บทที่ 171: พรสวรรค์ของสายเลือดระดับเทพเจ้ามายา!
บทที่ 171: พรสวรรค์ของสายเลือดระดับเทพเจ้ามายา!
[ชื่อ]: เถาวัลย์วิญญาณสวรรค์
[ระดับ]: ระดับสมบูรณ์ (ขั้นที่หนึ่ง)
[สายเลือด]: สายเลือดโบราณ (คุณภาพระดับเทพเจ้ามายา)
[พรสวรรค์ 1]: ปลดอาวุธ (หลังจากที่ศัตรูถูกเถาวัลย์กักขังและพันธนาการ จะไม่สามารถใช้อาวุธได้ชั่วคราว)
[พรสวรรค์ 2]: แก่นเเท้แห่งตะวันและจันทรา (ปล่อยละอองที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ช่วยฟื้นฟูพลังชีวิตจำนวนมากแก่พันธมิตรในระยะที่กำหนด และยังสามารถซ่อมแซมสิ่งก่อสร้างได้)
[พรสวรรค์ 3]: ดูดวิญญาณ (หลังจากสัตว์อสูรใดๆตายลง เถาวัลย์วิญญาณสวรรค์จะดูดซับวิญญาณของสัตว์อสูรนั้นโดยอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มความเร็วในการเติบโต)
[คุณสมบัติ]: สายเลือดโบราณ, ธาตุพืช, ธาตุพลังพิเศษ
[ความภักดี]: 100
[ทักษะ]:
[หนามมรณะ]: ปล่อยเถาวัลย์แตกแขนงจำนวนมากขึ้นมาจากใต้ดิน สร้างดินแดนแห่งหนาม ทำให้เกิดความเสียหายอย่างต่อเนื่องและทำให้ศัตรูเคลื่อนที่ช้าลง
[บ่วงมรณะ]: พันธนาการศัตรูราวกับงูยักษ์ เเละจะรัดแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ
[หิ่งห้อยสีเงิน]: ปล่อยอนุภาคแสงสีเงินจำนวนมากคล้ายหิ่งห้อย ปกคลุมกองทัพพันธมิตร ช่วยฟื้นฟูพลังชีวิตจำนวนมาก (การฟื้นฟูพลังชีวิตแต่ละครั้งมีขีดจำกัดสูงสุดที่ 60% ของพลังชีวิตสูงสุดของพันธมิตร)
[เส้นทางวิวัฒนาการ]: เถาวัลย์วิญญาณสวรรค์ → เถาวัลย์วิญญาณโลหิต → ราชาเถาวัลย์วิญญาณ → จักรพรรดิเถาวัลย์วิญญาณ → เถาวัลย์เทพมายาสวรรค์……
[เส้นทางวิวัฒนาการที่ซ่อนอยู่]: เถาวัลย์วิญญาณสวรรค์ → เถาวัลย์วิญญาณยมโลก → ดอกไม้อมตะเเห่งยมโลก……
[นิสัยและความชอบ]: อาบน้ำ (น้ำที่ใช้อาบต้องเป็นน้ำหวานจากดอกวิญญาณเรืองแสง)
….
หลังจากดูแผงข้อมูลแล้ว เซียวซิงหยูก็ยิ้มอย่างพอใจ
"สายเลือดโบราณ สมเเล้วที่เป็นสายเลือดระดับเทพเจ้ามายา…พรสวรรค์สายเลือดนี่มันสุดยอดจริงๆ"
เซียวซิงหยูวิเคราะห์จากแผงข้อมูล, ในตอนนี้ เถาวัลย์วิญญาณสวรรค์มีตำแหน่งเป็นอสูรสนับสนุน
โดยเฉพาะพรสวรรค์ที่สามารถฟื้นฟูพลังชีวิตให้กับพันธมิตรได้จำนวนมาก…ในการต่อสู้แบบกลุ่ม มันจะสามารถสร้างผลลัพธ์ที่เหนือความคาดหมายได้เลย
แน่นอนว่าในอนาคต เมื่อเถาวัลย์วิญญาณสวรรค์เติบโตและวิวัฒนาการด้วยการดูดซับวิญญาณของอสูรที่ตายแล้ว มันก็จะค่อยๆ เปลี่ยนจากอสูรสนับสนุนไปเป็นอสูรโจมตีได้ในที่สุด
"พูดก็พูดเถอะ เจ้าเงินน้อย เเกนี่เลี้ยงยากจริงๆ…ยากกว่าเลี้ยงเจ้าหญิงของประเทศเสียอีก!"
