บทที่ 565: ซุนเป่าปะทะจิ้งจอกถ่านอัคคี 1
บรรยากาศในสนามเงียบสงัดอย่างน่าประหลาดใจ
ผ่านไปประมาณสามวินาที ความเงียบที่อึดอัดก็ถูกทำลายลง ผู้ชมต่างส่งเสียงโห่ร้องออกมาอย่างอื้ออึง
"เฮ้ย?! เสมอเหรอ?!"
"พระเจ้า! หัวฉันไม่เคยคิดฉากจบแบบนี้มาก่อนเลย!"
"อ๊ากกก! ฉันแทงไว้ 1:3! อย่างนี้ฉันถือว่าฉันชนะไหม?!"
"เกิดอะไรขึ้นกับฟลีด้า? ทั้งที่มีปักษาสุญญากาศที่ชนะทางประเภทไฟแท้ๆ แถมยังระดับขั้นวิวัฒนาการก็ยังสูงกว่า แล้วแพ้ได้ยังไงกัน?"
"จะว่าแพ้ก็ไม่เชิงนะ มันเสมอต่างหาก"
"แต่คู่แข่งเขาสู้ไปตั้งหลายรอบแล้ว! พลังและความอึดของสัตว์อสูรคงใกล้หมดเต็มที แบบนี้จะต่างอะไรกับแพ้กันล่ะ?"
"ถ้าถามฉัน ต่อให้สัตว์อสูรของเฉียวซางไม่เคยลงแข่งมาก่อนและอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ฟลีด้าก็ไม่ควรจะเสมออยู่ดี"
"ฉันเริ่มชอบสัตว์อสูรตัวนั้นขึ้นมาซะแล้ว! การตอบโต้ครั้งสุดท้ายของมันเท่สุดๆไปเลย! วิ่งพุ่งไปงับทั้งๆที่ถูกโจมตีแบบนั้น นี่สัตว์อสูรทั่วไปต่อให้ผู้ฝึกสัตว์อสูรสั่งก็คงไม่กล้าทำหรอก!"
"เฉียวซาง! เฉียวซาง!" ผู้ชมบางส่วนถึงกับลุกขึ้นยืน ตะโกนชื่อของเธอด้วยความตื่นเต้นเหมือนพวกแฟนคลับคลั่งไคล้
พวกเขาคือกลุ่มที่แทงไว้ว่าเฉียวซางจะชนะ 1:3 ซึ่งตอนแรกพอแทงไปก็เริ่มรู้สึกเสียดาย
ฟลีด้าน่ะเป็นถึงผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับ D ที่ติดอันดับ 13 การแข่งขันประลองสัตว์อสูร D เมื่อปีที่แล้ว แถมยังมีสัตว์อสูรระดับนายพลอยู่ในมือ จะบอกว่าเป็นสุดยอดแห่งระดับ D ก็ไม่เกินจริง แล้วพวกเขาดันเชื่อว่าการที่เฉียวซางชนะรวดในยี่สิบกว่ารอบที่ผ่านมา จะทำให้เธอชนะฟลีด้าได้ถึงหนึ่งรอบเนี่ยนะ?
ปกติแล้วผู้ฝึกสัตว์อสูรมักจะส่งสัตว์อสูรตัวเดิมลงแข่งจนกว่าจะหมดแรงแล้วค่อยส่งตัวถัดไป
พอเห็นฟลีด้าส่งปักษาสุญญากาศออกมาเป็นตัวแรก หัวใจพวกเขาก็เหมือนจะหล่นไปถึงตาตุ่ม
สัตว์อสูรระดับนายพลกับระดับสูง ความต่างมันเหมือนฟ้ากับเหว
ในสถานการณ์ปกติ สัตว์อสูรระดับนายพลตัวเดียวก็สามารถเอาชนะสัตว์อสูรระดับสูงได้ถึงสามตัวอย่างสบายๆ
แม้จะไม่ได้พูดออกมา แต่ในใจทุกคนต่างก็ยอมรับว่าผลแพ้ชนะนั้นชัดเจนแล้ว ฟลีด้าคงใช้ปักษาสุญญากาศจบการแข่งขันนี้แบบไร้ข้อกังขา
แต่ใครจะไปคิดว่าเรื่องราวจะหักมุมได้ขนาดนี้ เฉียวซางกลับสร้างความประหลาดใจครั้งใหญ่ให้พวกเขา ทำให้การแข่งขันรอบแรกกลายเป็นการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกัน ปักษาสุญญากาศหมดสิทธิ์สู้ต่อไป
ในตอนนี้ ผู้ชมคนหนึ่งที่ไม่ได้ดูข้อมูลของคู่แข่งและแทงเฉียวซางว่าจะชนะ 3:0 พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเปรี้ยวๆว่า
"อย่าเพิ่งดีใจไป เผื่อเฉียวซางชนะรอบต่อไปอีกล่ะจะทำยังไง?"
ผู้ชมที่กำลังเฮลั่นถึงกับเหมือนถูกน้ำเย็นสาดใส่เต็มหน้า หมดอารมณ์จะตะโกนชื่อเธอต่อไปทันที
...
บนแท่นผู้บรรยาย ผู้บรรยายหลักและรับเชิญต่างตกตะลึงกับผลลัพธ์ที่ออกมา คนหนึ่งนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าต้องทำงานต่อ
“สัตว์อสูรของทั้งสองฝ่ายตกอยู่ในจุดศูนย์กลางของการระเบิด หลังการปะทะกันระหว่างวิหคทะลวงกับลำแสงทำลายล้างสัตว์อสูรทั้งคู่สูญเสียความสามารถในการต่อสู้อย่างสมบูรณ์”
“แต่มันน่าเหลือเชื่อมาก! ในสภาวะที่อากาศรอบตัวถูกดึงออกหมด สัตว์อสูรตัวนี้ที่ไม่เคยมีใครรู้จักมาก่อนกลับสามารถโจมตีตอบโต้ได้อย่างเหมาะเจาะในเวลาอันจำกัด และในช่วงสุดท้ายปักษาสุญญากาศก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากการจับกุมของมันได้ ทั้งที่ปักษาสุญญากาศนั้นมีระดับสูงกว่าถึงหนึ่งขั้น!”
“คุณเซวี่ยจื้อ คิดอย่างไรกับการแข่งขันเมื่อครู่นี้ครับ?”
“ฉันผิดหวังค่ะ” หวังเซวี่ยจื้อเอ่ยคำพูดที่ทำให้คนรอบข้างถึงกับอึ้ง
ผู้บรรยายหันมามองด้วยความประหลาดใจ
หวังเซวี่ยจื้อพูดต่อ “ปักษาสุญญากาศเป็นสัตว์อสูรระดับนายพล ซึ่งในทุกด้านมันควรจะเหนือกว่าสัตว์อสูรที่ไม่มีใครรู้จักตัวนี้ การใช้ความสามารถดูดอากาศรอบตัวจนทำให้ทักษะประเภทไฟของฝ่ายตรงข้ามแทบไร้ผลนั้นก็เป็นเรื่องจริง แต่มันดูเหมือนว่าฟลีด้าจะพยายามใช้ลักษณะเฉพาะตัวนั้นเอาชนะคู่ต่อสู้เร็วเกินไป”
“เธอดึงอากาศรอบตัวศัตรูจนหมดแล้ว จริงๆไม่จำเป็นต้องให้ปักษาสุญญากาศเข้าไปโจมตีในระยะใกล้ แค่ถอยออกมาและรอเวลาก็พอ”
“ถึงแม้ฟลีด้าจะคาดไม่ถึงว่าสัตว์อสูรที่ไม่รู้จักตัวนี้จะยอมพุ่งตัวใส่และจับปักษาสุญญากาศไว้ได้ แต่ในสถานการณ์นั้นเธอก็ควรปรับกลยุทธ์ทันที”
“ถ้าจะให้ฉันพูด เธอไม่ควรปล่อยให้ปักษาสุญญากาศคงการดูดอากาศในตอนที่ฝ่ายตรงข้ามกำลังใช้ลำแสงทำลายล้างอยู่ เธอควรสั่งให้ปักษาสุญญากาศหยุดใช้ทักษะนั้นแล้วโจมตีสวนกลับไปทันที”
“ช่วงสุดท้าย ระยะห่างชัดเจนว่าฝ่ายได้เปรียบคือปักษาสุญญากาศ ในฐานะสัตว์อสูรระดับนายพล ความสามารถในการโจมตีของมันย่อมสูงกว่าคู่ต่อสู้มาก และทุกคนรู้ว่าลำแสงทำลายล้างนั้นต้องใช้เวลาสะสมพลังงาน ไม่สามารถปล่อยออกมาได้ทันที”
“หากตอนนั้นฟลีด้าไม่ได้สั่งให้หลบ แต่เลือกให้ปักษาสุญญากาศใช้ทักษะโจมตีแทน ผลการแข่งขันคงไม่ออกมาแบบนี้แน่นอน”
คำพูดนี้ทำให้ผู้บรรยายรู้สึกเหมือนสายตาของฟลีด้าจากบนเวทีกำลังจ้องมาเหมือนลูกศรที่แหลมคม
ใจกล้าชะมัด… ผู้บรรยายลอบมองหวังเซวี่ยจื้อด้วยความกังวล
ก่อนหน้านี้ตอนที่เธอวิจารณ์ไนเดน เขายังคิดว่าเธอเป็นคนที่รู้จักวางตัว แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะคิดผิดถนัด…
หวังเซวี่ยจื้อพูดต่อ “ถ้าไม่ใช่เพราะในช่วงสุดท้ายปักษาสุญญากาศใช้วิหคทะลวงได้ทัน ฉันคงคิดว่าผลลัพธ์ของการแข่งขันนี้อาจจะกลายเป็นเฉียวซางชนะไปแล้ว”
“นอกจากนี้ การที่ฟลีด้าลงแข่งรอบนี้ เธอดูเหมือนไม่ได้เตรียมตัวมาดีพอ สังเกตได้ว่าปักษาสุญญากาศไม่มีอุปกรณ์เสริมใดๆ หรือการสลักลายเลย”
“ฉันไม่แน่ใจว่าเธอดูถูกคู่ต่อสู้หรือเปล่า…”
ผู้บรรยายเริ่มเหงื่อแตก รีบตัดบทพูดอย่างรวดเร็ว
“เอาล่ะ! การแข่งขันรอบถัดไปกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว! มาดูกันว่าทั้งสองฝ่ายจะส่งสัตว์อสูรแบบไหนมาแข่งในรอบนี้!”
หวังเซวี่ยจื้อหันไปให้ความสนใจกับการแข่งขันรอบใหม่ทันที
เฉียวซางโบกมือเล็กน้อยก่อนจะเก็บหยาเป่าที่หมดสติกลับเข้าไปในตำราอสูร
พูดตามตรง จุดประสงค์แรกเริ่มที่เธอมาร่วมแข่งขันในเวทีนี้ก็เพื่อให้หยาเป่าและพรรคพวกสะสมประสบการณ์และแต้มจากการต่อสู้จริง เรื่องแพ้ชนะจริงๆแล้วไม่ได้สำคัญมากนัก
แต่จะว่าไป บรรยากาศในสนามและความมุ่งมั่นที่จะชนะของหยาเป่าก็ส่งผลต่อจิตใจของเธออยู่ไม่น้อย
แน่นอนว่ายังมีเรื่องส่วนแบ่งรายได้ 20% นั่นอีก…
ถ้าเธอคิดรอบคอบกว่านี้ ตอนที่ได้ยินเสียงเชียร์ตอนฟลีด้าขึ้นเวที เธอน่าจะเก็บหยาเป่าที่ทั้งพลังและความอึดถูกใช้ไปเกินครึ่งกลับไปก่อน แล้วเรียกซุนเป่าหรือลู่เป่าออกมาแทน... เฉียวซางถอนหายใจลึกๆ พลางทบทวนความผิดพลาดของตัวเองก่อนจะประสานมือทำสัญลักษณ์
ในมุมมองแบบพาโนรามา กลุ่มดาวสีส้มเหลืองค่อยๆส่องแสงขึ้นมา และสัตว์อสูรประเภทผีตัวหนึ่งที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อนก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าทุกคน
ในเสี้ยววินาทีนั้น ทุกคนลืมไปเลยว่ายังมีกลุ่มดาวสีเขียวอยู่ด้านข้าง ความสนใจทั้งหมดหันไปจับจ้องที่การปรากฏตัวของสัตว์อสูรลึกลับตัวใหม่ เสียงฮือฮาในกลุ่มผู้ชมดังขึ้นราวกับคลื่นทะเล
"เฮ้ย! สัตว์อสูรที่ไม่เคยเห็นอีกแล้วเหรอ?!"
"พวกนายเห็นไหม? นั่นมันกลุ่มดาวสีส้มเหลือง!"
"เด็กคนนี้เป็นใครกันแน่เนี่ย?!"