บทที่ 1 : เมาไม่ขับ
ในห้องจัดเลี้ยงหรูหราของโรงแรมนานาชาติเจี้ยนเหยี่ยน บรรดาชายหญิงในชุดสูทสวยงามต่างชนแก้วดื่มกัน จนใบหน้าแดงก่ำด้วยฤทธิ์สุรา
"คุณเฉิน หวังว่าธุรกิจต่อไปคงได้รับการดูแลจากท่านนะครับ"
"คุณเฉิน ผมขอดื่มอีกแก้ว ท่านตามสบาย ผมจะดื่มหมดแก้ว"
"คุณเฉิน ขอให้ธุรกิจของท่านเจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไปครับ"
...
ตัวเอกบนโต๊ะจัดเลี้ยงคือเฉินฮั่นเซิง การยกแก้วและคำประจบประแจงล้วนเกี่ยวข้องกับเขาทั้งสิ้น
"ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนไหนจะโชคดีได้แต่งงานกับคุณเฉินนะคะ" หญิงสาวหน้าแดงคนหนึ่งยกแก้วขึ้น พูดเสียงหวานเย้ายวน
เฉินฮั่นเซิงวัย 35 กำลังอยู่ในช่วงที่พลัง ประสบการณ์ และความสามารถของผู้ชายถึงจุดสูงสุด สถานะทางสังคมทำให้เขามีความมั่นใจ ประกอบกับการพูดจาที่ไม่ธรรมดา การที่จะดึงดูดสายตาผู้หญิงจึงเป็นเรื่องปกติ
"คุณไม่รู้หรอกหรือคะ คุณเฉินยังไม่ได้แต่งงานเลย เขาเป็นหนุ่มโสดเพชรแท้เลยล่ะ" มีคนรีบเสริมขึ้นมาทันที
"งั้นคงเป็นเพราะคุณเฉินมีมาตรฐานสูง ถึงไม่สนใจพวกเราที่เป็นแค่คนธรมรมดา น่ะค่ะ"
หญิงสาวตอบพร้อมรอยยิ้ม แล้วยื่นนามบัตรให้ด้วยสองมือ สายตาหวานซึ้งราวกับหยดน้ำ เอ่ยเสียงอ่อนหวาน "ธุรกิจของคุณเฉินใหญ่โตมาก แต่ก็ต้องหาความสมดุลระหว่างครอบครัวกับงานด้วยนะคะ"
เฉินฮั่นเซิงรับนามบัตรอย่างสุภาพ แต่จู่ๆ ก็รู้สึกคันที่ฝ่ามือ เพราะหญิงสาวแซ่จางคนนี้ใช้นิ้วชี้ลูบฝ่ามือเขาเบาๆ แล้วจ้องมองเขาด้วยสายตาหวานซึ้ง
เฉินฮั่นเซิงยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ แล้วนั่งลงเงียบๆ
หลังงานเลี้ยงจบ คนส่วนใหญ่บนโต๊ะต่างเมามาย หญิงสาวแซ่จางคนสวยตอนจากไปยังเหลียวมองเฉินฮั่นเซิงอย่างอาลัย
เฉินฮั่นเซิงเข้าใจความหมาย จึงทำท่าโทรศัพท์ เธอถึงได้ยิ้มกว้างอย่างมีความสุข
ลูกน้องเดินเข้ามาบอก "คุณเฉินครับ ผมไปส่งท่านนะครับ"
"ไม่ต้อง"
เฉินฮั่นเซิงโบกมือ "ฉันซื้อห้องใหม่ไว้ที่หมู่บ้านตรงข้าม ขับรถกลับเองได้ แค่ไม่ถึง 100 เมตร"
หลังลูกน้องจากไป เฉินฮั่นเซิงค่อยๆ เดินกลับไปที่รถแลนด์โรเวอร์ พิงศีรษะกับเบาะหนัง ใบหน้าฉายแววเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด
ทุกครั้งหลังงานเลี้ยง นอกจากแอลกอฮอล์ที่เต็มกระเพาะแล้ว จิตใจก็มักจะรู้สึกกดดันอย่างบอกไม่ถูก บางครั้งยังมีความว่างเปล่าที่ไม่อาจอธิบายได้
คนในวงการ ย่อมไม่อาจควบคุมชะตาชีวิตตัวเอง
