MDB ตอนที่ 529 คล้ายกับการเปลี่ยนร่าง
หลังจากออกจากห้องโถง แทนที่จะกลับไปที่ห้องพักของเขา เฟิงจือเฉียนกลับมุ่งตรงไปที่สถาบันเกลียวสวรรค์ทันที
พ่อของเขาเรียกผู้ประเมินหลินมาเพียงเพราะต้องการพบกับผู้อาวุโสซูเท่านั้น แต่เนื่องจากหลินจินอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน เขาจึงไม่สามารถมาเข้าเฝ้าที่พระราชวังได้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ผู้อาวุโสซูจะไม่มาด้วย
แม้ว่าพ่อของเขาจะไม่ได้พูดออกมา แต่เฟิงจือเฉียนก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่พอใจเล็กน้อย
นั่นคือความเจ็บปวดที่จักรพรรดิทุกคนต้องเผชิญร่วมกัน
อย่างไรก็ตาม พ่อของเขารู้ดีถึงความสำคัญของสถาบันเกลียวสวรรค์ ไม่อย่างนั้นอาณาจักรของเขาคงไม่ได้รับสถานะประเทศขนาดใหญ่อย่างทุกวันนี้
สถาบันเกลียวสวรรค์เป็นสถานที่ที่มีประวัติศาสตร์มายาวนานหลายร้อยปี และมีผู้ประเมินระดับสี่ที่มีความสามารถจำนวนมาก และยังมีผู้ประเมินระดับห้าอีกด้วย
ในอีกแง่หนึ่ง มูลค่าของผู้ประเมินระดับสี่นั้นก็เกินกว่ามูลค่าของสัตว์เลี้ยงระดับห้า
หากไม่มีผู้ประเมิน สัตว์วิเศษระดับห้าก็ไม่มีทางวิวัฒนาการได้ และไม่มีใครสามารถรักษาพวกมันได้เมื่อพวกมันได้รับบาดเจ็บ
แม้ว่าพ่อของเขาจะไม่พอใจ แต่ก็ไม่มีอะไรที่พ่อของเขาสามารถทำได้เพื่อเปลี่ยนแปลงความจริงในข้อนี้
ในทางกลับกัน เฟิงจือเฉียนกลับอยากรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ยับยั้งผู้ประเมินหลินเอาไว้
ในที่สุด เขาก็ได้พบความจริงเมื่อเขามาถึงสถาบันฯ
เฟิงจือเฉียนมองเห็นอาจารย์ของสถาบันจำนวนมากกำลังรออยู่หน้าเรือนดอกท้อ แม้แต่ท่านชายจงก็ยังต้องรออยู่ที่นั่น และเฟิงจือเฉียนก็เข้าใจความร้ายแรงของสถานการณ์ในไม่ช้า
“ผู้ส่งสารคนนั้นไม่ได้ชี้แจงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงเลย”
เฟิงจือเฉียนตระหนักได้ว่าผู้ส่งสารคนนั้นโกหกในรายงานของเขา คนเจ้าเล่ห์อย่างเขาไม่สามารถปล่อยให้ทำงานให้กับพระราชวังต่อไปได้ อย่างน้อยที่สุด เขาจะไม่ได้รับหน้าที่สำคัญอีกต่อไป
ถ้าเขาสามารถปลุกเร้าความโกรธของพ่อของเขาได้ และหากพ่อของเขาตัดสินใจลงมือโดยไม่ไตร่ตรองให้รอบคอบ จนสถานการณ์เลวร้ายลง เขาจะกลายเป็นตัวต้นเหตุที่ยุยงให้เกิดความเข้าใจผิดครั้งใหญ่หรือไม่?
แม้แต่คนที่มีสถานะอย่างท่านชายจงก็ทำได้แค่รออยู่ข้างนอก เพราะกลัวว่าจะไปรบกวนผู้ประเมินหลิน หากพ่อของเขาเข้ามาขัดขวาง เขาคงไปรบกวนผู้ประเมินของสถาบันฯอย่างแน่นอน และท้ายที่สุดก็ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่าย
โชคดีที่พ่อของเขารู้ทัน และตัดสินใจไม่ดำเนินการต่อ
พ่อของเขานั้นทั้งฉลาดและมีประสบการณ์
เฟิงจือเฉียนอดไม่ได้ที่จะประทับใจ
สถาบันแห่งนี้ดำเนินการด้วยความเป็นอิสระอย่างมาก พวกเขามีอำนาจเหนือเรื่องต่าง ๆ มากมาย อย่างเช่น เมื่ออาจารย์ของพวกเขาถูกซุ่มโจมตี ได้รับบาดเจ็บ หรือพวกเขาหนีออกจากตำแหน่ง ในบางครั้ง พวกเขาจะไม่รายงานเรื่องนี้ให้ทางพระราชวังทราบด้วยซ้ำ
แน่นอนว่าพระราชวังจะทำการสืบสวนด้วยตัวเองอย่างลับ ๆ เพื่อติดตามสถานการณ์
เฟิงจือเฉียนรับรู้ถึงสิ่งที่หยางหมิงพบเจออยู่บ้าง เขารู้ด้วยซ้ำว่ามีผู้ต้องสงสัยเป็นคนทรยศอยู่ในสถาบันฯ เนื่องจากสถาบันฯยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ พวกเขาจึงยังไม่สามารถออกหมายจับได้
เมื่อทราบถึงอาการบาดเจ็บของผู้ประเมินหยาง เฟิงจือเฉียนมีความเห็นว่าบาดแผลของฝ่ายหลังสาหัสเกินไป ไม่เพียงแต่สัตว์เลี้ยงของเขาจะถูกนำออกไปเท่านั้น แต่รากฐานการฝึกฝนของเขายังถูกทำลายไปอีกด้วย ลืมเรื่องการฝึกฝนและการร่ายคาถาไปได้เลย ในอนาคต เขาอาจมีปัญหาในการเดินด้วยซ้ำ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เขาก็ไม่ต่างอะไรจากคนพิการ
อย่างไรก็ตาม ผู้ประเมินหยางมาจากอาณาจักรเขากวาง ดังนั้นแม้ว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่อาณาจักรเกลียวสวรรค์ก็ไม่ได้รับความสูญเสียใด ๆ
ทางราชวงศ์สนใจแต่เรื่องความดีความชอบเท่านั้น
แต่ไม่สามารถพูดแบบเดียวกันได้กับทางสถาบันฯ ไม่ว่าพวกเขาจะมาจากที่ไหน เมื่อบุคคลใดเข้ามาเป็นบุคลลากรในสถาบันฯ พวกเขาก็จะเป็นหนึ่งเดียวกัน
เมื่อได้รับบาดเจ็บ ทางสถาบันฯจะพยายามรักษาคนของเขาให้ดีที่สุด
ถึงเฟิงจือเฉียนจะได้ข้อมูลที่ต้องการทุกอย่างแล้ว แต่เขาก็ไม่รีบร้อนที่จะจากไป
เขายังอยากรู้ว่าผู้ประเมินหลินจะทำการรักษาผู้ประเมินหยางหมิงอย่างไร
ทุกคนรับรู้ถึงอาการบาดเจ็บของผู้ประเมินหยางอย่างชัดเจน และต่างเชื่อว่าอาการของเขาคงไม่สามารถรักษาได้ โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาว่าแม้แต่ท่านชายจงเองก็ไม่อาจช่วยเหลือได้
อย่างไรก็ตาม แม้ความหวังจะริบหรี่ แต่ในแววตาของพวกเขากลับเปี่ยมไปด้วยความคาดหวังที่ยากจะปิดบัง ราวกับว่าพวกเขากำลังเฝ้ารอปาฏิหาริย์ที่จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะในเวลานี้ ท่านชายจง ผู้ครองอันดับสองแห่งสถาบันฯ และบุคคลที่ควรถูกเรียกว่าผู้ครองอันดับหนึ่งตลอดกาลอย่างแท้จริง ซึ่งก็คือผู้อาวุโสซู ยังคงเฝ้ารออยู่ในความสงบ
พวกเขาแน่ใจว่าผู้อาวุโสชูกำลังอยู่ในเรือนดอกท้อในขณะนี้ หากเธอให้คำแนะนำหรือแม้แต่จัดการรักษาด้วยตัวเอง ผู้ประเมินหยางอาจมีโอกาสรักษาได้สำเร็จ
นี่คือข้อสรุปที่คนส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกัน
อย่างไรก็ตาม หลังจากได้รับการชี้แจงกับท่านชายจงแล้ว เฟิงจือเฉียนก็ทราบว่า แม้แต่ผู้อาวุโสซูก็ไม่สามารถช่วยเหลือผู้ประเมินหยางได้ และคนที่ทำการรักษาผู้ประเมินหยางในขณะนี้คือหลินจินแต่เพียงผู้เดียว
เฟิงจือเฉียนตกตะลึง
แทนที่จะจมอยู่กับเรื่องนั้น เจ้าชายกลับคิดได้อย่างรวดเร็วว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้
อาจารย์ของหลินจินนั้นสุดยอดมาก ดังนั้นศิษย์ของเขาก็คงไม่ต่างกัน
อย่างไรก็ตาม เฟิงจือเฉียนไม่ได้วางแผนที่จะจากไปในเร็ว ๆ นี้ หากเป็นไปได้ เขาต้องการรอผลการรักษา แต่จู่ ๆ เฟิงจือเฉียนเห็นเจ้าหน้าที่ชราจากพระราชวังมา คน ๆ นั้นต้องมาที่นี่เพื่อรวบรวมข้อมูลเช่นกัน
โดยไม่ต้องถาม เฟิงจือเฉียนก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงถูกพ่อของเขาส่งมาที่นี่
ดูเหมือนว่าพ่อของเขาก็อยากรู้เรื่องนี้เช่นกัน
เฟิงจือเฉียนรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย เขาจึงมองไปรอบ ๆ และรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นนกกระเรียนตัวใหญ่เกาะอยู่บนกำแพงลานบ้าน
นกกระเรียนตัวนั้นมีออร่าแปลกประหลาด ขนของมันหนา และเป็นมันเงา เมื่อสังเกตเห็นการจ้องมองของเฟิงจือเฉียน เจ้านกตัวนั้นก็หันกลับมามองเขา
ทั้งสองจ้องมองกันและกัน
แต่ในท้ายที่สุด เฟิงจือเฉียนกลับเป็นฝ่ายหันไปมองทางอื่นแทน
“นกกระเรียนตัวนี้ไม่ใช่นกธรรมดา”
เฟิงจือเฉียนตัดสินใจอย่างเงียบ ๆ หลังจากเห็นสิ่งต่าง ๆ มากมายในชีวิต เขาไม่เคยพบนกกระเรียนแบบนี้มาก่อน สายตาของมันจ้องเขม็งเกินไป
เมื่อมองขึ้นไปอีกครั้ง เฟิงจือเฉียนสังเกตเห็นเหยี่ยวตัวหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนหลังคาของเรือนดอกท้อ
สัญชาตญาณของเฟิงจือเฉียนบอกเขาว่าเขาไม่ควรประมาททั้งเหยี่ยวและนกกระเรียน
เวลาล่วงเลยไปสองชั่วโมง ในที่สุด ประตูเรือนดอกท้อก็ถูกเปิดออกมา
ทุกคนต่างพากันเดินไปดู
บุคคลที่ออกมาจากบ้านไม่ใช่หลินจินหรือลูกศิษย์ของเขา แต่เป็นผู้ประเมินหยางหมิงนั่นเอง
หัวใจของเฟิงจือเฉียนเต้นแรง
'พวกเขาไม่ได้ลือกันเหรอว่าผู้ประเมินหยางกลายเป็นคนพิการไปแล้ว?’
ขณะที่ทุกคนกำลังสับสน หลินจินเดินออกมาจากประตู พร้อมกับบอกให้หยางหมิงรีบกลับไปพักผ่อน
“ผู้ประเมินหลิน ข้า หยางหมิง จะไม่มีวันลืมพระคุณของท่าน”
หยางหมิงรู้สึกตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาของเขาแดงก่ำราวกับว่าน้ำตาของเขาเพิ่งจะหยุดไหล
ผู้ประเมินหลินตอบรับด้วยท่าทีเห็นอกเห็นใจ
“ท่านกล่าวเกินไปแล้ว ผู้ประเมินหยาง ในฐานะอาจารย์ร่วมสถาบันเดียวกัน การช่วยเหลือกันเป็นเรื่องธรรมดา สิ่งที่ข้าทำให้ท่านนั้นก็ไม่ได้มากมายอะไร
ดังที่ข้าได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ข้าเพียงซ่อมแซมเส้นเลือดและอวัยวะภายในที่เสียหายของท่าน บางส่วนอาจแข็งแรงขึ้นกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ แต่เนื่องจากท่านเพิ่งฟื้นตัว ท่านจำเป็นต้องให้เวลาร่างกายได้พักผ่อนและฟื้นฟูเต็มที่
ท่านต้องไม่ลืมทานเม็ดยาที่ข้ามอบให้ วันละหนึ่งเม็ด หากทำเช่นนั้น ภายในสามถึงห้าวัน อาการของท่านควรจะคงที่ หลังจากนั้น ท่านลองเริ่มสะสมพลังวิญญาณใหม่อีกครั้ง หากสำเร็จ ท่านก็จะสามารถใช้คาถาได้ตามปกติอีกครั้ง”
หยางหมิงพยักหน้าอย่างเคารพ
จากนั้น เขาก็สังเกตเห็นผู้คนที่ยืนอยู่ข้างนอก เขาทำความเคารพพวกเขาพร้อมกับพูดว่า
“ข้าต้องขออภัยที่ทำให้ทุกคนต้องกังวล ผู้ประเมินหลินได้รักษาอาการบาดเจ็บทั่วร่างกายของข้าจนหายดีแล้ว ดังนั้นพวกท่านไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับอาการของข้าอีกต่อไป”
ประโยคเรียบง่ายเพียงประโยคเดียวก็สามารถยืนยันความสงสัยของทุกคนได้
อารมณ์ของพวกเขาพลุ่งพล่านขึ้น ไม่เพียงแค่ตื่นเต้นเท่านั้น แต่ยังสับสนอีกด้วย
พวกเขาได้เห็นกับตาตัวเองว่า ผู้ประเมินหยางที่เคยเข้าไปในเรือนดอกท้อด้วยการขี่หลังเสือ มีสภาพไม่ต่างจากคนพิการ แต่เพียงแค่ครึ่งวันต่อมา เขากลับออกมาจากที่นั่นในสภาพที่ดูปกติเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
บางคนสามารถสัมผัสได้ถึงออร่าอันเป็นเอกลักษณ์จากหยางหมิง
มันคือพลังจากมังกรและเสือ
มันไม่ได้ผิดพลาดแต่อย่างใด เพราะเมื่อหลินจินกำลังซ่อมแซม และเย็บเส้นลมปราณของหยางหมิง เขาได้ใช้เส้นเลือดมังกร และกระดูกเสือเพื่อเชื่อมต่อกล้ามเนื้อส่วนหนึ่งของร่างกายอย่างพิถีพิถัน
การผสมผสานอวัยวะเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยฟื้นฟูความเสียหาย แต่ยังเสริมความแข็งแกร่งให้หยางหมิงมากกว่าที่เคยด้วย
แม้ว่าเขาจะใช้เพียงเล็กน้อย แต่หยางหมิงก็รู้สึกราวกับว่าเขาได้รับการหล่อหลอมร่ายการขึ้นมาใหม่