ตอนที่แล้วบทที่ 7 รับสัญญาณ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 9 พบร่องรอย

บทที่ 8 บันทึกประจำวัน


บทที่ 8 บันทึกประจำวัน

ข้อความบนกระดาษขาดๆ หายๆ แสดงถึงสภาพจิตใจของผู้เขียนที่เสื่อมถอยลงเรื่อยๆ แต่เนื้อหาที่อ่านได้กลับทำให้โจวไป๋รู้สึกแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก

ไมค์ลุกขึ้นมานั่งทุกคืน และจ้องมองไปที่ประตู

อาการของเขาแย่ลงเรื่อยๆ...จะกินเขาไหม?

วันนี้ไมค์ก็ยังไม่ได้นอน เขาแค่ยืนนิ่งอยู่ที่ประตู ดูเหมือนว่าเขาจะออกไปเมื่อไรก็ได้ ฉันไม่กล้าขยับตัว...ฉันรู้สึกว่าเขารู้เรื่องอะไรบางอย่างแล้ว

ประตูถูกเปิดออก ไมค์เปิดประตูออกไป ฉันได้แต่นอนคลุมโปง บังคับตัวเองไม่ให้มองสิ่งที่อยู่ด้านนอก

ไมค์ไม่กลับมาในวันรุ่งขึ้น อีกคนหนึ่งหายไปแล้ว…เราจะทำยังไงดี?

หัวของฉันหนักมาก ทุกครั้งที่ตื่นนอนรู้สึกเหมือนถูกพันธนาการ

ฉันเริ่มง่วงง่ายขึ้นเรื่อยๆ ในชั้นเรียน เขาจ้องฉันตลอดเวลา ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองถูกจับตามอง

ตอนเช้าฉันพบว่ากระดาษที่ฉันแปะไว้ที่ล็อกประตูหล่นลงมา ใครบางคนขยับล็อกเมื่อคืนนี้หรือเปล่า?

หน้าอกของฉันเจ็บขึ้นเรื่อยๆ ฉันรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างอยู่ข้างใน...

ฉันเหนื่อยเหลือเกิน ฉันไม่ได้ไปเรียน...เขามาหาฉันแล้ว

ทุกคนจะต้องถูกกินหมด เราไม่มีความหวังแล้ว

เขาจ้องมองฉัน เขามองผ่านรูกุญแจในเวลากลางคืน เขากำลังรอให้ฉันออกไป!!!

ฉันตัดสินใจจะไม่นอนอีก ฉันจะไม่ถูกกิน!

ไม่นอนเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ฉันรู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆ...

โจวไป๋ขมวดคิ้ว ข้อความที่เขียนต่อท้ายเริ่มกลายเป็นคำพูดเพ้อเจ้อที่ไม่มีความหมาย จนยากที่จะเข้าใจ

อลิซที่ยืนอยู่ข้างๆ ถามว่า

“คิดอะไรอยู่?”

โจวไป๋หันไปมองเด็กสาวอายุราวสิบสองหรือสิบสามปี ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ

“นอนเร็วๆ เข้าไว้ อย่านอนดึกมาก”

“ไม่ใช่จะถามเรื่องนั้น!” อลิซพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “คุณคิดว่า ‘เขา’ ที่ในบันทึกพูดถึงคือใคร?”

“ไม่รู้สิ เบาะแสมีน้อยเกินไป จะบอกว่าเป็นเธอก็ยังได้เลย” โจวไป๋ตอบ

อลิซทำหน้ามุ่ยก่อนพูดว่า

“คุณไม่คิดเหรอว่าครูกับฐานลับแห่งนี้มันน่าสงสัย? บันทึกนี้ฉันเจอในชั้นซ่อนใต้เตียง คนที่เขียนคงเคยนอนเตียงเดียวกับฉันมาก่อน”

โจวไป๋มองเธอด้วยความแปลกใจ เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่เติบโตในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ กลับมีความคิดวิเคราะห์และตั้งคำถามกับสิ่งรอบตัวได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้คิดจะถกเถียงอะไรกับเด็ก จึงพยักหน้าตอบไปว่า

“รีบเข้านอนซะ อย่าให้กลายเป็นเซียนขั้นสูงสุดแบบเขาล่ะ”

เมื่อเห็นโจวไป๋เตรียมตัวเดินออกไป อลิซถึงกับกระทืบเท้าด้วยความหงุดหงิดก่อนเดินตามมา พร้อมพูดว่า

“คุณไม่อยากออกจากฐานนี้บ้างเหรอ? ไม่อยากเห็นโลกภายนอกเลยหรือไง? บางทีข้างนอกอาจไม่มีวันสิ้นโลกอย่างที่เขาว่าก็ได้!”

โจวไป๋ยังคงเดินโดยไม่สนใจคำพูดของเธอ จนกระทั่งอลิซพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“แบนดูเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงตั้งแต่เดือนที่แล้ว เหมือนเขากลายเป็นคนละคน เขาเองก็เคยอ่านบันทึกนี้ แต่ตอนฉันกลับไปถาม เขากลับจำอะไรไม่ได้เลย”

โจวไป๋หยุดเดินเล็กน้อย ก่อนหันไปมองอลิซและถามว่า

“เธอรู้อะไรอีกบ้าง?”

อลิซตอบว่า

“ห้องทดลองใต้ดินชั้นห้า แบนดูเคยไปที่นั่น หลังจากนั้นเขาก็เปลี่ยนไปเป็นอีกคน ฉันถึงกับสงสัยว่าเขาไม่ใช่แบนดูคนเดิมด้วยซ้ำ!”

“เขาลงไปชั้นใต้ดินชั้นห้าได้ยังไง?” โจวไป๋ลูบคางพลางถามว่า

“ฉันเคยถามไอชาแล้ว ประตูที่นั่นมีระบบสแกนลายนิ้วมือ มีแค่ครูเท่านั้นที่เข้าไปได้”

อลิซตอบว่า

“ถ้าจะออกจากฐานต้องเปิดประตูโลหะชั้นหนึ่ง ซึ่งต้องใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ ฉันกับแบนดูหาแทบทั่วฐานก็ไม่เจอ บัตรใบนั้นคงอยู่ในห้องทดลองเท่านั้น

พวกเราพบว่ามีช่องระบายอากาศที่เชื่อมไปถึงชั้นใต้ดินชั้นห้า ฉันกับแบนดูใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะตัดตะแกรงข้างในออกได้

แต่หลังจากวันที่แบนดูไปที่ห้องทดลอง เขากลับมาเหมือนเป็นคนละคน อีกทั้งตะแกรงในช่องระบายอากาศก็ถูกซ่อมแซมเรียบร้อยแล้ว…”

ใบหน้าของอลิซแสดงออกถึงความหวาดกลัว

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่… ครูรู้เรื่องที่เราทำแล้วหรือเปล่า?”

โจวไป๋แสดงสีหน้าครุ่นคิด

“เธออยากออกไปดูไหม?”

“คุณ…”

“งั้นพาฉันไปดูช่องระบายอากาศนั่นหน่อย”

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบัตรอิเล็กทรอนิกส์ แมวที่เกี่ยวข้องกับระบบช่วยเหลือ หรือความลับของฐานและครู ทุกอย่างดูเหมือนจะเชื่อมโยงกับห้องทดลองใต้ดิน โจวไป๋จึงตัดสินใจลงไปดูด้วยตัวเอง

ภายใต้การนำทางของอลิซ พวกเขาเดินมาที่ช่องระบายอากาศใต้เพดานบริเวณห้องอาหาร ก่อนที่โจวไป๋จะปลอบให้อลิซกลับไปพัก

คืนนั้นเอง เมื่อเห็นไอชานอนหลับสนิทอยู่ข้างๆ โจวไป๋ก็แอบลุกขึ้นจากเตียงอย่างเงียบเชียบ

“ดูเหมือนต้องไปตอนกลางคืนจริงๆ”

แต่ในจังหวะที่เขาเอื้อมมือไปเปิดประตู คำเตือนของไอชาก็ผุดขึ้นมาในหัว

“กลางคืนห้ามออกจากห้องเด็ดขาด”

“ไม่เป็นไร สิ่งที่ฉันเห็นก่อนหน้านี้ก็แค่แมวตัวนั้นเอง” โจวไป๋ปลอบใจตัวเอง

“แถมฉันยังมีพลังแห่งวิญญาณอีกด้วย อลิซกับแบนดูก็ตัดตะแกรงทุกคืน ฉันจะกลัวอะไร?”

เขาก้าวออกจากห้องอย่างระมัดระวังและปิดประตูเบาๆ ทันใดนั้นสายตาของเขาก็ต้องเผชิญกับความมืดมิดในทางเดิน

ด้วยความเป็นพื้นที่ใต้ดินที่ไม่มีแสงใดๆ สภาพภายนอกจึงมืดสนิท โจวไป๋พบว่าตัวเองแทบมองไม่เห็นอะไรเลย

เขาใช้มือแตะกำแพงนำทาง เดินไปยังห้องอาหารตามที่จำได้

ทุกก้าวที่เดินในความเงียบสงัดและมืดมิดนั้นชวนให้อึดอัดกว่าที่เขาคิด โจวไป๋กลืนน้ำลาย และรู้สึกเหมือนมีบางอย่างในความมืดกำลังจ้องมองเขา

ในที่สุด เขาก็มาถึงห้องอาหาร เขาคลำทางไปยังช่องระบายอากาศด้วยมือ

ในความมืดนั้น เขาลูบไปตามกำแพงแข็งแกร่งทีละนิดจนสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่นุ่มนิ่ม

‘อะไรน่ะ?’ เขาคิดด้วยความตกใจ และเมื่อมือของเขาลูบขึ้นไปอีก สิ่งนั้นก็จับปากของเขาไว้แน่นจนเขาเกือบใช้พลังแห่งวิญญาณออกมา

“ฉันเอง” อลิซพูดเสียงเบา “ฉันเดาไว้แล้วว่าคุณต้องมาที่นี่กลางคืน ฉันจะไปกับคุณ”

โจวไป๋กลอกตา ก่อนอลิซจะพูดต่อ

“ครั้งนี้ฉันจะดูให้เห็นกับตาว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้าคุณไม่พาฉันไป ฉันจะตะโกนเรียกคนอื่น…”

“ก็ได้ๆ ฉันจะพาเธอไป แต่เอามือเธอออกจากคอฉันก่อน มันอึดอัดจะตายอยู่แล้ว”

อลิซชะงักเล็กน้อยก่อนพูดว่า

“…ฉันไม่ได้จับคอคุณนะ”

คำพูดนั้นทำให้โจวไป๋รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว เขารีบใช้พลังแห่งวิญญาณผลักมือที่จับคอเขาออกไปทันที

จากนั้นเขาคว้ามือของอลิซไว้ มองไปรอบๆ ความมืดด้วยสีหน้าตึงเครียด

อลิซที่ถูกเขาจับไว้ถามด้วยความตกใจ

“เกิดอะไรขึ้น? มีอะไรหรือ?”

โจวไป๋ถามเสียงดัง

“ใครอยู่ที่นั่น?”

เขาใช้พลังแห่งวิญญาณตรวจสอบพื้นที่โดยรอบ แต่กลับไม่พบว่ามีใครอยู่ในความมืดเลย

“ออกมาเดี๋ยวนี้”

ความเงียบที่น่าขนลุกในความมืดมิด ไม่มีเสียงใดตอบกลับคำพูดของเขาเลย..

..........

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด