ตอนที่แล้วบทที่ 49 สำนักหวั่งเหลี่ยง
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 51 หลี่อู๋อี

บทที่ 50 ร่างพิษแหลกสลาย


บทที่ 50 ร่างพิษแหลกสลาย

บัณฑิตแซ่เฟิงพูดต่อ "ศิษย์คนแรกของกุนซือคนนั้นอยู่ได้แค่เดือนกว่าก็ตาย คงเป็นเพราะฝึกวิชาผิดพลาด สมุนไพรที่ใช้ชำระล้างร่างกายตอนเริ่มต้น ถึงแม้จะไม่ได้หายากหรือมีค่ามาก แต่ก็มีบางชนิดที่หาได้ยากในโลกมนุษย์

แต่ศิษย์คนที่สองของเขากลับผ่านด่านชำระล้างร่างกายมาได้ ฝึกฝนจนถึงขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่หนึ่ง แต่ก็โดนพิษไฟเล่นงาน ต่อมาไม่รู้ว่าศิษย์คนนั้นรู้ได้ยังไงว่าตัวเองถูกใช้เป็น 'เครื่องมือดูดพลัง' จึงร่วมมือกับแม่ทัพในกองทัพกับยอดฝีมือในยุทธภพตอบโต้กุนซือคนนั้น" พูดถึงตรงนี้ บัณฑิตแซ่เฟิงก็มีสีหน้าแปลกใจ

คนอื่น ๆ ได้ฟังก็ส่ายหน้า ชายร่างกำยำผิวคล้ำที่ชายแขนเสื้อมีลวดลายสีทองรูปเข็มทิศจึงพูดขึ้นว่า "แบบนั้นจะชนะได้ยังไง? ต่อให้โดนพิษไฟเล่นงาน กุนซือคนนั้นก็มีพลังถึงขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่สามระดับสูงสุดแล้ว มียอดฝีมือในยุทธภพไม่กี่คนฆ่าเขาได้ ต่อให้เพิ่มอีกหลายเท่าก็ไร้ประโยชน์"

ผู้ฝึกตนคนอื่น ๆ รวมถึงนักพรตชราที่นั่งอยู่บนสุดก็เห็นด้วยกับคำพูดของชายร่างกำยำ

บัณฑิตแซ่เฟิงได้ฟังก็ส่ายหน้า "ศิษย์น้องเหลียง เจ้าเดาผิดแล้ว"

"อ้อ? หรือว่าพวกเขาฆ่ากุนซือคนนั้นได้ ไม่ใช่ฝีมือของหน่วยปราบปรามพวกท่าน?" ศิษย์น้องเหลียงถามอย่างสงสัย

"นี่แหละคือสิ่งที่ข้ารู้สึกประหลาดใจ พวกเขาไม่เพียงแต่ฆ่ากุนซือคนนั้นได้ ทั้งคนที่มีส่วนร่วมมากที่สุดไม่ใช่ยอดฝีมือในยุทธภพสองคนนั้น แต่เป็นศิษย์ของกุนซือคนนั้นต่างหาก ศิษย์ที่เป็นคนธรรมดาของเขามีอายุแค่สิบห้าสิบหกปี เป็นชาวบ้านที่อาศัยอยู่ที่เชิงภูเขามหามรกต ศิษย์ข้างล่างรายงานมาว่า ดูจากร่องรอยการต่อสู้แล้ว ตั้งแต่การซุ่มโจมตีจนถึงการสังหารครั้งสุดท้าย น่าจะเป็นฝีมือของเขาคนนั้น ส่วนกลวิธีนี้เด็ดขาดมาก เป็นการลงมืออย่างโหดเหี้ยม

ตอนที่ศิษย์ของยอดเขาข้าไปถึง นอกจากศิษย์คนนั้น คนอื่น ๆ ตายหมดแล้ว แม่ทัพกับยอดฝีมือในยุทธภพอีกคนหนึ่งต่างก็ตายด้วยเคล็ดวิชาลูกไฟกับเคล็ดวิชาหนามไม้ ส่วนศิษย์คนนั้นก็กำลังจะตาย ศิษย์ของยอดเขาข้าจึงคิดจะฆ่าเด็กคนนั้นให้ตาย ถึงแม้เขาจะไม่ได้ตั้งใจ แต่ก็เท่ากับว่าแอบฝึกเคล็ดวิชาเซียนของสำนัก ทั้งยังใกล้จะตายแล้ว ไม่จำเป็นต้องเสียโอสถเพื่อช่วยเหลือ"

ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย ในโลกแห่งการบำเพ็ญเซียนไม่มีเรื่องช่วยเหลือคนอ่อนแอหรือปราบปรามคนแข็งแกร่ง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความสงสาร

"แต่ตอนที่กำลังจะฆ่าเขา ก็พบว่าเด็กคนนั้นกลับมีอาการร่างพิษแหลกสลายโดยไม่ทราบสาเหตุ จึงพาเขากลับมา"

"อ้อ พวกเจ้าตรวจสอบแล้วหรือ? ฝึกฝนจนถึงขั้นร่างพิษแหลกสลายจริงหรือ?"

"ร่างพิษแหลกสลายนี้ ในสำนักของพวกเราก็ไม่มีใครฝึกสำเร็จมาเป็นพันปีแล้ว เขาไม่มีเคล็ดวิชา เช่นนั้นฝึกได้ยังไง? หรือว่าเกี่ยวข้องอะไรกับการฝึกเคล็ดวิชาม่านราตรีสีครามแบบผิดพลาด?"

"ใช่แล้ว พิษชนิดนี้เป็นพิษที่รุนแรงเป็นอันดับสองในสามพิษร้ายแรงของสำนัก พวกเราสืบทอดกันมาตั้งแต่โบราณ มีแค่สิบกว่าคนเท่านั้นที่ฝึกฝนพิษร้ายแรงสามชนิดนี้ได้ แต่ละคนล้วนผ่านความยากลำบาก อีกทั้งต้องมีโอกาส ถึงจะฝึกฝนได้"

ทุกคนในโถงใหญ่ต่างก็พูดคุยกัน และไม่สนใจคำตอบของบัณฑิตแซ่เฟิง

"เอาล่ะ เอาล่ะ เสียงดังกันทำไม? ทำเหมือนกับตลาดสดเสียอย่างนั้น ในเมื่อมีคนบอกว่าต้องมีโอกาสแล้ว โอกาสของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ได้มาก็คือได้มา ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นคงจะได้โอกาสอะไรบางอย่าง ศิษย์น้องเฟิง" นักพรตชราที่หน้าตาเคร่งขรึมตะโกนห้ามทุกคน

บัณฑิตแซ่เฟิงมองดูทุกคนแล้วยิ้มแห้ง ๆ

นักพรตชราที่หน้าตาเคร่งขรึมเห็นดังนั้นก็ขมวดคิ้ว "ว่าไง? หรือว่าตรวจสอบแล้วไม่ใช่ ร่างพิษแหลกสลาย?"

ศิษย์พี่ ศิษย์น้อง รวมกับผู้อาวุโสที่อยู่ข้างล่าง นอกจากศิษย์น้องเว่ยแห่งยอดเขาไผ่น้อยที่ไม่สนใจแล้ว คนอื่น ๆ ต่างก็รู้สึกผิดหวัง

"ไม่ใช่แบบนั้น เด็กคนนั้นเมื่อวานข้าก็ตรวจสอบด้วยตัวเองแล้ว เป็นร่างพิษแหลกสลายแน่นอน นอกจากนี้พิษในร่างกายของเขายังเริ่มซึมเข้าสู่เส้นเอ็นและกระดูกแล้ว เพียงแต่เด็กคนนี้มีรากวิญญาณหลากธาตุ" บัณฑิตแซ่เฟิงพูดพลางส่ายหน้าและถอนหายใจ

"ร่างพิษแหลกสลายที่มีรากวิญญาณหลายธาตุ? เป็นไปได้ยังไง? บ้าเอ๊ย..."

"รากวิญญาณหลากธาตุ? คนที่มีร่างกายแบบนี้สามารถฝึกฝนร่างกายโบราณแบบนี้ได้ด้วยหรือ? ศิษย์น้องเฟิงเจ้าตรวจสอบดีแล้วแน่นะ?"

"น่าสนใจจริง ๆ ข้าอยากจะรับเด็กคนนั้นมาเป็นศิษย์แล้วศึกษาให้ละเอียดเลย ฮ่า ๆ"

ทางด้านนักพรตชราที่หน้าตาเคร่งขรึมนั่งอยู่บนสุด ไม่พูดไม่จา ผ่านไปครู่ใหญ่เขาก็ถอนหายใจออกมา "ศิษย์น้องเฟิง เจ้าแน่ใจหรือ?"

บัณฑิตแซ่เฟิงลุกขึ้นยืน ชุดคลุมยาวพลิ้วไสว และโค้งคำนับ "ศิษย์พี่จ้าวสำนัก เรื่องนี้ข้าน้อยไม่ผิดพลาด ตอนแรกข้าน้อยก็คิดว่าตัวเองตื่นเต้นจนเกินไป ทำให้ตัดสินใจผิดพลาด จึงให้ผู้อาวุโสหลายคนที่ไปด้วยและช่วยกันตรวจสอบ แต่สุดท้ายก็ยืนยันได้ว่าเป็นรากวิญญาณหลากธาตุ"

"น่าเสียดายจริง ๆ รากวิญญาณหลากธาตุ ต่อให้มีทรัพยากรมากมายแค่ไหน คงฝึกฝนได้ถึงแค่ขอบเขตสร้างรากฐาน น่าเสียดาย น่าเสียดาย น่าเสียดายจริง ๆ" นักพรตชราพูดว่า "น่าเสียดาย" ซ้ำไปซ้ำมาสามครั้ง

"แล้วจะจัดการกับเด็กคนนั้นยังไงขอรับ?" บัณฑิตแซ่เฟิงถามจ้าวสำนัก

"ฆ่าทิ้งไปเสีย เก็บเอาไว้ทำไม? เปลืองทรัพยากรเปล่า ๆ คนแบบนี้จะมีโอกาสได้ยังไง? ได้มาก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร มองแล้วก็หงุดหงิด ตัดไฟแต่ต้นลมดีกว่า" ชายร่างกำยำผิวคล้ำที่ชายแขนเสื้อมีลวดลายสีทองรูปเข็มทิศพูดอย่างไม่สบอารมณ์

ตอนนี้ก็มีหลายคนพยักหน้าเห็นด้วย ทรัพยากรสำหรับการบำเพ็ญเซียนมีไว้สำหรับคนที่คู่ควร คนที่ไม่มีอนาคตก็ปล่อยให้ไปตามยถากรรม โลกแห่งการบำเพ็ญเซียนไม่ได้มีความเห็นอกเห็นใจ

"ศิษย์พี่หลีเมื่อครู่ไม่ได้บอกว่าจะรับเขาเป็นศิษย์หรือ? ฮ่า ๆ" มีคนพูดกับหญิงสาวโฉมงามที่รูปร่างอวบอิ่ม

"ใช่แล้ว ใช่แล้ว ข้าจะรับเขาเป็นศิษย์ ข้าเคยได้ยินเรื่องร่างกายแบบนี้ จึงอยากจะลองสัมผัสดู" หญิงสาวโฉมงามพูดพลางมองไปรอบ ๆ ส่งยิ้มหวาน

คนที่อยู่ข้างล่างเห็นรอยยิ้มของนางก็รู้สึกหนาวไปถึงกระดูกสันหลัง ‘ถ้าเจ้าเด็กนั่นได้เป็นศิษย์ของยัยแก่คนนี้ จะรอดได้พ้นวันหรือไม่?’

นักพรตชราที่หน้าตาเคร่งขรึมได้ฟังก็ส่ายหน้า "ไม่ได้ ศิษย์น้องหลีร่างพิษแหลกสลายเป็นร่างกายแบบไหน? เลือดกับน้ำทุกหยดสามารถเปลี่ยนเป็นพิษได้ จะให้เจ้ารับเขาเป็นศิษย์ได้ยังไง?"

"โอย ศิษย์พี่ ข้ารับเขาเป็นศิษย์แล้วมันยังไง? ข้าจะรับศิษย์อย่างสงบสุขบ้างไม่ได้หรือ? ข้าก็ไม่ได้บอกว่าจะเอาเขาไปทำของต่ำ ๆ สักหน่อย" หญิงสาวโฉมงามหันไปมองนักพรตชราที่นั่งอยู่บนสุดด้วยความไม่พอใจ

"ศิษย์น้อง ถึงแม้เด็กคนนั้นจะมีรากวิญญาณหลากธาตุ แต่ถ้าให้ทรัพยากรเขามาก ๆ ก็มีโอกาสฝึกฝนจนถึงขอบเขตสร้างรากฐานได้ และด้วยร่างพิษแหลกสลายนั้น ถ้าฝึกฝนจนถึงขอบเขตสร้างรากฐานขั้นสูง ต่อให้เป็นยอดฝีมือขอบเขตแก่นทองคำก็มีไม่กี่คนที่กล้าบอกว่าเอาชนะเขาได้

