ตอนที่แล้วบทที่ 48 แยกย้ายและจากลา
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 50 ร่างพิษแหลกสลาย

บทที่ 49 สำนักหวั่งเหลี่ยง


บทที่ 49 สำนักหวั่งเหลี่ยง

*หวั่งเหลี่ยง เป็นภูตผีชนิดหนึ่งในจีน มักพบได้ตามสถานที่ชื้นแฉะและมืด

ในโลกมนุษย์อันกว้างใหญ่ไพศาล แบ่งออกเป็นห้าส่วน ได้แก่ ทวีปเทพวายุ ทวีปจันทรา ทวีปหลงลืม ทวีปมรกต ทวีปน้ำแข็งทิศเหนือ แต่ละส่วนล้วนกว้างใหญ่ไพศาล ภายในชั่วชีวิต ยากที่จะมีใครเดินทางออกจากทวีปที่ตัวเองอยู่

สาเหตุหนึ่งก็เพราะแต่ละทวีปมีขนาดใหญ่เกินกว่าจะจินตนาการได้ อีกทั้งระหว่างสองทวีปที่อยู่ติดกันยังมีดินแดนอันตรายที่ไม่มีใครรู้จักกั้นกลางอยู่หลายล้านลี้ นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้แต่ละทวีปไม่สามารถรุกรานกันได้

ดินแดนอันตรายที่ไม่มีใครรู้จักเหล่านี้อาจจะเป็นดินแดนรกร้างที่ไม่มีสิ่งมีชีวิต ป่าดงดิบที่เต็มไปด้วยหมอกพิษ ทะเลทรายร้อนระอุที่เผาผลาญทุกสิ่ง หรือทุ่งหิมะอันหนาวเหน็บที่ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง สัตว์อสูรระดับสองหรือระดับสามมีอยู่มากมายในดินแดนอันตรายเหล่านี้ แม้แต่สัตว์อสูรโบราณระดับสี่ก็ยังมีซ่อนตัวอยู่ การจะข้ามไปยังอีกทวีปหนึ่งนั้นถือเป็นเรื่องเพ้อฝัน

แต่ก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นเสมอไป มีคนบางประเภทที่สามารถข้ามทวีปได้ นั่นก็คือผู้บำเพ็ญเซียน แต่ต้องเป็นผู้บำเพ็ญเซียนระดับสูงเท่านั้น เมื่อฝึกฝนจนถึงขอบเขตปฐมวิญญาณ ผู้บำเพ็ญเซียนก็จะมีอิทธิฤทธิ์เคลื่อนย้ายแม่น้ำถมทะเลได้

แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่ได้มั่นใจว่าจะทำได้ สาเหตุก็คือดินแดนอันตรายระหว่างทวีปมีขนาดใหญ่เกินไป และยังเต็มไปด้วยอันตรายมากมาย สัตว์อสูรโบราณระดับสี่มีพลังเทียบเท่ากับผู้บำเพ็ญเซียนขอบเขตปฐมวิญญาณ คนเพียงคนเดียวจะต้านทานได้สักกี่ตัว?

ทวีปจันทรา ตั้งแต่ยุคบรรพกาล ก็มีผู้บำเพ็ญเซียนจากแดนเซียนวิญญาณที่ทะลวงผ่านมิติมาที่นี่ แล้วก็ตั้งรกราก สืบเชื้อสายกันมา หลายร้อยล้านปีมานี้มีสำนักน้อยใหญ่เกิดขึ้นมากมาย บ้างก็ยิ่งใหญ่ขึ้น บ้างก็หายสาบสูญไปในประวัติศาสตร์ สำนักใหญ่กลืนสำนักเล็ก สำนักแข็งแกร่งกลืนสำนักอ่อนแอ ผ่านการเปลี่ยนแปลงมามากมาย

บนทวีปจันทราแห่งนี้ มีสำนักน้อยใหญ่หลายพันแห่ง แบ่งออกเป็นสี่ระดับ ได้แก่ สำนักกระจอกงอกง่อย สำนักระดับสาม สำนักระดับสอง สำนักระดับหนึ่ง

สำนักกระจอกงอกง่อยกับสำนักระดับสาม ส่วนใหญ่มีคนไม่กี่ร้อยคน น้อยสุดก็มีแค่สุนัขสองสามตัว พลังสูงสุดก็มีแค่ผู้ฝึกตนขอบเขตสร้างรากฐานหนึ่งถึงสองหรือสามคน หรือบางทีทั้งสำนักก็มีแต่ผู้ฝึกตนขอบเขตรวมลมปราณ

