตัวเอง
ส่วนข้อเสนอของยอร์ค ตอนนี้ ความคิดใหม่ของเธอคือให้ลิลิธมาทำงานให้ เซนต์ยอร์คจะลงมือทำงานเองตลอดไม่ได้ เธอถึงขั้นอยากเรียนรู้จากเวก้าพังค์ สร้างร่างแยกของยอร์คขึ้นมาอีก แต่ก็ไม่มีความรู้ด้านนี้เลย
ความคิดของยอร์คและลิลิธยังไม่สามารถสร้างผลกระทบใหญ่โตได้ในตอนนี้ และคำตอบของยอร์คก็ถูกส่งไปถึงห้าผู้เฒ่าผ่านหอยทากสื่อสารในมือของแซทเทิร์นแล้ว
"เซนต์มาเธอร์เฟลมเริ่มเตรียมการแล้ว"
แซทเทิร์นยืนยันผลลัพธ์ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ส่วนเดรสโรซ่าจะเป็นอย่างไร ชาวเมืองที่นั่นจะได้รับผลกระทบหรือไม่ พวกเขาไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้เลย
คำสั่งของอิมคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์สำหรับห้าผู้เฒ่า เมื่ออิมตัดสินใจแล้ว พวกเขาแค่ทำตาม ไม่จำเป็นต้องพิจารณาถึงความสมเหตุสมผลใดๆ
แต่ก็ยังมีการปรึกษาหารือกันก่อนลงมือ
"ท่านอิมตื่นขึ้นในเวลานี้ได้อย่างไร?"
นาสจูโร่ยังคงกอดดาบเล่มนั้นไว้แนบอกเช่นเคย ไม่มีใครรู้ว่าภายในดาบที่ไม่เคยชักออกมาเกินสามเซนติเมตรนั้นเป็นอย่างไร ในฐานะคนที่หัวโบราณที่สุดในห้าคน เขาตั้งคำถามขึ้น
"เวลานี้ยังเร็วไปหน่อย ไม่เหมือนปกติ"
"เราไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายเรื่องนี้ ท่านอิมย่อมมีเหตุผลของตัวเอง เมื่อมีคำสั่ง เราก็แค่ทำตามก็พอแล้ว"
มาร์คัส มาร์สลูบเคราสีเงินยาวของเขา ซึ่งนั่นก็เป็นความคิดของคนอื่นๆเช่นกัน ไม่มีใครรู้ความคิดของอิม ดังนั้นจึงไม่ต้องไปคิดให้ปวดหัว
"ว่าแต่ ผลปีศาจนั้นก็อยู่ที่เกาะนั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะยังไม่ตื่นขึ้น แต่ถ้าหายไปพร้อมกันก็ถือเป็นเรื่องดี ภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดกับคนที่รู้ความลับหายวับไปพร้อมกัน ทะเลก็น่าจะสงบสุขไปได้อีกพักใหญ่"
"ใช่ ทั้งผลปีศาจนั่น ทั้งโดฟลามิงโก้ ล้วนเป็นตัวปัญหา"
แซทเทิร์นเห็นด้วยกับความคิดของมาร์คัส มาร์ส สายเลือดโดยตรงของเทพมังกรไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะจัดการได้ง่ายๆ อย่างน้อยก็ไม่สามารถประหารชีวิตได้ง่ายๆ แม้ว่าจะต้องการฆ่าพวกเขาก็ต้องผ่านขั้นตอนที่ซับซ้อน เช่น อัศวินศักดิ์สิทธิ์
แน่นอนว่า เมื่อมีคำสั่งจากอิม เรื่องอื่นๆก็ไม่ต้องสนใจ อิมคือผู้มีอำนาจตัดสินใจสูงสุด
"คนตระกูลดองกี้โฆเต้ไม่มีความเห็นอะไรเลยเหรอ?"
"ไม่มี มีแต่มุสการู๊ดที่ขัดขืน แต่ทางตระกูลของพวกเขาก็จัดการเรื่องนี้ภายในกันเองเรียบร้อยแล้ว พวกเขาไม่สนใจประเทศเก่าๆที่ทิ้งไปนานแล้วนั่นหรอก"
ตระกูลดองกี้โฆเต้ที่นี่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับโดฟลามิงโก้ แต่หมายถึงคนที่เหลืออยู่ในแมรี่จัวร์ นอกจากครอบครัวของโดฟลามิงโก้กับมุสการู๊ดแล้ว ตระกูลดองกี้โฆเต้ที่สืบเชื้อสายมากว่า 800 ปีก็ยังมีอีกมาก
และพวกเขาก็มีความคิดเห็นตรงกันเกี่ยวกับเดรสโรซ่า นั่นคือ "ช่างมันเถอะ"
ถ้าเป็นเกาะธรรมดา ห้าผู้เฒ่าคงไม่แจ้งให้พวกเขาทราบ เพียงแต่เดรสโรซ่าเคยเป็นประเทศของตระกูลดองกี้โฆเต้ จึงต้องแจ้งให้ทราบตามธรรมเนียม
การแจ้งนี้ไม่ได้ให้พวกเขาเสนอความคิดเห็น แต่เป็นการแจ้งให้ทราบชั่วคราว ถ้ามีใครรู้สึกเสียดาย ก็ให้เตรียมใจไว้ล่วงหน้า
"มุสการู๊ดยังคงเป็นพวกนอกรีตเหมือนกับโฮมมิ่ง ไม่สิ ลอว์และโดฟลามิงโก้ก็เหมือนกัน คนตระกูลนี้ช่างแปลกประหลาดจริงๆ"
"ช่างหัวคนตระกูลดองกี้โฆเต้เถอะ แจ้ง CP0 กับพวกทหารเรือให้ออกมาจากที่นั่น พวกเขามีจำนวนไม่มาก บวกกับความสามารถของคนเหล่านั้น ก็น่าจะหลบพ้นได้"
"ไอ้ซาคาสึกิ ถ้ามันไม่ส่งคนไปที่นั่นเพิ่ม ก็ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนี้ บอกให้พวกมันรีบๆหน่อย เวลาชาร์จพลังงานไม่นานหรอก"
การที่เซ็นโงคุกับสึรุสองคนนั้นไปเดรสโรซ่าเป็นคำสั่งโดยตรงของอาคาอินุ ไม่ได้ผ่านการอนุมัติจากรัฐบาลโลก แค่แจ้งให้ทราบหลังจากนั้น
"ผมทอง" พีทสรุปการประชุมสั้นๆนี้ เมื่อโทรศัพท์สองสายถูกต่อสาย การดำเนินการของรัฐบาลโลกก็ถูกจัดเตรียมเรียบร้อย
พวกเขาไม่สนใจคนธรรมดา และยิ่งไม่สนใจเป้าหมายที่ถูกสั่งให้กำจัด แต่ฟุจิโทระที่เพิ่งรับสมัครเข้ามาใหม่ๆกับเซ็นโงคุข้าราชการเกษียณนั้นแตกต่างออกไป คงปล่อยให้พวกเขาถูกถล่มไปด้วยไม่ได้
ถ้าเมื่อเซนต์มาเธอร์เฟลมชาร์จพลังงานเสร็จแล้วปล่อยการโจมตีออกมา แต่เซ็นโงคุกับพวกยังไม่ออกไป...
ก็ต้องคิดแล้วว่าจะล้างคราบยังไง
ในขณะเดียวกัน ที่เดรสโรซ่า การต่อสู้ระหว่างเรดฟิลด์กับยามาโตะหยุดลงชั่วคราว แต่การต่อสู้ในพื้นที่อื่นๆยังคงดำเนินต่อไป
"คมดาบแรงโน้มถ่วง เสือร้าย!"
ฟุจิโทระเก็บดาบเข้าฝัก จากนั้นฟาดดาบใส่เบื้องหน้า ปล่อยพลังดาบแรงโน้มถ่วง
ภายใต้อิทธิพลของแรงโน้มถ่วง พื้นดินถูกฟันจนเป็นร่องลึก ทะเลเพลิงที่เอสปลดปล่อยออกมาก็ถูกฟันจนแยกออก
"ท่านทั้งสอง กองกำลังเสริมของเรามาถึงแล้ว ขอให้ท่านทั้งสองยอมจำนนเถอะ"
"ล้อเล่นน่า ใครจะยอมแพ้เพราะคำพูดของแกแค่ประโยคเดียว"
"ใช่ มือคู่นี้ถูกฝึกฝนมาเพื่อฉีกกระชากอำนาจเผด็จการ กรงเล็บมังกรที่ไร้ซึ่งความมุ่งมั่น คงไม่เลือกเดินบนเส้นทางนี้หรอก"
"งั้นเหรอ ถ้าอย่างนั้นคงต้องใช้กำลัง เชิญท่านทั้งสองให้ความร่วมมือ"
คำตอบของเอสกับซาโบ้อยู่ในความคาดหมายของฟุจิโทระอยู่แล้ว ดังนั้นฟุจิโทระจึงไม่รู้สึกแปลกใจอะไร เขาแค่ลองถามดู
หลังจากถูกปฏิเสธ คลื่นแรงโน้มถ่วงก็แผ่ออกจากตัวฟุจิโทระเป็นวงๆซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้แรงโน้มถ่วงรอบตัวเขาทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
บ้านเรือนใกล้เคียงพังทลายลงเพราะทนแรงโน้มถ่วงไม่ไหว แต่เมื่อฟุจิโทระกำลังจะโจมตี ทหารโทรเลขข้างๆก็เบิกตากว้าง ดูเหมือนจะได้รับคำสั่งที่ไม่คาดคิด
"พลเรือโทฟุจิโทระ! คำสั่งด่วน! ทหารเรือทุกนายถอนตัวออกจากเดรสโรซ่าทันที!"
"ทันที?"
"ครับ ท่านพลเอกเซ็นโงคุกับท่านเสนาธิการสึรุบอกว่า ไม่ว่าท่านจะกำลังต่อสู้อยู่ในสถานการณ์สำคัญแค่ไหน ก็ให้ถอนตัวออกมาก่อน พลเรือโทบัสตีลกำลังรวมพลอยู่ครับ"
ถึงจะไม่เข้าใจ แต่ฟุจิโทระก็เลือกที่จะปฏิบัติตามคำสั่ง ท่ามกลางสายตาที่งุนงงของซาโบ้และเอส เขาก็เก็บดาบแล้วจากไป
แต่ก่อนจากไป ดวงตาสีซีดคู่นั้นก็มองขึ้นไปบนฟ้า แม้ว่าเขาจะมองไม่เห็นแล้ว แต่ก็ยังรู้สึกอึดอัด
"นี่มันอะไรกัน?"
ซาโบ้ที่กำลังเตรียมตัวรับมือกับการต่อสู้หันไปมองเอส แต่กลับพบว่าเอสกำลังมองขึ้นไปบนฟ้า เมื่อซาโบ้เงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นเพียงแค่เมฆดำที่ดูอึมครึม
"เป็นอะไรรึ?"
"หรือว่าจะเป็นไอ้นั่นอีกแล้ว?"
"ไอ้นั่น?"
"ใช่ อาวุธร้ายแรงของรัฐบาลโลกน่ะ"
มีเพียงคนที่เข้าร่วมสงครามมารีนฟอร์ดและได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตาตัวเองเท่านั้น ถึงจะเข้าใจถึงความน่ากลัวนั้นได้อย่างชัดเจน
การโจมตีครั้งนั้นเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา หลังจากนั้นก็ไม่มีใครได้ยินเรื่องการโจมตีแบบนั้นอีกเลย แต่เมื่อสถานการณ์คล้ายๆกันเกิดขึ้นอีกครั้ง ก็ยากที่จะไม่นึกถึงภาพที่น่ากลัวนั้น
นั่นเป็นแค่คลื่นกระแทก ถ้าโจมตีลงมาจริงๆ...
"ซาโบ้! นายไปก่อน เกาะนี้มันอยู่ไม่ได้แล้ว พวกนายก็น่าจะเตรียมเรือไว้แล้วใช่ไหม? ตอนนี้ก็ลงมือเลย ยิ่งหนีไปไกลเท่าไหร่ยิ่งดี!"
"เกิดอะไรขึ้น?"
"อาวุธของทหารเรือในสงครามมารีนฟอร์ด ดูเหมือนว่าจะถูกนำมาใช้อีกแล้ว"
"แล้วนายล่ะ?"
"ฉันจะไปดูลูฟี่ ฉันเป็นสายพารามีเซีย มัลโก้ก็บินได้ ไม่ต้องห่วงพวกเราหรอก พวกเราจะตามไปเร็วๆนี้ ตกลงตามนี้นะ!"
พูดจบ เอสก็กลายร่างเป็นเปลวเพลิง บินขึ้นไปบนที่สูง ซาโบ้ติดต่อโคอาล่า ฮาคุ และกองทัพปฏิวัติคนอื่นๆให้พยายามจัดการอพยพประชาชนบางส่วน
เอสไม่ได้พูดชัดเจนนัก แต่ซาโบ้ก็เลือกที่จะเชื่อใจน้องชาย ทำตามแผนของเขา
S-Shark ที่กำลังต่อสู้กับอุลติและเพจวันก็เคลื่อนไหว เมื่อมันสัมผัสพื้นด้วยมือทั้งสองข้าง พื้นทั้งหมดก็กลายเป็นระเบิดขนาดใหญ่
เทียบกับ Mr.5 ที่ทำได้แค่ดีดขี้มูก S-Shark ใช้ประโยชน์และพัฒนาผลปีศาจนี้ได้ในระดับที่สูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด
รัฐบาลโลกไม่ได้ใจกว้างให้เวลาอพยพสิบกว่านาทีหรอก เวลามากขนาดนั้น คนที่มีพลังมากพอในเกาะก็จะรู้ตัวและหนีไปได้ พูดให้ถูกคือไม่ใช่แค่คนบนเกาะ แม้แต่คนนอกเกาะก็รู้สึกถึงความผิดปกติแล้ว
อยากรวยต้องสร้างทาง ประโยคนี้สามารถใช้กับอาร์เซอุสได้เช่นกัน ตอนแรกเขากำลังสร้างทางอีกเส้นหนึ่ง โดยใช้โลกกลับด้านและกระแสน้ำวนขนาดยักษ์เป็นเส้นเลือดใหญ่ ปรับเปลี่ยนโลกตามแบบของเขา
เมื่อเครือข่ายของอาร์เซอุสเสร็จสมบูรณ์ หลังจากผ่านการชำระล้างมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง ความสามารถในการแทรกแซงโลกใบนี้ของเขาก็จะเพิ่มขึ้นอีกขั้น
ความเคลื่อนไหวเมื่อเซนต์มาเธอร์เฟลมเริ่มทำงานนั้นรุนแรงมาก ทำให้แม้แต่อาร์เซอุสก็ยังรับรู้ได้
"พวกมนุษย์นี่ช่างหลงใหลในสิ่งนี้จริงๆ"
"ท่านสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ท่านพูดว่าอะไรนะคะ?"
"ไม่มีอะไร แค่คิดว่า เราควรจะเรียนรู้จากพวกเขาไหม กำจัดสิ่งที่ก่อให้เกิดภัยคุกคามเป็นระยะๆไปเลย แบบนั้นจะดีกว่าหรือเปล่านะ"
"เอาจริงๆ ให้พวกนั้นถืออาวุธแบบนี้อยู่ก็เกะกะขวางหูขวางตา พวกมันซ่อมได้เร็วดีนี่"
ดาร์คไรได้รับข่าวสารล่าสุด ครั้งที่แล้วเขาเกือบจะเจอทางเข้าแล้ว แต่กลับถูกอีกฝ่ายหนีไปยังทางแยก เขาเผลอตามเป้าหมายหลงทาง
ดาร์คไรยืนยันว่าตัวเองเจอเคล็ดลับแล้ว ครั้งหน้าจะไม่พลาดอีก แถมยังบอกด้วยว่าตัวเองตรวจจับพลังงานที่คล้ายกับพลังงานในร่างกายของเขาได้
เนื่องจากดาร์คไรถือกำเนิดขึ้นมาจากพลังทั้งหมดของแผ่นศิลาแห่งชีวิตสีดำ เขาจึงไวต่อพลังของศิลาแห่งชีวิตมาก นั่นหมายความว่าศิลาแห่งชีวิตทั้งสิบแปดแผ่นเหลือแค่แผ่นสุดท้ายที่ยังหาไม่เจอ
สิบแปดขาดหนึ่ง อาร์เซอุสขาดอีกแค่ก้าวสุดท้าย การเคลื่อนไหวจึงยิ่งใหญ่ขึ้น
"เจ้าไปทำหน้าที่ของเจ้าต่อเถอะ ที่เหลือข้าจะจัดการเอง"
"ค่ะ"
เชย์น่าจากไปเงียบๆ จิตสำนึกของอาร์เซอุสกลับมาอยู่ ณ สถานที่แห่งหนึ่งที่มีเสียงทะเลาะเบาะแว้ง
"พวกเจ้าสองตัว น่าจะทะเลาะกันพอแล้วมั้ง?"
จิตสำนึกของอาร์เซอุสปรากฏขึ้นในมิติของมังกรขาวดำ ขัดจังหวะการทะเลาะของพวกมัน
"นายท่าน"
"นายท่าน"
เมื่อเห็นอาร์เซอุสปรากฏตัวขึ้น เซครอมและเรชิรัมก็หยุดทะเลาะกัน การทะเลาะของพวกมันไม่มีความหมายอะไร ต่อให้ทะเลาะกันเป็นร้อยๆปีก็หาข้อสรุปไม่ได้
เพราะพวกมันต่างยึดมั่นว่าตัวเองถูกต้อง ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางยอมอ่อนข้อให้กัน
"ไม่เป็นไร ถ้าอยากทะเลาะกัน เดี๋ยวค่อยทะเลาะกันใหม่ ไปจัดการไอ้สิ่งที่อยู่ข้างบนนั่นก่อน ครั้งนี้จัดการให้สิ้นซาก ข้าไม่อยากรับรู้ถึงพลังของมันอีก"
เซนต์มาเธอร์เฟลมไม่สามารถคุกคามเขาได้ แต่กลับเป็นภัยคุกคามที่ควบคุมไม่ได้สำหรับคนอื่น นอกจากเขาแล้ว คนอื่นๆในกลุ่มร้อยอสูรอย่างมากก็แค่ป้องกันตัวเองจากการโจมตีนี้ได้ การจะปกป้องคนอื่นนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
เขาไม่ได้ตั้งใจจะจ้องมองอาวุธแปลกๆนี่ตลอดเวลา การทำลายทิ้งตรงๆเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด
เซครอมและเรชิรัมมีจิตสำนึกอยู่ในร่างของยามาโตะอยู่แล้ว อาศัยจิตสำนึกนี้ พวกมันสามารถทำให้ร่างจริงของตัวเองปรากฏตัวข้างๆยามาโตะได้ นี่เป็นกลไกป้องกันตัวเองที่อาร์เซอุสมอบให้เธอตั้งแต่แรก แต่ก็ไม่เคยถูกใช้งาน
ยามาโตะไม่สามารถเปิดใช้งานสวิตช์นี้ได้ แต่อาร์เซอุสทำได้
ยามาโตะที่ยืมพลังของมังกรสองตัวก็เหมือนกับพลังสถิตร่าง แค่ยืมพลังของพวกมันมาใช้
แต่อาร์เซอุสกลับสั่งให้ร่างจริงของพวกมันออกมา พลังสถิตร่างที่ยืมพลังมากับสัตว์หางที่สมบูรณ์แบบนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปรากฏตัวพร้อมกันสองตัว พลังก็ยิ่งแตกต่างกัน
"พอดีเลย ในเมื่อนางได้รับการยอมรับจากพวกเจ้าสองตัวบางส่วนแล้ว พลังในร่างกายก็บรรลุสมดุลใหม่ มากพอที่จะทำให้พวกเจ้าทำแบบนี้ได้"
"ขอรับ แต่นายท่าน ข้าขอเสนอความคิดเห็นเล็กน้อยได้หรือไม่?"
"ว่ามา"
"หลังจากเสร็จภารกิจแล้ว พวกเราขอต่อสู้กันได้ไหมขอรับ?"
ไม่ว่าจะเป็นเซครอม เรชิรัม หรือแม้แต่เรควาซาก็ไม่เคยปรากฏตัวในโลกนี้จริงๆ พวกมันล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตพิเศษที่อยู่ในโลกใบเล็กๆที่อาร์เซอุสสร้างขึ้น
ถึงแม้ว่าจะสามารถต่อสู้กันในสถานะนั้นได้ แต่ก็รู้สึกเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง
พวกมันไม่ได้อยากจะต่อสู้ เพียงแต่ไม่ได้ลงมือมานาน จึงรู้สึกว่าขาดอะไรไปบางอย่าง
"เจ้าก็คิดแบบนี้เหมือนกันใช่ไหม เรชิรัม?"
ในฐานะมังกรที่เชิดชูอุดมคติ เซครอมจึงแสดงออกอย่างตรงไปตรงมามากกว่า จึงพูดความต้องการออกมาตรงๆ การต่อสู้กับเรชิรัม แล้วเอาชนะอีกฝ่ายให้ได้ นี่คือสิ่งที่เซครอมใฝ่ฝันในตอนนี้
ถึงแม้ว่าเรชิรัมจะไม่ได้เป็นฝ่ายเสนอเรื่องนี้ขึ้นมาก่อน แต่จากแววตา ก็พอจะมองออกว่าเรชิรัมมีความคิดเหมือนกับเซครอมเป๊ะ
"ตามใจพวกเจ้า แต่อย่าทำให้ผู้บริสุทธิ์ได้รับผลกระทบ จัดการไอ้สิ่งนั้นให้เรียบร้อยเสีย"
"ขอรับ"
"ฝากบอกนางด้วยว่า ครั้งนี้ ทำได้ไม่เลว"
เมื่อจิตสำนึกของอาร์เซอุสหายไปจากที่นี่ มังกรสองตัวสบตากัน แล้วก็ลงมือทำตามแผนของตัวเอง
ที่เดรสโรซ่า เมื่อพลังงานบนชั้นเมฆเริ่มรวมตัวกัน ยามาโตะก็ยิ่งมั่นใจว่านั่นคืออะไร
"พวกบ้านี่! บนเกาะนี้มีคนตั้งเยอะ แม้แต่ที่นี่ก็ยังโจมตีแบบนี้ได้งั้นเหรอ?!"
ตอนที่อยู่มารีนฟอร์ด เป้าหมายบนเกาะมีเยอะมาก ถึงแม้จะส่งผลกระทบต่อฝ่ายเดียวกัน แต่ก็สามารถได้รับชัยชนะครั้งใหญ่ เรียกได้ว่าทำร้ายศัตรูหนึ่งพัน เสียหายเองแปดร้อย
แต่เดรสโรซ่าไม่เหมือนกัน ที่นี่มีคนอยู่แค่นี้ จำนวนคนที่ถูกฆ่าอย่างมีประสิทธิภาพอาจจะไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ
"รัฐบาลโลกนี่มัน... ก็สมกับสไตล์ของพวกมันจริงๆ ตราบใดที่บรรลุเป้าหมาย ก็ยอมแลกกับทุกอย่าง ดูเหมือนว่าพวกมันจะทนไม่ไหวแล้ว แต่นี่มัน... อลังการงานสร้างมาก"
แม้แต่โดฟลามิงโก้ก็ยังประเมินความรุนแรงในการลงมือของรัฐบาลโลกต่ำไป พวกมันถึงขั้นใช้อาวุธระดับเดียวกับที่ใช้ในสงครามมารีนฟอร์ด
หลังจากกวาดตามองสถานการณ์โดยรอบอีกครั้ง เขาก็รู้สึกว่าทั้งหมดนี้สมเหตุสมผล ความวุ่นวายที่นี่ไม่แพ้สงครามมารีนฟอร์ดแล้ว
"คำแนะนำของฉันคือรีบหนี ถ้าไอ้สิ่งนั้นตกลงมาจริงๆ ทุกคนก็ตายพร้อมกันหมดแหละ"
เมื่อโดฟลามิงโก้พูดประโยคนี้จบ การโจมตีของเซนต์มาเธอร์เฟลมก็เตรียมพร้อมเสร็จสิ้นแล้ว ส่วนยามาโตะกำลังประเมินผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการโจมตีครั้งนี้
ตอนนี้ สิ่งที่เธอคิดไม่ใช่การปกป้องทั้งเกาะ แต่เป็นการปกป้องคนของตัวเอง เธอคิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะดูแลลูกน้องของเธอและอุลติกับคนอื่นๆได้
ทำในสิ่งที่ทำได้ เช่น ช่วยคนสักคนหรือแบ่งยาให้คนอื่น สิ่งเหล่านี้อยู่ในขอบเขตความสามารถของเธอ ของหายากสำหรับคนอื่นไม่ได้หมายความว่าจะหายากสำหรับเธอ
สู้ไม่ได้ก็ต้องหนี นี่เป็นหลักการที่แม้แต่ลูฟี่เมื่อสองปีก่อนก็ยังรู้ การเผชิญหน้ากับการโจมตีแบบนี้แล้วสู้ นั่นก็โง่เต็มทนแล้ว
"เรชิ..."
"เจ้าแค่ดูก็พอ นายท่านจัดการเรียบร้อยแล้ว"
"ใช่ เรื่องยุ่งยากปล่อยให้พวกเราจัดการ เจ้าแค่คิดว่าจะรับมือกับผลกระทบที่ตามมาอย่างไรก็พอ"
มีจุดแสงจำนวนมากกระจายออกมาจากร่างกายของยามาโตะ เงาสีดำและสีขาวปรากฏขึ้นจากด้านหลังของเธอ แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ภาพลวงตา แต่เป็นของจริง มังกรสองตัวที่เป็นตัวแทนของสายฟ้าแห่งอุดมคติและเปลวเพลิงแห่งความจริงปรากฏตัวขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริง
"ท่านพ่อจัดการเรื่องแบบนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่?"
"นายท่านคอยจับตาดูเจ้าตลอด ท่านยังบอกด้วยว่าเจ้าทำได้ดีในครั้งนี้"
"เจ้าอาจจะประเมินพลังของนายท่านต่ำไป ช่วงนี้นายท่านเริ่มขยับขยายแล้ว ที่ยังไม่แสดงออกชัดเจน ก็แค่เว้นพื้นที่ให้พวกเจ้าเติบโต
บางอย่างถูกกำหนดไว้แล้ว แต่ระหว่างทางก็ยังสามารถเติมเต็มได้อีก"
เซครอมและเรชิรัมผลัดกันตอบคำถาม อาจเป็นเพราะยามาโตะอยู่ในโหมดเปลวเพลิงสีขาว เรชิรัมจึงพูดมากกว่า
ไม่นาน มังกรยักษ์สองสีขาวดำก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังยามาโตะ
"พวกนายตัวเล็กกว่าที่ฉันคิดแฮะ"
หลังจากเปรียบเทียบความสูงแล้ว ยามาโตะก็พูดประโยคที่ไม่ค่อยเข้ากับสถานการณ์ออกมา นั่นหมายความว่าเธอไม่ตื่นตระหนกอีกต่อไป
ในเมื่ออาร์เซอุสเตรียมแผนสำรองไว้แล้ว ก็ต้องสามารถจัดการกับสถานการณ์ปัจจุบันได้อย่างแน่นอน นี่คือความเชื่อมั่นในตัวอาร์เซอุสที่สั่งสมมาหลายปีในใจของเธอ
"รูปร่างเป็นแค่ภายนอก นี่เป็นเพียงรูปร่างที่สะดวกที่สุดสำหรับการสื่อสารกับมนุษย์"
"แต่เจ้าพูดถูก ตัวใหญ่กว่านี้หน่อยก็จัดการไอ้สิ่งนั้นได้ง่ายกว่าจริง ๆ"
เซครอมและเรชิรัมบินขึ้นไปบนฟ้า ขนาดตัวก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างนั้น จนสุดท้ายก็มีขนาดพอๆกับยักษ์ ถึงได้บินขึ้นไปรับมือกับการโจมตีของเซนต์มาเธอร์เฟลมที่รวมพลังงานเสร็จสิ้นแล้ว
พวกมันคือร่างแยกของมังกรแห่งวิถี ผู้ช่วยเหลือผู้ที่มีอุดมคติและความจริงในการสร้างอาณาจักร แต่ในขณะเดียวกัน พวกมันก็เป็นผู้ทำลายล้าง ที่ใช้สายฟ้าและเปลวเพลิงเผาผลาญโลกจนแทบมอดไหม้
ยามาโตะมั่นใจในมังกรสองตัว ถึงขั้นใช้โรตอมแจ้งคนอื่นๆว่าไม่ต้องกังวล เดี๋ยวมังกรจะจัดการไอ้สิ่งนั้นเอง แต่คนอื่นๆกลับไม่คิดแบบนั้น
ฟุจิโทระที่เพิ่งรับคำสั่งให้ถอนทัพก็หยุดเดิน
"นั่นคืออะไร?"
"อาวุธลับของรัฐบาลโลก อย่าดูเลย ถอนทัพได้แล้ว"
"แล้วประชาชนบนเกาะจะทำอย่างไร?"
ฟุจิโทระไม่ลังเลเลย เดินออกจากเรือรบที่กำลังจะถอนทัพ แล้วหันหลังกลับไปยังเดรสโรซ่า
ติดตามผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:ยักษาแปร ผู้แปลลงแค่ในMy-NovelและThai-novelเท่านั้น หากอ่านที่อื่นรบกวนมาสนับสนุนทีนะครับผม หรือจะมากดไลก์แฟนเพจก็ได้ กระซิกกระซิก ;-;_