"ฮึ่ว"
เฉินฮั่นเซิงถอนหายใจยาว ถ้าจะวัดความสุขด้วยเงินทองอย่างไร้สาระ ความจริงตัวเองก็มีความสุขกว่าคนส่วนใหญ่แล้ว ไม่ควรบ่นอะไรมาก
เขาเปิดเครื่องเสียงในรถ คาดเข็มขัดนิรภัยเตรียมสตาร์ทรถ แต่จู่ๆ ก็สัมผัสได้ถึงวัตถุแข็งๆ ในกระเป๋า ที่แท้ก็คือนามบัตรของคุณจางสาวสวยจากงานเลี้ยง
"จางหมิงหรง ชื่อก็ไม่เลว"
เฉินฮั่นเซิงยิ้มเบาๆ แล้วดีดนามบัตรออกไป นามบัตรสวยหรูลอยเป็นวงโค้งในความมืด ก่อนจะถูกล้อรถแลนด์โรเวอร์บดขยี้อย่างไร้ความปรานี
เวทีแห่งชื่อเสียงและผลประโยชน์ของผู้ใหญ่ มักขาดไม่ได้ซึ่งการเสแสร้ง ใครจริงจังคนนั้นก็คือคนโง่
ในรถแลนด์โรเวอร์ เสียงเพลง "Five Hundred Miles" ลอยวนไปมา
If you miss the train I'm on
หากเธอพลาดขบวนรถไฟที่ฉันโดยสาร
You will know that I am gone
เธอจะรู้ว่าฉันจากไปแล้ว
You can hear the whistle blow
เธอจะได้ยินเสียงนกหวีดดังกังวาน
A hundred miles
ระยะทางหนึ่งร้อยไมล์
...
เนื้อเพลงนี้ห่างไกลจากชีวิตปัจจุบันของเฉินฮั่นเซิงมาก แต่บรรยากาศกลับสัมผัสใจเขาลึกซึ้ง การใช้ตัวเลขและการซ้ำความบ่อยครั้ง สะท้อนความยากลำบากของเส้นทางชีวิต
ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ผู้คนที่จากบ้านเกิดไปหาเลี้ยงชีพ บางคนร่ำรวย บางคนยากจน แต่ไม่ว่าจะร่ำรวยหรือยากจน ความคิดถึงบ้านในใจก็ไม่มีวันจางหาย
"นานแล้วที่ไม่ได้ไปเยี่ยมพ่อแม่ ไปหาท่านคืนนี้เลยดีกว่า"
คิดได้เช่นนั้น ภายใต้ฤทธิ์เหล้าตะวันตก เฉินฮั่นเซิงก็หมุนพวงมาลัยโดยไม่รู้ตัว
ทันใดนั้น มีแสงสว่างจ้าส่องเข้ามาจากด้านข้าง ตามด้วยเสียง "ตู้ม!" ดังสนั่น เฉินฮั่นเซิงก็ไม่รู้สึกตัวอะไรอีกเลย
...
"เฉินน้อย ตื่นเร็ว รถเมล์จะถึงป้ายแล้ว"
ในความมึนงง เฉินฮั่นเซิงถูกเสียงหนึ่งปลุก ลืมตาขึ้นมาเจอแสงแดดจ้า หัวยังปวดจากฤทธิ์เหล้า
"เออ คราวหน้าไม่ดื่มเยอะขนาดนี้อีกแล้ว" เฉินฮั่นเซิงขมวดคิ้วสบถ
"เมื่อวานเป็นงานเลี้ยงครั้งสุดท้ายของห้องตอนมัธยมปลาย ทุกคนก็ดื่มกันไม่น้อย อีกอย่าง นายอกหักก็ดื่มได้อยู่แล้ว" พูดจบเด็กหนุ่มอายุราว 17-18 ปี รูปร่างอ้วนท้วน ผิวคล้ำ ก็ยิ้มกว้าง "ฉันเตือนนายแล้วไงว่าอย่าไปสารภาพรักกับเซียวหรงอวี้ นายยังจะลองดูตอนสอบเข้ามหา'ลัยเสร็จ ผลเป็นไงล่ะ?"
"คนที่ชอบเธอมีตั้งเยอะ นายก็แค่ผีน้อยตนหนึ่งเท่านั้นแหละ"
เด็กอ้วนดำพูดอย่างสะใจ เห็นเฉินฮั่นเซิงจ้องตาเขานิ่ง ก็รู้สึกไม่พอใจ "แค่พูดไม่ดีถึงเซียวหรงอวี้นิดหน่อย นายก็โกรธแล้วเหรอ?"
"พวกเราเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก นายกับเธอก็แค่เรียนมัธยมปลายด้วยกันสามปี ฉันแนะนำให้เอาเรื่องเมื่อคืนเป็นความทรงจำ ปล่อยให้มันลอยไปตามลม"
เห็นว่าเขาจะพูดไม่หยุด เฉินฮั่นเซิงจึงขัดขึ้น "นายเป็นใคร?"
"ฉัน!?"
เด็กหนุ่มคนนั้นสีหน้าตกใจก่อน แล้วเปลี่ยนเป็นโกรธ พอรถจอดป้าย เขาก็ดึงเฉินฮั่นเซิงที่ยังเดินโซเซลงรถ แล้วตะโกน "อกหักไม่ใช่ความจำเสื่อม ฉันคือหวังจื่อป๋อเพื่อนรักนาย นายจะลืมว่าตัวเองชื่อเฉินฮั่นเซิงด้วยรึเปล่า!"
"หวังจื่อป๋อ?"
เฉินฮั่นเซิงมีเพื่อนสนิทชื่อหวังจื่อป๋อจริง แต่ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ในประเทศ
"หวังจื่อป๋อไม่ได้อยู่อิรักเหรอ?"
"ไอ้เฉินบ้า นายแช่งให้ฉันตายเร็วๆ เหรอ?"
คราวนี้เฉินฮั่นเซิงไม่พูดแล้ว เพราะเขากำลังจ้องกระจกสะท้อนที่ป้ายรถเมล์เขม็ง ในนั้นสะท้อนภาพวัยรุ่นคนหนึ่ง คุ้นตาแต่ก็แปลกหน้า ที่ริมฝีปากยังมีหนวดเคราขึ้นรำไร
ท้องฟ้าสีครามไร้เมฆ ถนนยังเป็นดิน ฝุ่นที่ฟุ้งขึ้นมองเห็นเป็นเม็ดๆ ชัดเจนในแสงแดด ร้านตัดผมข้างทางเปิดเพลงเสียงดังลั่น
"จะพาเธอไปดูดาวตกที่ตกลงบนโลกใบนี้ ให้น้ำตาของเธอหยดบนบ่าของฉัน..."
เมื่อรวมภาพตรงหน้าเข้ากับเพลงที่ดังอยู่ทั่วตรอกซอย สมองเฉินฮั่นเซิงก็เริ่มมึน เรื่องพื้นๆ แบบนี้กลับเกิดขึ้นกับตัวเอง จู่ๆ กระเพาะก็ปั่นป่วน เฉินฮั่นเซิงทนไม่ไหวเดินไปอาเจียนข้างทาง
หวังจื่อป๋อไม่รังเกียจ เดินมาตบหลังปลอบ "อ้วกออกมาแล้วจะดีขึ้น"
หลังอาเจียนทุกอย่างในกระเพาะออกมาหมด สติของเฉินฮั่นเซิงก็ค่อยๆ กลับมา ภาพของหวังจื่อป๋อในตอนนี้เริ่มซ้อนทับกับความทรงจำ
"พวกเราจะไปไหนกัน?" เฉินฮั่นเซิงเงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก
"ไปรับจดหมายตอบรับเข้ามหา'ลัยไง"
ตอนนี้หวังจื่อป๋อไม่แปลกใจแล้ว เขาคิดว่าความผิดปกติของเพื่อนมาจากการสารภาพรักที่ไม่สมหวังเมื่อคืน
พูดแบบนี้ เฉินฮั่นเซิงก็นึกขึ้นได้ว่าตอนนั้นตัวเองไปรับจดหมายตอบรับกับหวังจื่อป๋อ ตัวเองได้มหา'ลัยระดับสองทั่วไป ส่วนหวังจื่อป๋อได้มหา'ลัยระดับหนึ่ง
และปีนี้ก็ไม่ใช่ 2019 แต่เป็นปี 2002
...
วันแรกของนิยายเรื่องใหม่ ได้ยินว่าผลสอบเข้ามหา'ลัยออกแล้ว ขอให้ผู้สอบทุกคนก้าวหน้าในชีวิต ตัวเอกก็กำลังจะเข้ามหา'ลัยด้วยนะ
(จบบทที่ 1)