เซียวซิงหยูรู้สึกแบบนี้ เพราะแผงข้อมูลแสดงว่าเถาวัลย์วิญญาณสวรรค์ชอบแช่น้ำ…เเต่ต้องใช้น้ำหวานจากดอกวิญญาณเรืองแสงเป็นน้ำสำหรับแช่เท่านั้น มันถึงจะยอม
ดอกวิญญาณเรืองแสงหาได้ยากมากในโลกนี้ โจวซงพยายามอย่างหนักกว่าจะหามาได้สองช่อ, เซียวซิงหยูคำนวณคร่าวๆว่าต้องใช้น้ำหวานจากดอกวิญญาณเรืองแสงอย่างน้อยร้อยช่อ ถึงจะพอสำหรับแช่น้ำหนึ่งอ่าง
ทันใดนั้นเอง มันก็มีเสียงฝีเท้าเร็วๆดังมาจากนอกตรอก
"รายงานครับ เมื่อกี้มีแสงสีเงินส่องออกมาจากตรอกนี้!"
"หรือว่าจะมีอสูรบุก?"
"ฟังคำสั่ง ล้อมตรอกทั้งหน้าและหลัง อย่าให้อสูรหนีไปได้!"
เมื่อเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามา เถาวัลย์วิญญาณสวรรค์ก็ตกใจ วิ่งลงจากข้อมือขวาของเซียวซิงหยู แล้วมุดเข้าไปในกางเกงของเขาอย่างรวดเร็ว!
"โอ๊ย! เจ้าเงินน้อย อย่าทำแบบนี้นะ!"
เซียวซิงหยูร้องเสียงดังลั่น เถาวัลย์วิญญาณสวรรค์มุดเข้าไปในกางเกงของเขาแล้วไม่ยอมออกมา
เเละในตอนนี้ มันก็ได้มีคนสองกลุ่มเข้ามาล้อมเซียวซิงหยูไว้ในตรอก
เซียวซิงหยูเงยหน้าขึ้นมอง คนเหล่านี้สวมชุดทหาร เป็นหน่วยลาดตระเวนที่รับผิดชอบปกป้องเมืองหวงหยาน มีระดับประมาณสี่ดาวถึงห้าดาว
"นายหนุ่ม นายชื่ออะไร!"
"อะแฮ่ม ชื่อเซียวซิงหยูครับ"
"ฉันคือหัวหน้าหน่วยลาดตระเวน หานเว่ย เมื่อกี้มีคนแจ้งว่ามีแสงสีเงินส่องออกมาจากในตรอก เหมือนมีอสูรปรากฏตัว…นายรู้อะไรเกี่ยวกับเเสงนั้นบ้างไหม?"
เซียวซิงหยูกางมือออก ส่ายหัวแล้วพูดว่า "ผมไม่เห็นอะไรเลยครับ"
"หัวหน้า กางเกงของหมอนี่มันขยับได้!"
ทันใดนั้น สายตาของเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนทุกคนก็จับจ้องไปที่กางเกงของเซียวซิงหยู
ฝสถานการณ์นี้ทำให้เซียวซิงหยูถึงกับแข็งค้างเหมือนตายทั้งเป็น
หานเว่ยเตรียมอัญเชิญอสูรออกมา พร้อมกับจ้องมองอย่างดุร้าย
"ฉันสงสัยว่านายซ่อนอสูรไว้ในกางเกง!"
"พี่ใหญ่ พี่เข้าใจผิดแล้ว ใครเขาเอาอสูรมาซ่อนไว้ในกางเกงกัน? แถมเอาอสูรมาซ่อนในกางเกง ฟังดูมันพิลึกกว่าเอาอสูรมาซ่อนไว้ในบ้านอีกนะ"
"หัวหน้า ที่หมอนี่พูด มันก็จริงนะ"
เเต่หานเว่ยก็ยังคงไม่ปล่อยเขาไป "ยังไงก็เถอะ แต่งตัวแบบนี้ไม่เหมือนคนท้องถิ่น เอาตัวกลับไปสอบสวน!"
เซียวซิงหยูทนไม่ไหวแล้ว จึงหยิบป้ายออกมา
"ใครกล้าแตะต้องผม!"
"หัวหน้า นั่นป้ายเจ้าเมือง!"
ทันใดนั้น, ท่าทีของหานเว่ยก็เปลี่ยนไป 180 องศาในทันที
เขารีบก้มหัวขอโทษไม่หยุด
"ขอโทษครับ ผมตาต่ำ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ขออภัยด้วยครับ!"
นอกจากโจวซงแล้ว ใครก็ตามที่ถือป้ายเจ้าเมือง...นั่นหมายความว่าเขาเป็นคนสนิทของโจวซง
เห็นป้ายเหมือนเห็นเจ้าเมือง หานเว่ยทำงานในหน่วยลาดตระเวนมาสิบปี เขาจึงรู้ทันทีว่าเซียวซิงหยูไม่ใช่คนธรรมดา
"ไสหัวไป!"
"ครับผม~"
หานเว่ยถอนหายใจโล่งอก รีบพาลูกน้องเตรียมหนีออกจากตรอก
"หยุดก่อน!"
"คุณเซียว มีอะไรจะสั่งอีกไหมครับ?" หานเหว่ยหยุดชะงัก เหงื่อเย็นไหลออกมาจากหลัง
"หน่วยลาดตระเวนของคุณ คุ้นเคยกับแผนที่การป้องกันเมืองหวงหยานมากเลยใช่ไหม?" เซียวซิงหยูแกล้งถามอย่างไม่ตั้งใจ
"นี่เป็นทักษะพื้นฐานของหน่วยลาดตระเวนครับ พวกเราต้องรู้จักแผนที่การป้องกันในเมืองให้ดี ถึงจะตรวจสอบจุดอ่อนต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ!" หานเหว่ยพูดด้วยความภาคภูมิใจอย่างมาก
"งั้นฉันขอถามนายหน่อยนะ ช่วงนี้มีใครมาขอดูแผนที่การป้องกันในเมืองจากนายบ้างไหม?" เซียวซิงหยูพูดเสียงเบาลง
"ผมขอคิดดูก่อนนะครับ~" หานเหว่ยเริ่มนึก
สักพัก หานเหว่ยก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้
"ผมนึกออกแล้ว เดือนที่แล้วรองแม่ทัพจ้าวหมิงมาหาผม เขาขอแผนที่การป้องกันในเมือง บอกว่าจะศึกษาดูว่ามีช่องโหว่ตรงไหนบ้าง แล้วจะซ่อมแซมเพื่อปรับปรุงการป้องกันของเมืองให้ดียิ่งขึ้นครับ"
"เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ ได้คำตอบแล้ว" มุมปากของเซียวซิงหยูยกขึ้นขณะที่พึมพำ
……
ตะวันลับขอบฟ้า แม่น้ำยาวไกลสุดลูกตา
บทกวีอันยิ่งใหญ่นี้ เหมาะที่จะใช้บรรยายยามพระอาทิตย์ตกดินที่เมืองหวงหยานเป็นที่สุด
บนกำแพงเมือง ซ่างกวนเฉียนถือถ้วยชาอุ่นๆ กำลังชมพระอาทิตย์ตกดินอันงดงามท่ามกลางทะเลทราย
เซียวซิงหยูเดินขึ้นไปบนกำแพงเมือง ทหารยามรอบๆก็ถอยห่างอย่างรู้มารยาท
"สืบเรื่องนั้นไปถึงไหนแล้ว?"
"องค์หญิง จากการสืบสวนของผม..."
เซียวซิงหยูกระซิบข้างหูซ่างกวนเฉียนอยู่นาน จากนั้นสีหน้าของซ่างกวนเฉียนก็เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ
"เรื่องนี้สำคัญมาก ผิดพลาดไม่ได้เลย…ฉันขอถามอีกครั้ง เธอแน่ใจนะว่าคนๆนั้นเป็นอสูรสายปลอมตัว?"
เซียวซิงหยูพยักหน้า ในดวงตามีแต่ความมุ่งมั่นที่แน่วแน่
"ก็ได้ ฉันจะเชื่อเธอสักครั้ง คืนนี้ตอนสองทุ่ม เจ้าเมืองโจวจะจัดงานเลี้ยงรอบกองไฟ ทุกคนจะมาร่วมฉลองกัน"
"งั้นนี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะเปิดโปงอสูรสายปลอมตัว"
"เซียวซิงหยู…นั่นอะไร!"
"มีอะไรเหรอครับ?"
"ทำไมกางเกงเธอมันขยับ?"
"โอ๊ย ลืมเรื่องเจ้าเงินน้อยไปเลย, องค์หญิง ท่านใจเย็นๆก่อนนะครับ ท่านเข้าใจผิดแล้ว!"
"เข้าใจผิด? ฉันว่านายคิดไม่ซื่อกับฉันมากกว่า ไอ้หื่นกาม! ไอ้ลามก! ไอ้เลว!"
"องค์หญิง ท่านเข้าใจผิดจริงๆนะครับ!"
"ฮึ่ม ฉันจะกลับบ้านไปฟ้องแม่!"
"องค์หญิง…แม่ของคุณ ก็จักรพรรดินีน่ะสิครับ อย่าเลยนะครับ!"
…………………