บทที่ 541: อีกไม่นานมันจะไม่ใช่แล้ว
“กงกง?”
เหยี่ยวเกราะเหล็กจ้องมองเฉียวซางอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกระพือปีกบินเข้ามาใกล้และส่งเสียงร้องเรียก
เธอยังไม่ไปอีกเหรอ?
ด้วยการแปลของหยาเป่า เฉียวซางยิ้มแล้วตอบกลับว่า
“ไม่ใช่ว่าแกบอกว่าฉันเป็นคนดีเหรอ? เรื่องของแกยังไม่เรียบร้อยเลย แล้วฉันจะไปได้ยังไง?”
ถึงแม้ว่าเรื่อง "คนดี" จะไม่ใช่สิ่งที่เฉียวซางคิดว่าตรงกับตัวเองนัก แต่เธอก็ต้องยอมรับว่า ตอนนี้เธอสนใจเจ้าเหยี่ยวเกราะเหล็กตัวนี้มาก
ไม่ใช่แค่สนใจธรรมดา แต่สนใจถึงขั้นมากๆ
สัตว์อสูรที่ฉลาดมีอยู่เยอะ แต่สัตว์อสูรที่ฉลาดถึงขั้นเล่นงานคนจนหัวหมุนแบบนี้ ไม่ค่อยได้เจอบ่อยนัก
ยิ่งไปกว่านั้น การที่เหยี่ยวเกราะเหล็กบินจากเขต 27 มาถึงเขต 3 ด้วยตัวเองได้ แล้วยังสามารถตามหาแอชลีย์ได้อย่างแม่นยำ นั่นแสดงให้เห็นถึงความพยายามและความมุ่งมั่นของมัน
สัตว์อสูรที่ทั้งฉลาดและมีความมุ่งมั่น แถมยังมีคุณสมบัติตรงกับมาตรฐานของสัตว์อสูรตัวที่สี่ที่เธอกำลังมองหาอยู่ มันยากที่จะไม่ทำให้เธอสนใจ
เหยี่ยวเกราะเหล็กมองมนุษย์ตรงหน้าด้วยแววตาครุ่นคิด
“แกจงใจเข้ามาหาฉันตั้งแต่แรกใช่ไหมล่ะ?” เฉียวซางพูด “จริงๆแล้วถึงไม่มีฉัน แกก็สามารถหาแอชลีย์จนเจอได้อยู่ดี”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เฉียวซางดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างออก เธอหัวเราะเบาๆแล้วพูดต่อว่า
“ไม่สิ บางทีแกอาจจะรู้อยู่แล้วว่าแอชลีย์อยู่ที่ไหน เพียงแต่แกต้องการ ‘คนดี’ สักคนมาช่วยพาแกไปหาแอชลีย์แบบต่อหน้า แบบนี้แกจะได้มีพยานยืนยันความสัมพันธ์ของแกกับแอชลีย์”
“ถึงแม้ว่าแอชลีย์จะปฏิเสธความสัมพันธ์ของเธอกับแกต่อหน้าเคลเรล แต่คนดีก็จะกระโดดออกมาเป็นพยาน”
“แกรู้ว่าแอชลีย์จะรีบจับแกไปแลกค่าหัว ดังนั้นระหว่างนี้แกต้องทำให้เคลเรลเห็นภาพว่าความสัมพันธ์ระหว่างแกกับแอชลีย์นั้นไม่ธรรมดา”
“พอเมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยถูกหว่านลงไป เมื่อถึงเวลาที่ตำรวจมา ทั้งสองฝ่ายได้คุยกัน ก็จะเผยให้เห็นตัวตนที่แท้จริงของแอชลีย์”
“แต่แกคงคิดว่ายังไม่รัดกุมพอใช่ไหม? คราวนี้แหละที่บทบาทของ ‘คนดี’ จะสำคัญขึ้นมา”
“คนดีคนนั้นจะเป็นคนที่ช่วยตอกย้ำความสัมพันธ์ระหว่างแกและแอชลีย์ใช่ไหมล่ะ?”
เฉียวซางพูดไปเรื่อยๆด้วยความตื่นเต้น
“ระหว่างนี้แกยังทำอีกเรื่อง นั่นคือการเอาขนนกมาใส่ในกระเป๋าของคนดี เพราะแกกลัวว่าคนดีจะจากไปก่อนที่ตำรวจจะมาถึง”
“แกพนันว่าคนดีจะเห็นขนนกแล้วกลับมา ฉันพูดถูกใช่ไหมล่ะ?”
หยาเป่าฟังจนตาลายไปหมด
ส่วนซุนเป่าโผล่ออกมาจากที่ซ่อน มองเจ้าเหยี่ยวเกราะเหล็กด้วยดวงตาเปล่งประกาย พร้อมกับทำหน้าเหมือนเจอแบบอย่างที่น่าเลื่อมใส
“กงกง…”
เหยี่ยวเกราะเหล็กชะงักไป
นี่มันทำอะไรไว้มากมายขนาดนี้เลยเหรอ?…
ทันใดนั้น เสียงรองเท้าหนังของชายคนหนึ่งก็ดังเข้ามาในโสตประสาทของทุกคน
เหยี่ยวเกราะเหล็กกระดิกหูเล็กน้อย ก่อนกระพือปีกเตรียมจะบินหนีไป
แต่เฉียวซางไวกว่า เธอคว้าปีกของมันไว้ได้ทัน
“ก็บอกแล้วไงว่าจะช่วยแก จะหนีไปทำไมอีกล่ะ?”
เหยี่ยวเกราะเหล็กนิ่งค้างไป
“คุณหนูเฉียว” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นพร้อมกับชายคนหนึ่งเดินออกมาจากเงามืดและเขาคนนั้นคือเคลเรล
ข้างกายเขามีสัตว์อสูรตัวหนึ่งรูปร่างสูงประมาณหนึ่งเมตร ขนสีน้ำตาลปกคลุมเกือบทั้งใบหน้า และจมูกยาวแหลม
“ช่วยส่งเจ้าเหยี่ยวเกราะเหล็กนี่ให้ผมได้ไหม?” เคลเรลเอ่ยถาม
“ไม่ได้หรอกค่ะ” เฉียวซางปฏิเสธทันทีโดยไม่ลังเล
เคลเรลนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ แต่ก่อนที่เขาจะทันพูดอะไร เฉียวซางก็ชิงพูดขึ้นก่อน
“ตำรวจมาถึงแล้วหรือยังคะ?”
“???”
คำพูดนั้นทำเอาเคลเรลอึ้งหนักไปอีก
เธอรู้เรื่องตำรวจได้ยังไง?
หรือว่าเป็นเหยี่ยวเกราะเหล็กบอก?
สมองของเคลเรลประมวลผลอย่างรวดเร็วเพียงเสี้ยววินาที ก่อนตอบกลับด้วยท่าทีสุภาพ
“พวกเขามาถึงหน้าคฤหาสน์สเฟียร์โรวแล้วครับ”
เฉียวซางพยักหน้า “ฉันจะไปที่นั่นตอนนี้ ส่วนคุณ ไปเรียกแอชลีย์มา มีบางเรื่องที่ต้องพูดให้ชัดเจนต่อหน้าตำรวจ”
เมื่อพูดจบ เธออุ้มหยาเป่าไว้ในอ้อมแขนข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็คว้าปีกของเหยี่ยวเกราะเหล็กไว้ แล้วก้าวเดินไปทางด้านนอกของคฤหาสน์สเฟียร์โรว
ทันใดนั้น เคลเรลก็ร้องเรียกเธอเสียงดัง
“คุณหนูเฉียว!”
เฉียวซางหันกลับมา มองเขาด้วยสายตาสงสัยเหมือนถามว่า มีอะไรอีก?
“ให้ผมไปเรียกคุณหนูยูนะมาไหมครับ?” เคลเรลถามด้วยสีหน้าซับซ้อน
“ไม่จำเป็นค่ะ” เฉียวซางตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่ใส่ใจ แล้วเดินต่อไปโดยไม่สนใจอะไรอีก
ระหว่างทางไปยังประตูหน้าคฤหาสน์สเฟียร์โรว เหยี่ยวเกราะเหล็กนอนนิ่งในมือของเฉียวซางโดยไม่ขัดขืนอะไร
มันเงยหน้ามอง "คนดี" ที่มันเลือกไว้ พลางคิดในใจว่า หรือว่ามนุษย์คนนี้ก็อยากได้ค่าหัวของมันเหมือนกันรึเปล่า?