ร่างกายที่แข็งแกร่งขนาดนั้นกับพิษที่แปลกประหลาด จะมองข้ามได้ยังไง? เพราะฉะนั้น ต่อให้เป็นรากวิญญาณหลากธาตุ ถ้าใช้ให้เป็นประโยชน์ก็สามารถต่อกรกับขอบเขตแก่นทองคำได้ ต่อให้แย่ที่สุด ฝึกฝนจนถึงขอบเขตรวมลมปราณขั้นสูง ผู้ฝึกตนขอบเขตสร้างรากฐานก็ยากที่จะเอาชนะ" นักพรตชราพูดพลางมองไปที่คนข้างล่าง

คนที่อยู่ด้านล่างต่างก็บำเพ็ญเพียรมานานหลายร้อยปี ใครบ้างจะไม่ฉลาด เพียงแต่ความแตกต่างที่มากเกินไปทำให้พวกเขาเสียสติไปชั่วขณะ อะไรเช่นร่างพิษแหลกสลายนี้ หลายร้อยล้านปีที่ผ่านมามีแค่สามคนเท่านั้นที่ฝึกฝนได้ ตอนนี้กลับมีคนที่ฝึกฝนได้ถึงขั้นนี้ทั้งที่เป็นขอบเขตรวมลมปราณ น่าเสียดายที่ฝึกฝนได้ถึงแค่ขอบเขตสร้างรากฐาน ความเสียใจนี้มากมายเกินกว่าจะบรรยาย

หญิงสาวโฉมงามเห็นนักพรตชราพูดแบบนั้น ขณะกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นก็มีเสียงใส ๆ ดังขึ้น "ศิษย์พี่เจ้าสำนัก ศิษย์พี่หลี ข้าว่าให้เด็กคนนั้นมาเป็นศิษย์ของข้าเถอะ ข้าจะรับเขาเป็นศิษย์นอกสำนักก่อน" ทุกคนมองหาต้นเสียง ก็พบว่าเป็นศิษย์น้องเว่ยแห่งยอดเขาไผ่น้อยที่ยิ้มเงียบ ๆ อยู่ตลอด

"โอ้โห ศิษย์น้องเล็ก แปลกดีเสียจริง เจ้าเป็นถึงผู้ฝึกตนขอบเขตแก่นทองคำ เหตุใดถึงอยากรับศิษย์ขอบเขตรวมลมปราณล่ะ?" หญิงสาวโฉมงามยิ้มหวานให้ชายหนุ่มร่างท้วมที่นั่งยิ้มอยู่บนเก้าอี้

"ศิษย์พี่ เมื่อครู่ท่านก็บอกว่าจะรับเขาเป็นศิษย์ไม่ใช่หรือ? หรือว่าพูดเล่น ๆ? หรือว่าอยากรับเขาไปทำของต่ำ ๆ? ศิษย์เจ็ดคนของข้า ก็มีศิษย์นอกสำนักที่อยู่ในขอบเขตรวมลมปราณหนึ่งคน เพิ่มอีกคนก็ไม่เป็นไร พอพวกเขาฝึกฝนจนถึงขอบเขตสร้างรากฐาน ข้าก็จะรับพวกเขาเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการ ยิ่งไปกว่านั้น พวกท่านก็บอกแล้วว่าเขามีรากวิญญาณหลากธาตุ ต้องใช้ทรัพยากรมากมายขนาดไหน ทรัพยากรของยอดเขาอื่น ๆ ... ฮ่า ๆ" ศิษย์น้องเว่ยที่อ้วนท้วนพูดพลางมองหญิงสาวด้วยรอยยิ้ม

หญิงสาวโฉมงามได้ฟังก็พูดไม่ออก คนอื่น ๆ ก็พยักหน้าเห็นด้วย เพราะถ้าพูดถึงทรัพยากร ยอดเขาไหนจะเทียบกับยอดเขาไผ่น้อยได้ ทั้งยอดเขารวมคนรับใช้ด้วยก็ยังไม่ถึงยี่สิบคน ต่อให้ถูกหักทรัพยากรไปมากทุกปี ก็ยังไม่มีใครเทียบได้

มันเป็นสาเหตุที่หลายปีมานี้ ศิษย์ของยอดเขาอื่น ๆ ยิ่งเพิ่มมากขึ้น การแย่งชิงทรัพยากรก็ยิ่งดุเดือด ตอนนี้ศิษย์ใหม่ต่างก็อยากจะเข้ายอดเขาไผ่น้อย แม้แต่ศิษย์ที่เคยออกจากยอดเขาไผ่น้อยไปแล้วยังเสียใจ แต่ตอนนั้นพวกเขาจะไปรู้ได้อย่างไรว่าสุดท้ายผู้นำยอดเขาคนนี้จะเก็บศิษย์เอาไว้แค่ไม่กี่คนและปิดยอดเขา ทำให้ถึงแม้ทรัพยากรจะถูกแบ่งตามจำนวนคน แต่ก็ไม่มีการแย่งชิง

นักพรตชราผู้มีหน้าตาเคร่งขรึมจึงพยักหน้าเห็นด้วย เขารู้สึกว่าในที่สุดศิษย์น้องอ้วนคนนี้ก็คิดถึงสำนักบ้างแล้ว "ศิษย์น้องเว่ย เจ้าพูดถูกแล้ว เจ้าก็รับเขาไป ฝึกฝนเขาให้ดี บางทีต่อไปอาจจะเป็นกำลังสำคัญ ต่อไปจะได้เพิ่มทรัพยากรให้ยอดเขาไผ่น้อยมากขึ้น"

"ศิษย์พี่จ้าวสำนัก ยอดเขาไผ่น้อยของศิษย์น้องเว่ยมีคนแค่นั้น ท่านยังจะเพิ่มให้อีก ท่านลำเอียงเกินไปแล้ว"

"ใช่ ๆ ศิษย์พี่จ้าวสำนัก พวกข้ามีคนตั้งหลายพันคน ตลอดทั้งปีนั้นชักหน้าไม่ถึงหลัง..."

“.......”

"หุบปาก พวกเจ้าทำตัวให้มันเรียบร้อยหน่อย ถึงแม้ยอดเขาไผ่น้อยจะมีคนน้อย แต่ทุกปีก็ได้รับทรัพยากรไม่น้อย ใครบ้างจะไม่รู้? แค่ไม่ได้มีการแย่งชิงระหว่างศิษย์ด้วยกันเท่านั้น อีกสี่ปีก็จะถึงช่วงเวลาที่สี่สำนักใหญ่ร่วมกันสำรวจดินแดนลับเพื่อเก็บพืชวิญญาณกับวัตถุวิญญาณต่าง ๆ พืชวิญญาณกับวัตถุวิญญาณที่ได้มาจะถูกแบ่งเพิ่มให้อีกหนึ่งส่วนทุกปีในสิบปีข้างหน้า ยิ่งไปกว่านั้น การต่อสู้กับพวกที่เรียกตัวเองว่าพรรคธรรมะพวกนั้น จะมีแค่ของที่ได้มาตอนสำรวจหรือ?" นักพรตชราพูดด้วยสีหน้าเย็นชา

คนที่อยู่ข้างล่างได้ฟังก็รู้สึกตื่นเต้น คิดในใจว่า ‘เพิ่มให้อีกหนึ่งส่วนทุกปี เยอะเหมือนกัน’

ยามนึกถึงผลลัพธ์ในการสำรวจกับสีหน้าบึ้งตึงของพวกพรรคธรรมะ ก็อดไม่ได้ที่จะคิดคำนวณ

จากนั้น ทุกคนจึงปรึกษาหารือเรื่องอื่น ๆ อีกครึ่งชั่วยาม ต่อมาค่อยทยอยเดินออกจากโถงใหญ่ แสงสีต่าง ๆ สว่างวาบเกิดขึ้นแล้วก็หายไป

หลี่เหยียนนั่งอยู่บนเตียงอย่างเหม่อลอย มองดูนกวิเศษที่บินอยู่ข้างนอกหน้าต่าง ลมปราณเซียนลอยวนอยู่เหนือสระน้ำ เขารู้สึกเหมือนฝันไป

เมื่อคืนตอนที่เขาตื่นขึ้นมา ก็ได้กลิ่นไม้จันทน์อ่อน ๆ จนค่อย ๆ ลืมตาขึ้น ภาพที่เห็นคือม่านสีขาว ตรงม่านมีพู่ห้อยอยู่ มันพัดไหวไปตามลม ใต้ร่างกายของเขาเป็นเตียงไม้นุ่ม ๆ ตรงหัวเตียงมีลวดลายสวยงามประดับประดาอยู่ บนตัวเขาเป็นผ้าห่มลายสวยงาม มองไปรอบ ๆ พบว่าห้องนี้มีขนาดไม่ใหญ่ นอกจากเตียงที่เขานอนอยู่แล้ว ใกล้เคียงหน้าต่างยังมีโต๊ะกับเก้าอี้ หน้าต่างเป็นแบบโปร่ง ข้างนอกหน้าต่างเป็นทิวทัศน์ที่สวยงามราวกับแดนสวรรค์ มีภูเขา มีสระน้ำ มีบัวสีเขียวขจี มีดอกบัวสีชมพู มีปลาสีทองกระโดดขึ้นมาจากน้ำเป็นครั้งคราว แล้วก็ตกลงไป ทำให้น้ำกระเด็นไปโดนใบบัว กลายเป็นหยดน้ำใสแจ๋ว ค่อย ๆ ไหลไปตามขอบใบไม้สีเขียว แล้วจึงหยดลงไปในสระน้ำ

เขาส่ายหัว และมองไปรอบ ๆ อีกครั้งด้วยความไม่อยากจะเชื่อ มันก็ยังเหมือนเดิม เขานอนอยู่ในห้อง ไม่ใช่ในป่าในภูเขามหามรกต เขาลองขยับตัว ก็ไม่พบความผิดปกติใด ๆ ในใจก็ถอนหายใจ นี่ไม่ใช่ความฝัน ไม่ใช่จิตสำนึก ขาของเขาข้างหนึ่งบาดเจ็บ อีกข้างหนึ่งหัก พิษไฟในร่างกายก็กำเริบ แต่ตอนนี้กลับไม่รู้สึกเจ็บปวดใด ๆ เขาเหลือแค่จิตวิญญาณแล้วหรือ?

ที่นี่คือที่ไหน? ครั้งก่อนในโลกแห่งจิตสำนึก เขายังคิดว่าเป็นนรกจนกลายเป็นเรื่องตลก ครั้งนี้คงไม่ผิดพลาดแล้ว เขาขยับตัว พบว่าตัวเองขยับได้ ไม่มีข้อจำกัดใด ๆ จึงพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง กำลังจะลงจากเตียง พอเปิดผ้าห่มออก เขาก็ตกตะลึง เพราะไม่น่าจะเป็นวิญญาณ

เขายังคงสวมชุดดำขาด ๆ ที่มีรอยเลือดเปรอะเปื้อนอยู่ เขาจึงดึงชายเสื้อขึ้นอย่างลังเล มองดูขา กางเกงก็ยังเป็นตัวเดิมที่เขาใส่เมื่อวาน มีรอยเลือดเปรอะเปื้อนอยู่ เพียงแต่ตรงหน้าแข้งขวากับต้นขาซ้ายมีรอยฉีกขาด เผยให้เห็นกล้ามเนื้อข้างใน เขาก็ยิ่งสงสัย จึงดึงรอยฉีกขาดบนขากางเกงให้กว้างขึ้น ก็เห็นว่าเป็นขาที่ไม่มีบาดแผลใด ๆ

เขายกขาขวาขึ้น ก็ยังไม่พบความผิดปกติใด ๆ แต่เขายังจำได้ว่าตอนนั้นเขาใช้ขาขวาเตะจี้กุนซือ แล้วยังถูกจี้กุนซือใช้แรงหักขา ตอนนี้กลับไม่มีรอยแผลใด ๆ ขณะมองไปที่ต้นขาซ้าย ตรงนั้นก็ไม่มีรอยแผลใด ๆ ไม่มีร่องรอยการโจมตีของเคล็ดวิชาใบมีดลมเลยด้วยซ้ำ หรือว่าการที่เขาฆ่าจี้กุนซือก่อนหน้านี้เป็นความฝัน? หรือว่าตอนนี้เป็นความฝัน? เขาจึงยกมือขึ้นมาหยิกหน้าตัวเอง

"เจ้าตื่นแล้ว" ในขณะที่รู้สึกเจ็บที่หน้า ก็มีเสียงดังขึ้นข้างหู

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด