บทที่ 18 ประลองกระบี่
เช้าวันถัดมา เย่คังจัดการงานส่งมอบกับโจวไท่โส่วจนเสร็จสิ้นเรียบร้อย จากนั้นเขาตัดสินใจจะรีบกลับไปยังเมืองหลวงในทันที เพราะยังต้องกลับไปรายงานต่อท่านเย็น ไม่อาจล่าช้าได้ แต่สวรรค์เหมือนไม่เป็นใจให้เขาออกเดินทางได้ง่ายๆ
ขณะที่เย่คังกำลังเตรียมการออกเดินทาง โจวอิ่งก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“ท่านเย่ เกิดเรื่องแล้ว!”
“เรื่องอะไร?”
“มีกลุ่มคนล้อมจวนไท่โส่วไว้ พวกเขาล้วนเป็นยอดฝีมือและเรียกร้องจะพบกับท่าน!”
ใบหน้าของโจวอิ่งซีดเผือด แสดงถึงความหวาดกลัวอย่างชัดเจน
เย่คังมองสบตากับเหอจื้อโดยไม่ได้เอ่ยคำใด ก่อนจะรีบพากันมุ่งหน้าไปยังหน้าประตูจวนไท่โส่ว
สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาพวกเขาคือกลุ่มผู้คนจำนวนมาก ถืออาวุธหลากหลายชนิดล้อมรอบจวนไว้อย่างแน่นหนา ทุกคนดูน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง
ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่แถวหน้า โดดเด่นด้วยหนวดเคราเฟิ้ม ร่างกายกำยำ สูงใหญ่จนเหมือนสองคนรวมกัน เขายืนด้วยท่าทางดุดันน่าเกรงขาม
ข้างกายเขามีสตรีในชุดสีม่วงที่มัดผมขึ้นสูง ท่าทางเย็นชา และชายหนุ่มผมยาวในชุดที่ดูเหมือนนักพเนจรสะพายกระบี่กว้างไว้ด้านหลัง
หลังกลุ่มคนเหล่านี้ มีใบหน้าที่เย่คังจำได้ดี ยืนยิ้มเยาะอย่างเยือกเย็น
เป็นหลวนชง ลูกชายคนเล็กแห่งสำนักหมาป่ายักษ์
ไม่ผิดแน่ วันนั้นที่โรงเตี๊ยมจุ้ยชุนโหลวหลังจากที่เย่คังสั่งสอนเขาไป หลวนชงคงกลับไปรายงานเรื่องนี้ให้พ่อของตน ซึ่งก็คือหลวนสง หัวหน้าสำนักหมาป่ายักษ์
หลวนสงเป็นคนที่ไม่ปล่อยให้ลูกชายของตนถูกทำร้ายโดยไม่ตอบโต้ แต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่ เพราะรู้ดีว่าคู่กรณีคือข้าราชการ ไม่อาจลงมือโดยประมาท เขาจึงใช้วิธีสืบเรื่องราวของเย่คังในเงามืด
จากนั้นจึงร่วมมือกับสำนักกระบี่เหล็กและสำนักม่านหมอกม่วง ทั้งสามสำนักกำลังจัดการประลองกระบี่ในเมืองนี้ พวกเขาจึงมีกำลังคนมากมายและไม่เกรงกลัวสิ่งใด
เมื่อเห็นหลวนชง เย่คังก็เข้าใจสถานการณ์ในทันที เขาแค่นเสียงหัวเราะเย็นชา
“ท่านทั้งหลายที่ถืออาวุธล้อมจวนไท่โส่วไว้อย่างนี้ คิดจะก่อกบฏต่อราชสำนักหรือ?”
คำพูดนี้ทำให้หลวนชงกระโดดออกมาทันที
“เจ้าอย่ามาใส่ความ! พวกเรามาหาเจ้าคนเดียว ไม่เกี่ยวกับผู้อื่น!”
“ชงเอ๋อร์ เงียบปาก!”
เสียงของหลวนสงที่เต็มไปด้วยอำนาจหยุดลูกชายของเขาไว้ ก่อนจะหันมาพูดกับเย่คังด้วยรอยยิ้ม
“ท่านคงเป็นท่านเย่กระมัง? พวกเราคนในยุทธภพไม่รู้ธรรมเนียมปฏิบัติของทางราชสำนักมากนัก ท่านเย่โปรดอย่าได้กล่าวโทษพวกเราเลย”
เย่คังยกมือแตะด้ามกระบี่ของตน พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“พวกท่านตามหาข้าทำไม? ข้าไม่เคยมีความเกี่ยวข้องใดกับพวกท่าน”
หลวนสงยิ้มตอบ
“ท่านเย่ช่างลืมง่ายเสียจริง วันก่อนท่านทำร้ายลูกชายข้าจนบาดเจ็บหนัก ท่านคิดจะปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปง่ายๆ เช่นนั้นหรือ?”
สิ้นคำพูดของเขา ผู้คนในกลุ่มต่างชักอาวุธออกมาอย่างพร้อมเพรียง สายตาเต็มไปด้วยความอาฆาตจ้องมองเย่คัง
เหอจื้อที่ยืนอยู่ข้างเย่คัง เหงื่อเย็นไหลท่วมหลัง แต่ยังคงดึงกระบี่ออกมาประจันหน้า พร้อมกระซิบเตือนเย่คังเบาๆ
“ท่านเจ้าคะ คนยุทธภพเหล่านี้ไม่เคยสนใจกฎเกณฑ์ของทางราชสำนักเลย”
เย่คังรับฟังคำเตือนแต่ไม่สะทกสะท้าน เขาพูดเสียงเย็นยะเยือก
“ฟังให้ชัดเจน ข้าจะพูดเพียงครั้งเดียว จงไสหัวไปจากที่นี่ มิฉะนั้นแค่การล้อมจวนไท่โส่วก็เพียงพอที่จะเอาผิดพวกเจ้าในข้อหากบฏแล้ว!”
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนอึ้งตะลึง!
เหอจื้อแทบจะเป็นลม เขาคิดในใจว่า "ท่านเย่ นี่มันเป็นการพาพวกเราไปตายพร้อมกันหรืออย่างไร!"
ในขณะที่กลุ่มคนยุทธภพทั้งสามสำนักต่างมองหน้ากันด้วยความสับสน พวกเขาตั้งคำถามในใจ “นี่ใครกันแน่ที่ล้อมใครอยู่?”
หลวนชงที่ยืนอยู่ด้านหลังบิดาของเขากำลังจะระเบิดอารมณ์ออกมา แต่หลวนสงยกมือขึ้นหยุดก่อน
ชายร่างใหญ่หัวเราะเบาๆ แต่ในเสียงหัวเราะนั้นกลับเต็มไปด้วยแรงกดดัน
“ท่านเย่ ท่านช่างใจกล้ายิ่งนัก หากเป็นขุนนางทั่วไปคงไม่กล้าทำแบบนี้ แต่ว่า…”
น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนเป็นเย็นชา
“อย่าคิดว่าตำแหน่งขุนนางของท่านจะช่วยชีวิตท่านได้ในวันนี้!”
ขาดคำ อากาศรอบตัวก็เหมือนจะหนักอึ้งขึ้น เหล่ายอดฝีมือต่างชักอาวุธออกมา บรรยากาศตึงเครียดจนแทบจะเกิดการปะทะได้ทุกเมื่อ
แต่เย่คังกลับยืนนิ่ง ไม่หวั่นไหวต่อแรงกดดันที่ถาโถมเข้ามา
ในใจของเขาคิดถึง "กระบวนท่ากระบี่ร้อยบุปผา" ศาสตร์ที่เขาเพิ่งบรรลุได้เมื่อคืนนี้
"ถึงพวกเจ้าจะมากันเป็นกองทัพ แต่ต่อหน้ากระบี่ของข้า พวกเจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับใบไม้แห้ง!"
เย่คังยิ้มเย็น มือที่จับกระบี่แน่นขึ้นพร้อมจะลงมือ
"ให้พวกเจ้ารู้ว่าราชสำนักไม่ใช่ที่ที่ใครจะมาเหยียบย่ำได้ง่ายๆ!"
หลวนสงเดือดดาลอย่างหนักกับคำพูดของเย่คัง ความหยิ่งทะนงที่เขาถูกละเลยแบบนี้ทำให้เขาแทบคลั่ง เส้นเลือดที่กำมือแน่นปูดโปน ใบหน้าดุดันพร้อมจะระเบิดความโกรธออกมา
เสียงคำรามคล้ายหมาป่าดังขึ้นจากปากของหลวนสง เป็นสัญญาณชัดเจนว่าเขาพร้อมจะลงมือ
แต่ก่อนที่ความวุ่นวายจะปะทุ สตรีในชุดม่วงนาม ซือไถ่จื่อเสวียน จากสำนักม่านหมอกม่วง และชายถือกระบี่กว้างนาม เจิ้งเจี้ยนถง จากสำนักกระบี่เหล็ก ก็รีบเข้ามาขวาง
ซือไถ่จื่อเสวียนโบกมือพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบเยือกเย็น
“ใจเย็นก่อน! ใจเย็นก่อน! นี่มันความเข้าใจผิดกันทั้งนั้น!”