แต่แล้ว เฉียวซางก็คลายมือออก
เหยี่ยวเกราะเหล็กรีบกระพือปีกอย่างรวดเร็วเพื่อทรงตัวกลางอากาศ
ทันใดนั้น มันหมุนตัวหันไปอีกทิศทางหนึ่งและพยายามบินหนี
แต่ทันใดนั้น เงาสีดำก็พุ่งเข้ามา มัดตัวมันไว้แน่นและดึงกลับมาอย่างรวดเร็ว
“จะหนีทำไม ใกล้จะถึงแล้ว” เฉียวซางพูดพร้อมมองเหยี่ยวเกราะเหล็กด้วยสายตาเรียบเฉย
“กงกง...”
เหยี่ยวเกราะเหล็กเหลือบมองซุนเป่าที่อยู่ใกล้ๆแล้วมองไปที่หยาเป่าอีกครั้ง มันประเมินพละกำลังของทั้งสองฝั่ง ก่อนทำหน้าจำนนราวกับยอมรับชะตากรรม
ถ้าจะโดนเอาไปแลกค่าหัวจริงๆก็ช่างเถอะ ขอแค่ให้มนุษย์จอมเสแสร้งคนนั้นสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไปก็พอแล้ว...
ไม่นาน เฉียวซางก็มาถึงประตูหน้าคฤหาสน์สเฟียร์โรว
เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจในชุดเครื่องแบบที่ประจำอยู่ที่ประตูเห็นเหยี่ยวเกราะเหล็กถูกมัดด้วยเงาสีดำ พวกเขาก็รีบล้อมเข้ามาทันที
“คุณคือคุณแอชลีย์ใช่ไหม?” ตำรวจหนุ่มคนหนึ่งถามด้วยความลังเล
“ไม่ใช่ฉันค่ะ” เฉียวซางส่ายหน้า
“คุณผู้หญิง คุณสามารถปล่อยเหยี่ยวเกราะเหล็กและส่งมอบให้เราได้แล้วล่ะ” ตำรวจวัยกลางคนอีกคนพูดขึ้น
แต่เฉียวซางกลับตอบด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งว่า
“ฉันไม่ได้มาส่งมอบเหยี่ยวเกราะเหล็ก แต่ฉันมาที่นี่เพื่อแจ้งความค่ะ”
ตำรวจทุกคนหันมามองหน้ากันด้วยความงุนงง
“กงกง...”
เหยี่ยวเกราะเหล็กจ้องมองมนุษย์ที่ยืนอยู่ข้างๆด้วยความงุนงงเช่นกัน
“ชื่อ?”
“เฉียวซาง”
“อายุ?”
“15”
“เธอเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนระหว่างดวงดาวมาจากบลูสตาร์ใช่ไหม?”
“ค่ะ”
ในสถานีตำรวจ เฉียวซางกำลังให้ปากคำอย่างคุ้นเคย
สองตำรวจที่ซักถามเริ่มรู้สึกตื่นตกใจขึ้นเรื่อยๆ
คดีนี้ธรรมดามาก แต่คนที่มาแจ้งความนี่สิไม่ธรรมดา ถ้าจัดการผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว แล้วเด็กสาวตรงหน้าบอกเล่าเรื่องราวนี้บนอินเทอร์เน็ตหรือสื่อ อาจกลายเป็นประเด็นใหญ่โตในสังคมได้ทันที
พวกเขาแทบจะนึกคำพูดของชาวเน็ตออกอยู่แล้ว เช่น หน้าแหกหมดแล้ว คราวนี้ชื่อเสียของอัลติเมทสตาร์คงดังไกลถึงบลูสตาร์แน่ๆ หรือไม่ก็ เธอจะกลับไปบอกว่าคนของอัลติเมทสตาร์เป็นแบบนี้กันทุกคนหรือเปล่านะ?
ตำรวจคนหนึ่งรวบรวมสติและลุกไปชงชาให้เฉียวซาง ก่อนถามว่า
“เธอบอกว่าแอชลีย์หลอกลวงพวกเหยี่ยวเกราะเหล็กให้โจมตีเคลเรล มีหลักฐานอะไรไหม?”
เฉียวซางยิ้มและตอบว่า
“ทั้งคนและสัตว์อสูรก็อยู่ในสถานีตำรวจแล้ว ฉันได้ยินมาว่าตำรวจของอัลติเมทสตาร์ทุกที่ต้องมีสัตว์อสูรที่เรียกว่าระฆังอู้อี้อยู่ใช่ไหมคะ? ถ้าพูดความจริง มันจะตีระฆังหนึ่งครั้ง แต่ถ้าโกหก ระฆังจะดังสองครั้ง แค่ใช้มันตรวจสอบก็พอแล้ว”
ตำรวจทั้งสองคน: “……”
เฉียวซางพูดต่อ
“ถ้าสถานีตำรวจของพวกคุณไม่มีระฆังอู้อี้ ฉันช่วยได้นะ”
“สุนัขเพลิงพร่างพรายของฉันสามารถมองเห็นเหตุการณ์ที่ผ่านมาได้ มันสามารถแสดงให้เห็นว่าแอชลีย์เคยพบกับเหยี่ยวเกราะเหล็ก คุณไม่เชื่อสัตว์อสูรของฉันก็ไม่เป็นไร ใช้สัตว์อสูรตัวอื่นที่มีพลังสัมผัสเชื่อมโยงก็ได้ค่ะ”
คำพูดนี้ทำให้ตำรวจทั้งสองคนมองหน้ากันด้วยความตกใจ
ถ้าคดีนี้ต้องให้เด็กสาวคนนี้ช่วย สงสัยหน้าของอัลติเมทสตาร์คงหมดสิ้นแน่
ตำรวจที่ชงชาก่อนหน้านี้รีบพูดขึ้นว่า
“ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้น เรามีระฆังอู้อี้! เธอวางใจได้เลย คดีนี้จะเสร็จในไม่ช้าแน่นอน!”
เฉียวซางยกถ้วยชาขึ้นดื่มพลางกล่าวว่า
“งั้นก็ดีค่ะ”
ตำรวจทั้งสองคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“อ้อ แล้วตอนนี้เหยี่ยวเกราะเหล็กก็อยู่ที่นี่ หมายจับของมันคงถูกยกเลิกแล้วใช่ไหม?” เฉียวซางถาม
“ถูกต้องแล้ว” ตำรวจหนุ่มตอบ
“มันไม่ได้ทำร้ายมนุษย์ แค่ขโมยสายรัดข้อมือระบุตัวตน ซึ่งไม่ใช่ความผิดร้ายแรง แบบนี้ฉันสามารถประกันตัวมันได้หรือเปล่า?”
ระหว่างทางมา เฉียวซางได้ตรวจสอบข้อมูลไว้แล้วว่า สัตว์อสูรป่าที่ถูกออกหมายจับในอัลติเมทสตาร์ มักจะถูกส่งไปทำงานที่สถานที่บางแห่งคล้ายกับการกักกันชั่วคราว แล้วส่งต่อไปยังเขตล่างสุด
ตำรวจชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบว่า
“ประกันตัวเหรอ? แต่มันเป็นสัตว์อสูรป่า…”
“อีกไม่นานมันจะไม่ใช่แล้ว” เฉียวซางยิ้ม “ฉันตั้งใจจะทำพันธสัญญากับมัน”
สามนาทีต่อมา
อีกด้านหนึ่ง
เหยี่ยวเกราะเหล็กมองเห็นมนุษย์คนหนึ่งเดินเข้ามา และเรียกตำรวจที่กำลังสอบสวนมันออกไปพูดอะไรบางอย่าง
ไม่นานนัก ตำรวจคนนั้นก็กลับมา พร้อมท่าทีที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
“ไม่น่าเชื่อเลยว่าแกจะมีคนระดับนั้นมาสนใจ” ตำรวจเดินไปเปิดกรงที่ขังเหยี่ยวเกราะเหล็กไว้ ก่อนลูบหัวมันพลางพูดว่า
“ตั้งใจทำตัวดีๆล่ะ ไปถึงบลูสตาร์แล้ว อย่าทำให้พวกเราชาวอัลติเมทสตาร์ต้องอับอายนะ”
เหยี่ยวเกราะเหล็ก: “???”