สำนักระดับสอง ส่วนใหญ่จะมีผู้ฝึกตนมากกว่าพันคน บางทีก็หลายพันคน ในสำนักมีผู้ฝึกตนขอบเขตแก่นทองคำขั้นสูงอยู่หลายคน สำนักประเภทนี้มักจะพบเห็นได้ทั่วไปในโลก เป็นกำลังหลักของโลกผู้บำเพ็ญเซียน

ส่วนสำนักระดับหนึ่งบนทวีปแห่งนี้มีแค่สี่สำนัก พวกเขาแบ่งทวีปแห่งนี้ออกเป็นสี่เขต และร่วมดูแลชะตากรรมของทวีปแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการสถาปนาหรือการเปลี่ยนแปลงราชวงศ์ของมนุษย์ หรือการแบ่งทรัพยากรในโลกผู้บำเพ็ญเซียน การจัดระดับสำนัก ล้วนถูกควบคุมโดยสี่สำนักนี้

ได้แก่ นิกายมหาลึกล้ำ สำนักสุขาวดี สำนักสิบก้าว สำนักหวั่งเหลี่ยง

นิกายมหาลึกล้ำนับถือเต๋า สำนักสุขาวดีนับถือพุทธ สำนักสิบก้าวใช้กระบี่บิน สำนักหวั่งเหลี่ยงเชี่ยวชาญการใช้พิษ แมลง และการลอบสังหาร

สี่สำนักนี้ต่างก็มีเซียนโบราณขอบเขตปฐมวิญญาณที่บำเพ็ญเพียรมานานกว่าพันปีคอยปกปักรักษา มีผู้ฝึกตนขอบเขตแก่นทองคำขั้นสูงหลายสิบคน มีกำลังรบมหาศาล มีศิษย์ขอบเขตสร้างรากฐานกับรวมลมปราณมากมาย ฐานกำลังแข็งแกร่ง

แต่สำนักเหล่านี้ไม่ค่อยปรากฏตัวในโลกมนุษย์ บางทีหากมีสมบัติล้ำค่าปรากฏขึ้น หรือเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ พวกเขาถึงจะปรากฏตัวออกมา ส่วนใหญ่มักจะเก็บตัวฝึกฝนอย่างขะมักเขม้น หรือไม่ก็ออกไปผจญภัยในดินแดนอันตรายเพื่อแสวงหาโอกาส ไขว่คว้าหนทางแห่งความเป็นอมตะ

ทางตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปจันทรา มีภูเขาสูงสลับซับซ้อนปกคลุมไปด้วยพืชพรรณหนาทึบ ต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้า ใบไม้ปกคลุมท้องฟ้า มองไปทางไหนก็เขียวขจี

สำนักหวั่งเหลี่ยงอันเป็นหนึ่งในสี่สำนักใหญ่ก็ตั้งอยู่ที่นี่ ประกอบด้วยภูเขาห้าลูก เรียงกันเป็นตัว "山" ตามอักษรจีน สี่ลูกเรียงกันอยู่สองข้าง ข้างละสองลูก ลูกสุดท้ายอยู่ตรงกลางด้านหลัง อาคารบนภูเขาลูกต่าง ๆ ส่วนใหญ่หันหน้าไปทางทิศใต้

แต่ละลูกมีพื้นที่กว้างขวางและสูงเสียดฟ้า ภูเขาสองลูกทางทิศตะวันตกชื่อว่า "ยอดเขาไผ่น้อย" กับ "ยอดเขาไม่พราก" ภูเขาสองลูกทางทิศตะวันออกชื่อว่า "ยอดเขาสี่ทิศ" กับ "ยอดเขาแมลงวิญญาณ" ภูเขาที่อยู่ตรงกลางด้านหลังชื่อว่า "ยอดเขามหาปกครอง"

ตอนนี้ เหนือยอดเขามหาปกครองมีนกกระเรียนกับนกวิเศษบินวนไปมาเป็นครั้งคราว มีศาลาที่ตกแต่งอย่างสวยงาม มีศาลาพักผ่อน มีม่านน้ำ มีเมฆหมอกปกคลุม ลอยไปมา เส้นทางคดเคี้ยวทอดยาวไปยังจุดที่ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก

ภายในโถงใหญ่บนยอดเขามหาปกครอง มีคนสิบกว่าคนยืนเรียงกันเป็นสองแถว กำลังสนทนากัน

คนที่เป็นหัวหน้านั่งอยู่กลางโถงใหญ่ คนคนนี้สูงประมาณเจ็ดฉื่อ คิ้วหนา ตาโต หน้าขาวซีด เคร่งขรึม ดวงตาเป็นประกาย มีอายุประมาณห้าสิบกว่า ๆ แต่งตัวเป็นนักพรต ผมดำขลับมัดเป็นมวย มีปิ่นหยกเล่มหนึ่งปักอยู่ มีไม้ปัดฝุ่นอันหนึ่งเหน็บอยู่บนแขน

คนที่อยู่ข้างล่างแบ่งเป็นสองแถว มีทั้งคนสูง คนเตี้ย คนอ้วน คนผอม คนหน้าตาดี คนหน้าตาขี้เหร่ มีทั้งผู้ชายผู้หญิง พวกเขาต่างก็สวมชุดคลุมยาวสีเขียวเข้ม มองดี ๆ จะเห็นว่ามีลวดลายสีทองปักอยู่ที่ชายแขนเสื้อ มีทั้งแบบเดียวกันและต่างกัน

"งั้นเรื่องการประลองห้าปีก็เป็นตามนี้ ตอนบ่ายก็แจกรางวัลให้กับคนที่ติดหนึ่งในสิบอันดับแรกทั้งหมด" ชายชราผู้แต่งตัวเป็นนักพรตที่เป็นหัวหน้าสะบัดแขนเสื้อข้างหนึ่ง ก่อนหยิบไม้ปัดฝุ่นที่เหน็บอยู่บนแขนอีกข้างหนึ่งขึ้นมาปัดเบา ๆ แล้วพูดขึ้น

ตอนที่สะบัดแขนเสื้อก็เผยให้เห็นลวดลายสีทองรูปหม้ออยู่ที่ชายแขนเสื้อ แต่รูปหม้อนี้กลับเป็นรูปสัตว์ร้ายอ้าปากกว้างเงยมองฟากฟ้า ทำให้คนที่เห็นรู้สึกไม่เข้ากับท่าทางของนักพรตของเขา

"รับบัญชา ท่านจ้าวสำนัก" คนที่อยู่ข้างล่างทั้งสองแถวตอบรับพร้อมกัน

"คนที่ติดหนึ่งในสิบอันดับแรกครั้งนี้ ยอดเขาไผ่น้อยของศิษย์น้องเว่ยมีแค่สี่คนที่เข้าร่วม มีสองคนที่ได้รางวัล เทียบกับศิษย์ของพวกเราที่เข้าร่วมหลายสิบหลายร้อยคนแล้ว ก็น่าขายหน้าจริง ๆ"

บัณฑิตหนุ่มวัยสามสิบกว่าผู้มีเคราแพะสามเส้นพูดขึ้นพร้อมกับยิ้มให้กับคนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ใบหน้าของเขาขาวผ่อง ดวงตาเรียวเล็ก สวมหมวกบัณฑิต ที่ชายแขนเสื้อมีลวดลายสีทองรูปงูตัวหนึ่งอ้าปากกว้าง เผยเขี้ยวที่แหลมคม ตอนที่ขยับแขนเสื้อ ก็เหมือนกับว่าเป็นงูที่มีชีวิต เลื้อยไปมา อ้าปากหุบปาก คนคนนี้ก็คือบัณฑิตชุดเขียวอมฟ้าที่สั่งให้ไปจับจี้กุนซือเมื่อหลายวันก่อน

คนที่เขามองก็คือคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม คนคนนั้นสูงประมาณเจ็ดฉื่อกว่า ๆ รูปร่างท้วมเล็กน้อย สวมหมวกบัณฑิต คิ้วหนา ดวงตาใส ริมฝีปากหนา ไม่มีหนวดเครา อายุประมาณยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี มีท่าทางใจดี ที่ชายแขนเสื้อมีลวดลายสีทองรูปต้นไผ่ ตอนนี้บนใบหน้ากลม ๆ ของเขามีรอยยิ้ม มองไปที่บัณฑิตหนุ่ม

หลังจากที่บัณฑิตหนุ่มพูดจบ คนอื่น ๆ ก็พยักหน้าเห็นด้วย

หญิงสาวสวยวัยสี่สิบกว่า ๆ ได้ฟังก็ยิ้มหวาน "ศิษย์พี่เฟิงพูดถูกแล้ว ศิษย์น้องเล็กเป็นแบบนี้ทุกที แล้วข้าจะสั่งสอนศิษย์คนอื่น ๆ ได้ยังไง?" นางพูดพลางขยับตัว ดวงตาสวยเหลือบมองไปมา มีเสน่ห์มาก ชุดคลุมสีเขียวเข้มที่สวมใส่ก็ไม่ได้ดูใหญ่เทอะทะ กลับขับเน้นให้รูปร่างดูดี พูดพลางขยับตัวไปมา เผยให้เห็นผิวขาว ๆ ที่เนินอกเป็นระยะ ๆ

คนที่อยู่ในโถงใหญ่รีบก้มหน้าหรือหันหน้าหนี สบถอยู่ในใจว่า "ยัยแก่ ก็บอกว่าพูดก็พูดไปสิ ทำไมต้องใช้มารยาด้วย?"

นักพรตชราที่นั่งอยู่บนสุดก็รู้สึกเขินอาย ศิษย์น้องหญิงคนนี้ไม่รู้จักกาละเทศะ พูดทีไรก็ต้องทำให้คนอื่นหวั่นไหว

"ข้าว่านะ ศิษย์น้องเว่ย เจ้าก็สบายเกินไป ปล่อยมือแล้วก็ว่างงานทุกวัน เจ้าเปิดรับศิษย์ไปเลย พวกข้าแต่ละยอดเขามีคนตั้งหลายพันคน" ชายร่างกำยำผิวคล้ำที่ชายแขนเสื้อมีลวดลายสีทองรูปเข็มทิศพูดขึ้น

"ศิษย์น้องเว่ย ถ้าทุกคนทำแบบเจ้า อีกพันปีข้างหน้าสำนักหวั่งเหลี่ยงคงเหลือแค่แมวสองสามตัวแล้วมั้ง" หญิงวัยกลางคนหน้าตาธรรมดา ๆ แต่มีแววตาเย็นชาพูดขึ้นด้วยสีหน้าบึ้งตึง ที่ชายแขนเสื้อของนางมีลวดลายสีทองรูปแมลงสองตัวกอดรัดกัน ดูแปลกประหลาดมาก

นักพรตชราที่นั่งอยู่บนสุดมองดูคนข้างล่างรุมวิพากษ์วิจารณ์ชายหนุ่มร่างท้วม หลับตาลงครึ่งหนึ่ง และคิดในใจว่า ‘ศิษย์น้องเว่ย ทุกครั้งไม่ว่าจะประลองใหญ่หรือประลองเล็ก พอจบแล้วก็จะเป็นแบบนี้ เจ้าไม่ยอมแบกรับภาระหน้าที่ในสำนักบ้างหรือ? ทำให้ในบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้อง มีแต่เจ้าที่สบายที่สุด ไม่ยุ่งเรื่องอะไรเลย แต่ทำให้พวกข้าเหนื่อยสายตัวแทบขาด สำนักนี้เจ้าก็มีส่วนได้ส่วนเสียนะ’ คิดได้ดังนั้นก็ถอนหายใจออกมาด้วยความน้อยใจ

เสียงพูดคุยกันดังขึ้น มีทั้งคนที่พูดกับคนที่นั่งลูบเคราอยู่เงียบ ๆ หรือไม่ก็มองดูด้วยตาหยี ชายหนุ่มร่างท้วมที่ถูกเรียกว่าศิษย์น้องเว่ยก็ไม่ได้โกรธ พอทุกคนพูดจบ เขาก็ยิ้มแล้วพูดว่า "ฮ่า ๆ ศิษย์พี่ ศิษย์น้อง ผู้อาวุโสทั้งหลาย ตั้งแต่ข้าฝึกฝนจนถึงขอบเขตแก่นทองคำก็ผ่านมาสองร้อยกว่าปีแล้ว พวกท่านยังคงจับผิดข้าไม่เลิก ข้าน้อยเข้าสำนักช้าที่สุด ขี้เกียจแบบนี้ขยันขึ้นมาไม่ได้หรอก ตอนนั้นอาจารย์มอบยอดเขาไผ่น้อยให้ข้า ข้าก็ไม่ยอมรับ แต่ท่านกลับยัดเยียดให้ ตอนแรกข้าก็รับศิษย์เหมือนกับสี่ยอดเขาที่เหลือ แต่สุดท้ายพวกเขาก็ไปอยู่ที่สี่ยอดเขานั่นหมด เหลือแค่ไม่กี่คนที่อยู่ต่อ ข้าไม่รู้จะจัดการยังไงจริง ๆ" พูดจบเขาจึงยักไหล่

"ก็ไม่ได้ส่งผู้อาวุโสไปช่วยเจ้าดูแลแล้วหรือ? สุดท้ายแม้แต่ผู้อาวุโสหลายคนก็ยังไม่อยากไป เจ้าก็สนใจผู้อาวุโสที่ส่งไปบ้างสิ เจ้ากลับดีแต่ปิดประตูฝึกฝนกับภรรยาเป็นสิบ ๆ ปี ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ผู้อาวุโสเขาก็ต้องฝึกฝนเหมือนกัน ต่างคนต่างก็ต้องมีแผนการ มีการเตรียมการ เจ้ากลับไม่สนใจเลย" มีคนบ่นออกมา

"ฮ่า ๆ ตอนนี้ข้าก็มอบเรื่องของยอดเขาไผ่น้อยให้ศิษย์เอกดูแลแล้ว อย่างเช่นการประลอง การแข่งขันจัดอันดับ ต้องคัดเลือกคนจากเป็นพัน ๆ คน เป็นร้อย ๆ ลี้ แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว" ศิษย์น้องเว่ยพูดด้วยสีหน้าไม่เต็มใจ

เขาหยุดไปครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง "ว่าแต่ ศิษย์พี่เฟิง เมื่อวานได้ยินว่าหน่วยปราบปรามของยอดเขาแมลงวิญญาณพาคนคนหนึ่งกลับมา เป็นร่างพิษแหลกสลาย ใช่เรื่องจริงหรือ? นี่ไม่ใช่เรื่องปกตินะ"

บัณฑิตหนุ่มที่ชายแขนเสื้อมีลวดลายสีทองรูปงูก็มีสีหน้าไม่สู้ดีขึ้นมาทันที เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยอดเขาของพวกเขาไม่อยากพูดถึง ช่วงหลายปีมานี้เหมือนกับก้างปลาติดคอ ถึงแม้ศิษย์ทรยศคนนั้นจะตายไปแล้ว แต่ก็เสียหน้ามาก สำนักสืบทอดกันมาตั้งนาน เพิ่งจะเคยมีคนขโมยเคล็ดวิชาไปได้

นักพรตชราที่นั่งอยู่บนสุดได้ยินก็ถอนหายใจ "ศิษย์น้องเว่ย เจ้าเปลี่ยนเรื่องอีกแล้ว นิสัยขี้เกียจแบบนี้ ไม่ไหวจริง ๆ" แต่พอได้ยินเรื่องนี้ เขาก็หันไปมองบัณฑิตหนุ่ม

"ศิษย์น้องเฟิง เมื่อวานข้าจัดการเรื่องการประลอง ได้ยินมาว่าเด็กคนนั้นที่ถูกพากลับมาก็ใกล้จะตาย ต้องได้รับการรักษา จึงไม่ได้ถามไถ่ มีเรื่องแบบนี้จริง ๆ หรือ?"

คนอื่น ๆ เห็นจ้าวสำนักเริ่มถามเรื่องอื่น ก็รู้ว่าเรื่องของ "ศิษย์น้องเว่ย" คงจบลงแค่นี้ จึงได้แต่ยิ้มและส่ายหน้า เมื่อครู่ก็แค่พูดเล่น ๆ ผ่านมาสองร้อยกว่าปีแล้ว ถ้าจะเปลี่ยนแปลงยอดเขาไผ่น้อย คงเปลี่ยนไปนานแล้ว เมื่อครู่ก็แค่ตำหนิติเตียนศิษย์น้องเล็กที่ขี้เกียจและใจดีคนนี้ก็เท่านั้น ส่วนผู้อาวุโสที่อยู่ข้าง ๆ ก็ชอบดูพวกเขาทะเลาะกัน เป็นครั้งคราวผู้บำเพ็ญเซียนก็ต้องหยอกล้อกันบ้างเหมือนกับคนธรรมดา

ทุกคนต่างก็มองไปที่บัณฑิตแซ่เฟิง บัณฑิตแซ่เฟิงใช้นิ้วมือเคาะที่พนักแขนเบา ๆ เหมือนกับกำลังเรียบเรียงคำพูด

"เหลียนซานหนีออกจากยอดเขามาได้ยี่สิบปีแล้ว พวกเราส่งคนออกไปตามล่าอยู่ตลอด จนกระทั่งปีที่แล้วพวกเราถึงได้พบตัวเขา หลังจากที่เขาหนีออกจากยอดเขาไปแล้ว คงจะออกตามหาโอกาสต่าง ๆ และเข้าไปในถ้ำของผู้บำเพ็ญเซียนขอบเขตแก่นทองคำคนหนึ่ง แต่เหลียนซานคนนี้ดวงซวย โดนเขตอาคมของถ้ำเล่นงานจนบาดเจ็บ หนีออกมาตายข้างนอก ถุงเก็บของของเขาก็ถูกทำลาย ของข้างในก็พังเสียหาย แต่ไม่พบเศษหยกบันทึกเคล็ดวิชาหรือหนังสือ จึงคิดว่าเคล็ดวิชาน่าจะไม่ได้รับความเสียหาย คงถูกคนอื่นเอาไป

จริง ๆ แล้วถ้ามันพังไป เรื่องก็คงจบลง พวกเราต้องการแค่ชีวิตของเขาและตามหาเคล็ดวิชาตัวจริง

หลังจากนั้นพอตรวจสอบรอบ ๆ ถ้ำ ได้ยินมาจากผู้ฝึกตนอิสระบางคนว่าเคล็ดวิชาน่าจะถูกคนของ 'พรรคแสวงเซียน' เอาไป คนประเภท 'พรรคแสวงเซียน' พวกท่านคงรู้จักดี พวกเขาไขว่คว้าหนทางแห่งการบำเพ็ญเซียนมาตลอดชีวิต ไม่ว่าจะได้เคล็ดวิชาเซียนบทไหนมาก็กล้าฝึกฝน ดังนั้นหน่วยปราบปรามจึงเริ่มจากสมุนไพรที่จำเป็นต้องใช้ในการฝึกฝน สุดท้ายก็ตามรอยไปถึงเขตแดนของราชวงศ์ที่อยู่ห่างออกไปหลายล้านลี้ พบว่ากุนซือคนหนึ่งในกองทัพชายแดนน่าจะฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ ทั้งยังฝึกฝนจนถึงขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่สามระดับสูงสุดแล้ว

เพราะเป็นเรื่องระหว่างพวกเรากับมนุษย์ หน่วยปราบปรามจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ หลังจากตรวจสอบแล้ว คนคนนั้นเคยซื้อสมุนไพรที่จำเป็นต้องใช้ในการฝึกฝน และเขายังเพิ่งจะปรากฏตัวที่นั่นเมื่อหกหรือเจ็ดปีก่อน ดูจากรูปร่างหน้าตาและลักษณะท่าทาง ก็พอจะเดาได้ว่าเขาเป็นคนที่ 'พรรคแสวงเซียน' มอบเคล็ดวิชาให้ จากที่แสดงออกมา เขาฝึกฝนอย่างฝืน ๆ คงเป็นเพราะหาสมุนไพรได้ไม่ครบ

สาเหตุที่เขามาอยู่ที่กองทัพก็พอจะเดาได้จากการที่เขารับศิษย์ในกองทัพ ไม่รู้ว่าไปได้เคล็ดวิชาดูดพลังมาจากไหน แต่คงคิดจะใช้วิธีนี้รักษาพิษไฟในร่างกาย ทว่าพลังปราณของเขามีน้อยนิด จะไปหาคนที่เหมาะสมได้ยังไง จึงได้แต่ตามหาคนที่มีรากวิญญาณในกองทัพ แต่คนคนนี้ก็ดวงดีมาก เขาพบคนธรรมดาสองคนที่มีรากวิญญาณ ทั้งยังเป็นธาตุไม้ทั้งคู่"

พูดถึงตรงนี้เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ "พวกเราตามหาคนที่มีรากวิญญาณจากมนุษย์แค่คนเดียวก็ยากแล้ว เขากลับเจอถึงสองคน โชคดีจริง ๆ"

คนอื่น ๆ ที่ได้ฟังต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด