บทที่ 46 ความเปลี่ยนแปลง
บทที่ 46 ความเปลี่ยนแปลง
กับดักที่เขาวางไว้บนลานกลางเขา มันเป็นกับดักที่นายพรานใช้จับสัตว์อสูรขนาดใหญ่ จะว่าไปไม่ใช่จับ แต่เป็นฆ่าเสียมากกว่า
เขามาก่อนเวลาสองวัน แต่คำนวณเอาไว้ว่ามีเวลาประมาณหนึ่งวันหนึ่งคืน ไม่นึกเลยว่าจี้กุนซือจะคิดมากและคิดเยอะเกินไป ทำให้มองข้ามร่องรอยที่เขาทิ้งเอาไว้ ไปสนใจความเป็นไปได้อื่น ๆ แผนที่บนผ้าสีดำผืนนั้นเขาจงใจทิ้งเอาไว้ จากสถานการณ์ตอนนี้ จี้กุนซือยังคงคิดว่าเขาซ่อนเอาไว้ตอนที่รีบหนี ส่วนกับดักที่เขาวางเอาไว้ที่นี่ก็เพื่อป้องกันตัวระหว่างที่ซ่อนตัวอยู่
วันนั้นหลังจากที่เขาออกจากเมืองเข้ามาในป่า เขาเริ่มวางร่องรอยปลอมต่าง ๆ ระหว่างทาง จุดประสงค์ก็เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของจี้กุนซือ และเพื่อถ่วงเวลา พอมาถึงที่นี่ เขาใช้เวลาเกือบครึ่งวันในการเลือกสถานที่วางกับดักสองแห่งนี้
บนลานกลางเขา เขาสนใจหินก้อนใหญ่นั้น หินก้อนนั้นผ่านร้อนผ่านหนาวมานาน จึงเกิดรอยแยกกับพื้นดิน เกิดการสั่นคลอน เพียงแต่เพราะตัวมันเองหนักมาก จึงยังคงฝังอยู่ที่เดิม เขาจึงหาเสาหินสองต้นขนาดเท่าแขนของเด็กมาจากในป่า และหยิบอุปกรณ์ง่าย ๆ ที่เตรียมเอาไว้ ซึ่งก็มีเอ็นของสัตว์อสูรรวมอยู่ด้วย
แน่นอนว่าก่อนหน้านี้เขาไม่ได้กำหนดว่าจะวางกับดักแบบไหน แค่คิดถึงกับดักต่าง ๆ ที่สามารถวางได้ในป่าให้มากที่สุด จึงไปซื้ออุปกรณ์บางอย่างที่พกพาสะดวกมาจากในเมืองล่วงหน้า เขาก็ไม่รู้ว่าจะได้ใช้หรือเปล่า แต่ก็ไม่สามารถซื้อของที่ใหญ่เทอะทะหรือสะดุดตามากเกินไป ตอนที่หนีออกมาจากจวนกุนซือ เขาก็มัดสิ่งของพวกนั้นไว้กับชุดชั้นใน ชุดดำของเขามีขนาดใหญ่ เขาลองมาหลายครั้งแล้ว จึงรู้ขีดจำกัดในการซ่อนของโดยที่เฉินอันกับหลี่อินไม่รู้ตัว
เขาค่อย ๆ ขุดดินใต้ก้อนหินออกทีละนิด ใช้เสาหินสองต้นค่อย ๆ สอดเข้าไปเพื่อยึดเอาไว้ สุดท้ายก็ทำให้เกิดความสมดุลชั่วคราว มัดปลายด้านหนึ่งของเอ็นสัตว์อสูรเอาไว้กับเชือกที่ยึดกับเสาหินสองต้น
ขั้นตอนต่อไปก็คือดึงเอ็นของสัตว์อสูรให้ตึง ส่วนใหญ่ซ่อนอยู่ในรอยแยกใต้ก้อนหิน เหลือไว้ข้างนอกเล็กน้อย ทำให้มองเผิน ๆ เหมือนกับหน้าไม้บาทาที่เตรียมพร้อม ของแบบนี้เขาบังเอิญไปเห็นในค่ายทหาร จึงนำมาใช้ที่นี่