เย่คังปรายตามองหญิงวัยกลางคนในชุดม่วงเล็กน้อย ก่อนหันไปมองชายที่สะพายกระบี่กว้าง
ซือไถ่จื่อเสวียนแนะนำตัวพร้อมยิ้มบางๆ
“ข้าคือ จื่อเสวียน จากสำนักม่านหมอกม่วง ส่วนท่านผู้นี้คือ เจิ้งเจี้ยนถง จากสำนักกระบี่เหล็ก พวกเรามาเพื่อเรียนเชิญท่านเย่ ไปร่วมประลองกระบี่บนลานกระบี่ ไม่ใช่เพื่อล่วงเกินท่าน”
เจิ้งเจี้ยนถงรีบพยักหน้าเสริม
“ถูกต้องแล้ว! เรื่องในยุทธภพก็ควรสะสางในยุทธภพ ท่านเย่จะกรุณาให้เกียรติมาประลองกับหัวหน้าสำนักหลวนหรือไม่?”
เย่คังมองดูคนทั้งสามด้วยสายตาเหมือนมองคนบ้า
“ประลองกระบี่งั้นหรือ? ใครกันที่ว่างถึงขนาดต้องไปเล่นสนุกบนลานกระบี่กับพวกเจ้า?”
แต่ทันใดนั้น เสียงแจ้งเตือนที่เย่คังคุ้นเคยดังขึ้นในหัว
[ติ๊ง!]
[ภารกิจใหม่: สังหารหลวนสง]
[รางวัลภารกิจ: 2000 แต้มการหยั่งรู้]
เย่คังตกใจเล็กน้อย ก่อนสีหน้าเปลี่ยนเป็นสงบลงในพริบตา
“ภารกิจงั้นหรือ?”
เมื่อได้รับภารกิจ เย่คังก็เปลี่ยนใจทันที พร้อมตอบตกลงด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
“ข้ายินดีร่วมประลอง! เหอจื้อ ดูแลตัวเองและคอยปกป้องไท่ ฮวนฮวนไว้ ข้าจะกลับมาในเวลาไม่นาน”
เหอจื้อมองเย่คังด้วยความกังวล
“ท่านเย่… ระวังตัวด้วย!”
เย่คังพยักหน้าให้เหอจื้อพลางเดินออกไปยังลานกระบี่กลางเมือง ท่ามกลางสายตานับร้อยคู่ที่จับจ้องอย่างตื่นเต้น
เมื่อเห็นว่าเย่คังตอบตกลงอย่างง่ายดาย ซือไถ่จื่อเสวียนและเจิ้งเจี้ยนถงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“ชายผู้นี้ช่างกล้าหาญและใจกว้างยิ่งนัก เรื่องจบลงบนลานกระบี่ก็ถือว่าดีที่สุด ไม่ว่าใครจะอยู่หรือไป” ซือไถ่จื่อเสวียนกล่าวพลางยิ้มบางๆ
เจิ้งเจี้ยนถงพยักหน้า
“จริงดังที่เจ้าว่า เขาอวดดีเกินไป ข้าไม่อาจคาดเดาขั้นพลังของเขาได้ แต่จากข่าวกรองก่อนหน้านี้ เขาคงอยู่แค่ระดับ ขั้นยอดฝีมือเหนือชั้น เท่านั้น”
ซือไถ่จื่อเสวียนถอนหายใจเบาๆ
“น่าเสียดาย หากเขาเป็นศิษย์ของสำนักม่านหมอกม่วง ข้าคงปกป้องเขาไว้ได้ แต่โชคร้ายที่หลวนสงไม่มีทางปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือ”
ทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนพยักหน้าเหมือนตกลงกันในใจว่าผลลัพธ์ในวันนี้มีเพียงหนึ่งเดียว
เย่คังจะต้องพ่ายแพ้!
หลวนสงนั้นก้าวสู่ขั้นยอดฝีมือเหนือชั้นหนึ่งมาตั้งแต่สิบปีก่อน และตลอดเวลาที่ผ่านมา เขามุ่งมั่นบ่มเพาะพลังเพื่อทะลวงเข้าสู่ ขั้นก่อกำเนิด อีกทั้งเขายังเน้นฝึกฝนร่างกายอย่างหนัก จนพลังจากร่างกายเพียงอย่างเดียวก็สามารถล้มยอดฝีมือในระดับเดียวกันได้หลายคน
ยังไม่ทันที่การประลองจะเริ่มขึ้น ผลลัพธ์ก็เหมือนถูกกำหนดไว้แล้ว
ไม่นาน ทั้งสองฝ่ายก็ก้าวขึ้นสู่ลานกระบี่
เย่คังค่อยๆ ชักกระบี่ออกจากฝัก กระบี่ในนมือส่องประกายเย็นเยียบ ฝักกระบี่ถูกปล่อยให้พุ่งไปปักเข้ากลองศึกด้านหลังอย่างแม่นยำ
ในขณะที่หลวนสงยืนหยัดด้วยอาวุธคู่ใจ ค้อนแปดเหลี่ยมเงินสุกสกาว ทั้งสองข้าง พลังปราณดุร้ายที่แผ่ออกมาทำให้ทุกคนในที่นั้นต่างรู้สึกหวาดกลัว
“นี่คือพลังของยอดฝีมือเหนือชั้นหนึ่ง!”
เสียงร้องเชียร์ดังลั่นสนาม
“หัวหน้าหลวนจงเจริญ! ฆ่าหมาน้อยแห่งราชสำนักตัวนี้ซะ!”
“หัวหน้าหลวน สู้เพื่อเหล่าชาวยุทธ!”
ตรงกันข้าม ฝั่งเย่คังกลับมีเพียงเสียงตะโกนให้กำลังใจจาก โจวอิ่ง ที่มาถึงลานกระบี่อย่างเร่งรีบ
“ท่านเย่ ระวังตัวด้วย!”
บนลานกระบี่
หลวนสงแสยะยิ้มเย็นพร้อมหัวเราะเสียงต่ำ
“เจ้าหนุ่ม บนลานกระบี่นี้ ห้ามต่อรองเรื่องความเป็นความตาย! เจ้ากล้าตบหน้าบุตรชายข้า วันนี้หากข้าไม่ฆ่าเจ้า แล้วหมาป่ายักษ์จะยังมีที่ยืนได้อย่างไร?”
เย่คังฟังคำขู่พร้อมกับถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ
“พูดพอหรือยัง? เริ่มได้หรือยัง?”
หลวนสงจ้องตากรรมการเป็นสัญญาณให้เริ่มการต่อสู้
เสียงฆ้องศึกดังขึ้น
ทันทีที่การประลองเริ่มต้น หลวนสงคำรามกึกก้องพร้อมกับกระโจนขึ้นฟ้าด้วยแรงอันมหาศาล ค้อนทั้งสองข้างถูกยกขึ้นสูงก่อนฟาดลงมาที่เย่คังด้วยความรุนแรง
“หัวหน้าหลวนบ้าคลั่งเต็มที่แล้ว!”
“นี่มันการโจมตีที่รุนแรงสุดขั้ว! หากถูกฟาดเข้าไปตรงๆ ร่างต้องแหลกเป็นชิ้นแน่!”
ทุกคนกลั้นลมหายใจด้วยความตื่นเต้น
แต่เย่คังกลับไม่หลบแม้แต่น้อย เขายกนิ้วชี้ซ้ายขึ้น พร้อมกับปล่อยปราณที่เปล่งแสงชมพูหมุนวนอยู่รอบปลายนิ้ว
“ให้ข้าดูพลังของวิชาศาสตราสวรรค์หน่อยเถอะ”
“กระบวนกระบี่ร้อยบุปผา!”
ฟิ้ว!
กระบี่ปราณที่แหลมคมถูกปล่อยออกมาอย่างรวดเร็ว ความเร็วของมันเหนือกว่าสายฟ้า ทุกสิ่งดูเหมือนหยุดนิ่งไปชั่วพริบตา
หลวนสงสัมผัสได้ถึงอันตราย พยายามยกค้อนทั้งสองขึ้นมาป้องกัน แต่…
โครม!
ค้อนเหล็กทั้งสองของเขาถูกกระบี่ปราณสีชมพูฟันขาดกระจุยกลายเป็นเศษโลหะ
กลุ่มควันฟุ้งกระจายไปทั่ว
หลวนสงตกใจจนหน้าเปลี่ยนสี ยังไม่ทันตั้งตัวดี กระบี่ปราณอีกสามสายพุ่งตรงเข้าหาเขา
ถึงแม้เขาจะพยายามถอยด้วยสัญชาตญาณ แต่ก็ไม่อาจหลบพ้น กระบี่ปราณสีชมพูที่แปลกประหลาดเจาะทะลุเข้าสู่ร่างกายเขาอย่างรวดเร็ว
กร๊อบ!
ในสายตาของทุกคน ร่างของหลวนสงราวกับถูกหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ร่างกายที่แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้ากลับแตกกระจายราวกับเต้าหู้
เศษเนื้อและโลหิตโปรยปรายเต็มพื้น