สุดท้ายคือผูกเชือกไว้หน้าลูกศร เชือกเส้นนี้พันรอบแล้วซ่อนเอาไว้บนก้อนหิน เมื่อมีคนมาหยิบหน้าไม้บาทาที่อยู่ในรอยแยกใต้ก้อนหิน มันจะเหมือนกับการเหนี่ยวไก ทำลายสมดุลของก้อนหิน ก้อนหินที่ถูกเจาะเป็นโพรงทางด้านหน้าผาเอาไว้ก่อนหน้านี้ ก็จะร่วงหล่นลงไปอย่างรวดเร็ว แล้วก็ดึงเชือก ถ้ามีของอยู่ในห่วง ก็จะรัดแน่นแล้วดึงขึ้นไป สุดท้ายตกลงไปในหน้าผา
แผนการนี้ล่อเหยื่อนี้ ถ้าพลาดแม้แต่จุดเดียวก็จะล้มเหลว แต่ที่ยากที่สุดมีสองจุด จุดแรกคือบางครั้งเขาก็ต้องนั่งบนก้อนหิน ตอนนั้นจะทำลายสมดุลของเสาค้ำยันไม่ได้ หากไม่เขาจะร่วงลงหน้าผาไปพร้อมกับก้อนหิน อีกจุดหนึ่งคือจะเทน้ำจากถุงใส่น้ำตอนไหน ให้น้ำกระเด็นไปโดนเอ็นของสัตว์อสูร ทั้งหมดนี้ต้องทำอย่างแนบเนียน ทำให้คนที่เห็นไม่รู้สึกผิดสังเกต
จี้กุนซือตอนที่เห็นถุงใส่น้ำบนลาน ก็เริ่มสงสัยถุงใส่น้ำพวกนี้แล้ว เขาเขย่าถุงใส่น้ำทีละใบ พบว่าในถุงใส่น้ำแต่ละใบยังมีน้ำอยู่ครึ่งถุงหรือน้อยกว่าครึ่งถุง คิดอยู่ครู่หนึ่งก็เข้าใจว่านี่เป็นแผนการของหลี่เหยียน ใครจะดื่มน้ำจนหมดทุกถุง อย่างน้อยก็ไม่ใช่เปิดถุงแล้ววางไว้ข้าง ๆ ตัวมากมาย
มีอย่างหนึ่งที่จี้กุนซือเดาไม่ออก เขาคิดว่าหลี่เหยียนไม่สามารถรู้ได้ว่าเขาจะมาถึงเมื่อไหร่ แต่หลังจากที่เขามาถึง เวลาก็ผ่านไปนานมาก แต่กลับเห็นหลี่เหยียนเทน้ำจากถุงใส่น้ำแค่ครั้งเดียว ถ้าหลี่เหยียนทำแบบนี้สองครั้ง เขาก็อาจจะสงสัย หลี่เหยียนจัดสรรเวลาอย่างไร? จะเตะถุงใส่น้ำตอนไหน? ทำให้เขาคิดเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก แต่เขามั่นใจว่าหลี่เหยียนต้องใช้การเตะถุงใส่น้ำหลอกล่อศัตรูซ้ำแล้วซ้ำเล่า
จี้กุนซือได้ฟังคำพูดของหลี่เหยียนก็ไม่พูดอะไรต่อ แต่ลุกขึ้นเดินไปหาหลี่เหยียน ตอนนี้พลังปราณของเขากลับมาบ้างแล้ว สามารถใช้เคล็ดวิชาดูดพลังได้แล้ว เขาไม่อยากพูดมาก และกลัวว่าจะมีอะไรผิดพลาดอีก
พอเดินมาถึงตัวหลี่เหยียน เพราะเขาขยับได้แค่มือขวา จึงใช้มือขวาจับหลี่เหยียนพิงต้นไม้ พอหลี่เหยียนพิงได้มั่นคงแล้ว เขาก็นั่งลงข้าง ๆ หลี่เหยียน ใช้มือขวาจิ้มไปที่ตัวหลี่เหยียนหลายจุด หลี่เหยียนค่อยรู้สึกว่าร่างกายเป็นอิสระ กำลังจะขยับตัว ก็มีมือใหญ่ข้างหนึ่งจับไปที่จุดชีพจรบนหัวของเขา ทันใดนั้นก็มีแรงดูดมหาศาลเกิดขึ้น ร่างกายของเขาขยับไม่ได้ และรู้สึกว่าพลังปราณในตันเถียนไหลไปที่หัวโดยไม่รู้ตัวจนเริ่มตื่นตระหนก
จี้กุนซือคลายจุดชีพจรที่ปิดไว้ เพื่อให้พลังปราณของหลี่เหยียนไหลเวียนอย่างสะดวก เขาไม่กลัวว่าหลี่เหยียนจะใช้โอกาสนี้ตอบโต้ เพราะแค่เขากดจุดชีพจรบนหัวของหลี่เหยียน หลี่เหยียนก็ไม่มีเรี่ยวแรงแล้ว
หลี่เหยียนร้อนใจมาก เพราะรู้ว่าตอนนี้เป็นตายเท่ากัน ถ้าถูกดูดพลังปราณไป คงใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วยามพลังปราณของเขาก็จะถูกดูดจนหมดและสิ้นชีวิต แต่ในขณะที่เขาตกใจ พลังปราณในร่างกายของเขาก็เกือบจะทะลักออกมา
‘งั้นก็ได้แต่เสี่ยงครั้งสุดท้าย ข้าตาย ท่านก็ต้องตาย’ หลี่เหยียนผู้มีโทสะพร้อมแลก จึงคิดจะเปลี่ยนคุณสมบัติของพลังปราณในร่างกาย เปลี่ยนพลังปราณทั้งหมดให้เป็นธาตุไฟ
มันเป็นผลลัพธ์ที่ได้จากการทดลองกับตัวเองหลายครั้ง "เคล็ดวิชาม่านราตรีสีคราม" ที่จี้กุนซือฝึกฝนเป็นธาตุไม้ เพราะฉะนั้นพลังปราณที่เขาต้องการดูดก็ต้องเป็นธาตุไม้ แบบนี้ถึงจะมีโอกาสพัฒนาขึ้น
ส่วนหลี่เหยียนที่ฝึกฝนทุกวัน รู้สึกว่าเมื่อพลังปราณไหลเวียนเข้าใกล้พิษไฟที่ถูกสะกดเอาไว้ในมุมหนึ่งของตันเถียน ถ้าเป็นธาตุไม้ก็จะไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ แต่ถ้าเป็นพลังปราณธาตุอื่น ๆ เข้าใกล้ ตรงนั้นก็จะเริ่มมีความเคลื่อนไหว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพลังปราณธาตุไฟเข้าใกล้ แสดงว่าพิษไฟจะไวต่อพลังปราณธาตุไฟมากเป็นพิเศษ ดังนั้นหลี่เหยียนจึงคิดจะเปลี่ยนพลังปราณธาตุน้ำทั้งหมดให้เป็นธาตุไฟ ให้จี้กุนซือดูดเข้าไป ถึงตอนนั้นต่อให้จี้กุนซือไม่ตายทันที ก็คงอยู่ได้อีกไม่นาน
แน่นอนว่าถ้าพลังปราณธาตุน้ำทั้งหมดของเขาถูกดูดเข้าไป ก็จะทำให้พลังปราณในร่างกายของจี้กุนซือปั่นป่วน แต่เขาคิดว่าพลังปราณธาตุไฟน่าจะสร้างความเสียหายมากกว่า และกระตุ้นพิษไฟได้มากกว่า
เพียงแต่ในขณะที่พลังปราณถูกดูดเข้าไปในร่างกายของจี้กุนซือ จี้กุนซือจะรู้ทันทีว่าพลังปราณผิดปกติ และด้วยความโกรธ เพียงแค่ฝ่ามือที่กดอยู่บนหัวของเขาออกแรง เขาก็จะตายก่อนจี้กุนซือ แต่ตอนนี้หลี่เหยียนไม่สนใจแล้ว ในขณะที่เขากำลังจะเปลี่ยนพลังปราณ เขาระดมพลังปราณทั้งหมดในร่างกาย กำลังจะปล่อยพลังปราณทั้งหมดออกไปในพริบตา ทันใดนั้นก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น
มีเสียงแหวกอากาศดังมาจากในป่า เงาร่างสองร่างพุ่งเข้ามา เสียงเสื้อผ้าปลิวไสวดังมาเป็นระยะ ๆ
"ฮ่า ๆ น้องหลี่ ไม่ต้องกลัว ข้ามาแล้ว" พูดจบเงาร่างสองร่างก็พุ่งมาหยุดอยู่หน้าคนทั้งสองคน เป็นหงหลินอิงกับศิษย์น้องร่างใหญ่ของเขา
จี้กุนซือเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงรีบหยุดพลังปราณเอาไว้ แต่ฝ่ามือก็ยังคงวางอยู่บนหัวของหลี่เหยียน
"จี้กุนซือ พวกข้ามาได้จังหวะพอดีหรือไม่?" หงหลินอิงถามหลังจากที่หยุดยืน
"เป็นพวกเจ้า? วิชาปิดบังตัวของพวกเจ้าช่างร้ายกาจนัก เมื่อครู่ข้าตรวจสอบรอบ ๆ หลายลี้ก็ไม่พบอะไร พวกเจ้าทำได้ยังไง?" จี้กุนซือพูดโดยที่ไม่ได้หันกลับไปมอง มือยังคงวางอยู่บนหัวของหลี่เหยียน
ตอนนี้เขากำลังโกรธ เพียงแต่ไม่ได้แสดงออกมา ทว่ามีความประหลาดใจมากกว่า เมื่อครู่เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครมารบกวนตอนที่เขาดูดพลัง เขาได้ตรวจสอบรอบ ๆ หลายลี้แล้ว นอกจากสัตว์ตัวเล็ก ๆ กับนกบนต้นไม้ ก็ไม่มีอะไรที่เป็นภัยคุกคามต่อเขา
"อ้อ? ดูเหมือนท่านจะรู้จักศิษย์น้องของข้าอยู่แล้ว? พอพูดแบบนี้ จี้กุนซือ ท่านนี่แหละที่ร้ายกาจ แสร้งทำเป็นไม่รู้มาโดยตลอด" หงหลินอิงไม่ได้ตอบคำถาม แต่กลับถามขึ้นมาบ้าง ดูเหมือนจะรู้ว่าจี้กุนซือรู้ถึงตัวตนของศิษย์น้องเขา
"แล้วท่านแม่ทัพหงมาที่นี่ทำไม? แอบดูข้ากับศิษย์ฝึกวิชาหรือ?" จี้กุนซือก็ถามกลับเช่นกัน
"ฮ่า ๆ จี้กุนซือ ท่านพูดอะไรอย่างนั้น? พวกข้ามาที่นี่ก็แค่เพราะสนใจวิทยายุทธ์ของสำนักท่าน ท่านพอจะให้พวกข้าดูตำราของสำนักท่านได้หรือไม่เล่า? ตอนนี้ท่านคงจนตรอกแล้วกระมัง?" หงหลินอิงพูดตรง ๆ เป็นฉีกหน้ากากซึ่งหน้า
"ไม่นึกเลยว่าท่านแม่ทัพหงจะมีสายตาที่เฉียบคมขนาดนี้ ท่านอยากจะดูตำราของสำนักข้าก็ได้ เพียงแต่ข้าไม่ได้พกติดตัวมาด้วย ไม่งั้นรอให้ฟ้าสว่าง ข้ากลับไปที่จวนหยิบมาให้ท่านดูดีไหม?"
จี้กุนซือโกรธมาก หงหลินอิงไม่มาเร็วกว่านี้ก็ไม่มาช้ากว่านี้ ดันมาตอนที่เขาเริ่มใช้เคล็ดวิชาดูดพลัง ตอนนี้ถือว่าเป็นจังหวะสำคัญ เคล็ดวิชานี้พอเริ่มใช้แล้วจะหยุดไม่ได้ มิฉะนั้นจะถูกพลังสะท้อนกลับ โชคดีที่เขาเพิ่งจะเริ่มใช้เคล็ดวิชา ตอนนี้ยังควบคุมพลังปราณเอาไว้ได้ แต่อย่างมากก็แค่ยืดเวลาออกไปอีกหน่อยเท่านั้น
จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องบังเอิญ หงหลินอิงรู้ว่าเขาสองคนรวมกันก็ยังไม่ใช่คู่มือของจี้กุนซือ แต่เขารู้ว่า ไม่ว่าจะเป็นการฝึกฝนหรือรักษาอาการบาดเจ็บ สิ่งที่ต้องห้ามมากที่สุดคือการถูกรบกวน มันอาจจะทำให้บาดเจ็บสาหัส หรือไม่ก็อาจจะเสียสติตายได้ ดังนั้นพวกเขาสองคนจึงคอยตามจี้กุนซืออยู่ห่าง ๆ แต่ก็รู้ว่าจี้กุนซือมีพลังสูงส่ง จึงไม่กล้าเข้าใกล้ ขอแค่เห็นการเคลื่อนไหวของเขาก็พอ
พวกเขาเองก็รอคอย รอให้จี้กุนซือเริ่มรักษาอาการบาดเจ็บ และค่อยเข้าไป แบบนั้นทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น
จี้กุนซือมีพลังระดับรวมลมปราณขั้นที่สาม จิตสำนึกแยกออกจากร่างได้ไม่ไกล ถึงแม้สายตาจะเฉียบคม แต่ก็พลาดท่าคนเจ้าเล่ห์ ตอนที่เขาตรวจสอบโดยรอบ พอทั้งสองคนเห็นเขามา ก็จะรีบถอยไป พอเขากลับไป ทั้งสองคนก็จะรีบแอบเข้ามาใกล้
จนกระทั่งตอนที่จี้กุนซือเริ่มใช้เคล็ดวิชาดูดพลัง พวกเขามองหน้ากัน แล้วก็ปรากฏตัวขึ้นทันที ใครจะไปรู้ว่าการกระทำของพวกเขา กลับไปตรงกับจุดอ่อนของเคล็ดวิชาดูดพลัง
"แบบนั้นไม่ได้ ไม่งั้นตอนนี้จี้กุนซือท่องบทสวดสองสามบทให้พวกข้าลองศึกษาดูก่อนดีไหม?" หงหลินอิงส่ายหัว พูดปฏิเสธ
"ฮ่า ๆ ดูเหมือนท่านแม่ทัพหงจะไม่เชื่อข้า ท่านก็เห็นว่าข้ากำลังฝึกวิชากับศิษย์อยู่ รอสักครู่ได้ไหม?" จี้กุนซือเริ่มรู้สึกว่าพลังปราณในร่างกายเริ่มปั่นป่วน
"อยู่... อยู่... ที่เอวของเขา" เสียงหนึ่งดังขึ้นอย่างยากลำบาก เป็นหลี่เหยียนที่พยายามต้านทานแรงดูดที่หัวอยู่ครึ่งชั่วยาม ถึงจะพูดออกมาได้
"อ้อ" หงหลินอิงกับศิษย์น้องรีบมองไปที่เอวของจี้กุนซือ ตอนนี้ที่เข็มขัดของจี้กุนซือมีกระบี่หยกเล่มหนึ่งเหน็บอยู่ กลางคืนกลับมีแสงสว่างเปล่งประกายออกมา ดูไม่เหมือนของธรรมดา
ทั้งสองคนมองหน้ากัน แล้วจึงพุ่งเข้าไปพร้อมกัน โจมตีออกไป ชายร่างใหญ่ใช้ฝ่ามือโจมตีไปที่หลังของจี้กุนซือ ส่วนหงหลินอิงใช้นิ้วมือจิกเหมือนกรงเล็บ คว้าไปที่กระบี่หยกที่เอวของจี้กุนซือ และหงหลินอิงยังพูดออกมาด้วย
"จี้กุนซือ ในเมื่อท่านไม่ยอมลุกขึ้นมายื่นให้ ข้าก็ต้องลงมือเอง ฮ่า ๆ"
เสียงของเขาดังราวกับฟ้าผ่า นี่เป็นเพราะเขาแอบใช้ "เคล็ดวิชาราชสีห์คำราม" ของพุทธ พวกเขาเป็นยอดฝีมือในยุทธภพ ผ่านการต่อสู้มานาน รู้ว่าตอนนี้จี้กุนซือกำลังรักษาอาการบาดเจ็บ สิ่งต้องห้ามมากที่สุดคือการถูกรบกวน ในขณะที่โจมตี เขาจึงใช้พลังตะโกนเพื่อรบกวนจิตใจของจี้กุนซือด้วย
ทางด้านจี้กุนซือ มือข้างหนึ่งถูกทำลายไปแล้ว อีกมือหนึ่งก็กำลังดูดพลังหลี่เหยียนอยู่ ไม่สามารถละมือได้ จึงไม่มีแรงปัดป้อง แต่เขาก็ยังคงหันหลังให้อีกสองคน สีหน้าเรียบเฉย ไม่ตอบคำถาม แต่กลับถามขึ้นมาบ้าง
"แม่ทัพหง ตอนที่ข้าเดินทางมาที่นี่เมื่อบ่าย ข้าก็ตรวจสอบพื้นที่แถวนี้แล้ว ข้าค่อนข้างมั่นใจ พวกเจ้าไม่ได้มาซุ่มโจมตีอยู่ที่นี่กับเจ้าเด็กนี่ก่อนหน้านี้ ดังนั้น พวกเจ้าต้องสะกดรอยตามข้ามา ถึงได้รู้ความเคลื่อนไหวทั้งหมดของข้า ข้าพูดถูกไหม? แต่พวกเจ้าทำได้ยังไง?"