บทที่ 7 รับสัญญาณ
บทที่ 7 รับสัญญาณ
โจวไป๋เดิมทีคิดว่าดร.จวงอาจจะมีแผนรับมืออะไรบางอย่าง แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้
“ก็ได้แต่ภาวนาให้โชคดี และอย่าให้ใครพบฐานของเราเลย...พวกเรา...คือความหวังสุดท้ายของมนุษยชาติแล้ว” ดร.จวงพูดพร้อมกับตบไหล่โจวไป๋เบาๆ ก่อนเดินจากไป
โจวไป๋มองตามแผ่นหลังอันเดียวดายของดร.จวง ภาพของแมวที่เขาเจอเมื่อคืนก็ผุดขึ้นมาในหัว เขาพึมพำในใจ
“ปีศาจงั้นหรือ? ถ้าแมวตัวนั้นอยู่ที่ฐานนี้จริงๆ ดร.จวงรู้เรื่องนี้...หรือไม่รู้กันแน่?”
เขานึกในใจต่อ
“หรือฉันควรจะบอกเรื่องแมวให้เขารู้ดี?”
ไม่ว่าจะเป็นแมวขนสีขาว หรือระบบช่วยเหลือที่มันพามา ล้วนแต่ชวนให้สงสัยทั้งสิ้น และอาจเกี่ยวพันกับสถานการณ์ที่เขาเป็นอยู่ตอนนี้โดยตรง โจวไป๋อดคิดไม่ได้ว่าจุดประสงค์ของอีกฝ่ายคืออะไร เพราะเขาไม่เชื่อว่าจะมีอะไรในโลกนี้ที่ได้มาโดยไม่มีค่าใช้จ่าย
และที่ยิ่งไปกว่านั้น ดร.จวงเองก็ดูมีความลับมากมาย ตั้งแต่ฐานใต้ดิน เรื่องราววันสิ้นโลก หรือกระทั่งวิชาปีศาจที่เต็มไปด้วยความประหลาด ทุกอย่างล้วนดูไม่ชอบมาพากล
‘ฉันควรจะบอกเรื่องทั้งหมดให้ดร.จวงรู้ หรือควรลองตามหาแมวตัวนั้นเองดีนะ?’
หลังคิดอยู่สักพัก โจวไป๋ก็ตัดสินใจ
‘ข้อมูลยังน้อยเกินไป ตอนนี้คงต้องลองหาเองก่อน อย่างน้อยถ้าระบบช่วยเหลือใช้งานได้ ฉันจะมีโอกาสป้องกันตัวได้มากขึ้น’
ในขณะนั้นเอง เขารู้สึกถึงแรงกระแทกหนักๆ ที่ไหล่ เด็กชายร่างสูงเกือบ 180 เซนติเมตรเดินผ่านไปด้วยใบหน้าที่เย็นชา
ไอชาตะโกนขึ้นทันที
“เฮ้! แบนดู นายเดินไม่ดูคนหรือไง?”
เด็กชายที่ชื่อแบนดูหันกลับมามองทั้งไอชาและโจวไป๋ด้วยสายตาเย็นชา ก่อนพูดว่า
“ไม่อยากโดนชน ก็อย่ามาขวางหน้าฉันสิ”
โจวไป๋มองตามแผ่นหลังของแบนดูพลางคิด
‘โห ไอ้หมอนี่ ท่าทางจะหยิ่งน่าดู’
ไอชากระทืบเท้าด้วยความโมโห ก่อนตะโกนตามหลัง
“ขวางอยู่ก็พูดดีๆ สิ!”
“แต่ประเด็นมันไม่ใช่ตรงนั้นมั้ง…” โจวไป๋พูดพร้อมตบบ่าไอชาเบาๆ
“พอเถอะไอชา ไปกินข้าวกันดีกว่า”
ทันทีที่พูดถึงเรื่องกิน ดวงตาของไอชาก็เปล่งประกายทันที เธอลืมความไม่พอใจเมื่อครู่นี้ไปหมดสิ้น และเดินตามโจวไป๋ไปที่ห้องอาหารอย่างอารมณ์ดี
เมื่อทั้งสองรับอาหารและนั่งลง โจวไป๋ก็เริ่มวางแผนต่อ
“ชั้นสองกับชั้นสามที่เป็นพื้นที่อยู่อาศัย ฉันสำรวจดูหมดแล้ว ถ้าแมวตัวนั้นอยู่ในฐานใต้ดินจริงๆ ก็น่าจะอยู่ที่ชั้นสี่หรือชั้นห้า”
เขาจึงถามไอชาว่า
“ไอชา เธอเคยไปทุกส่วนของฐานนี้ไหม? เคยลงไปถึงชั้นสี่หรือชั้นห้าบ้างหรือเปล่า?”
ไอชาก้มหน้าก้มตากินอาหารเสริมในถ้วย ราวกับไม่ได้ยินคำถามเลย
โจวไป๋ถามซ้ำอยู่หลายรอบ แต่ไอชาก็ยังทำเป็นไม่สนใจ เขาจึงยกถ้วยอาหารของเธอไป แต่เธอกลับเอาหัวตามถ้วยไปเรื่อยๆ และกินต่อ
“ยัยนี่…” โจวไป๋ส่ายหัวอย่างปลงตก แต่รู้ว่าไอชาจะยอมตอบหลังจากกินเสร็จ เขาจึงรอ
เมื่อกินอิ่ม ไอชาตอบว่า
“เคยไปชั้นสี่ตอนช่วยครูขนของ แต่ชั้นห้าน่ะไม่เคยไป เพราะนอกจากครูแล้ว ไม่มีใครเข้าไปได้เลย”
ไอชาเล่าถึงสิ่งที่เธอเห็นในชั้นสี่ทีละนิด ขณะที่อลิซซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านหลัง แอบฟังบทสนทนานั้นด้วยสีหน้าครุ่นคิด
หลายวันต่อมา หลังจากวิชาปีศาจจบลง ดร.จวงขอให้นักเรียนช่วยขนของ โจวไป๋จึงอาสาทันที
กลุ่มนักเรียนสิบกว่าคนตามดร.จวงลงไปที่ชั้นสี่ ภาพที่ปรากฏตรงหน้าคือคลังสินค้าขนาดใหญ่ ที่จัดวางสิ่งของต่างๆ อย่างเป็นระเบียบ
เมื่อดร.จวงแจกจ่ายงาน นักเรียนต่างแยกย้ายกันขนของขึ้นไป
หลังจากขนของขึ้นไปสองรอบ โจวไป๋กลับมาที่คลังอีกครั้ง และเมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจ เขาจึงค่อยๆ เดินลึกเข้าไปในคลังสินค้า...
“ตรวจดูชั้นสี่ก่อนว่ามีอะไรบ้าง ถ้าไม่มีจริงๆ ก็คงต้องหาทางลงไปที่ห้องทดลองในชั้นใต้ดินชั้นห้า”
โจวไป๋เดินไปตามแนวทางเดินที่เต็มไปด้วยวัสดุต่างๆ เขามองเห็นอาหารเสริมแบบอัดเม็ด ขนมปังกรอบอัดแท่ง น้ำดื่มบริสุทธิ์ รวมถึงยารักษาโรค อุปกรณ์ทางการแพทย์ และเครื่องมือพื้นฐานต่างๆ
“ไม่มีอะไรแปลกใหม่เลย…” เขาพูดพลางหยุดเดิน ก่อนมองไปยังพื้นที่โล่งซึ่งเต็มไปด้วยอุปกรณ์เก่าๆ ที่ดูพังๆ
“นี่มัน…” โจวไป๋หยิบกระบอกทรงกลมขึ้นมาชิ้นหนึ่ง พลางหมุนดูไปมา
“หรือว่าจะเป็นไฟฉาย?”
ทันใดนั้น สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นอุปกรณ์ชิ้นเล็กอีกชิ้นที่วางอยู่ข้างๆ
“นี่มันดูเหมือนวิทยุรับสัญญาณนี่นา”
เขาลองกดสวิตช์ดู แต่กลับไม่มีการตอบสนอง
“หรือมันเสีย? หรือไม่มีแบตเตอรี่?” โจวไป๋ค้นดูรอบๆ และพบว่ามีถ่านสองก้อนอยู่ในอุปกรณ์ชิ้นหนึ่ง
เขาใส่ถ่านเข้าไปในวิทยุและลองเปิดใหม่อีกครั้ง คราวนี้เสียงซ่าๆ ของวิทยุดังขึ้นทันที
เขาลองปรับความถี่ไปมาหลายครั้ง แต่ก็ไม่พบเสียงพูดหรือข้อความใดๆ โจวไป๋นึกขึ้นได้ทันที
“นี่มันอยู่ใต้ดิน คงไม่มีสัญญาณอะไรเข้ามาได้…”
ขณะที่เขาเริ่มรู้สึกผิดหวัง เสียงจากวิทยุก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
“ที่นี่คือทีมช่วยเหลือสวรรค์… ที่นี่คือทีมช่วยเหลือสวรรค์…”
“เรากำลังช่วยเหลือมนุษย์ทั่วโลก…”
“หากมีผู้รอดชีวิตที่ได้รับข้อความนี้ โปรด…”
โจวไป๋มองวิทยุในมือด้วยความตกใจ แต่เสียงในวิทยุกลับขาดหายไปกะทันหัน เหลือเพียงเสียงซ่าๆ กลับมาอีกครั้ง ไม่ว่าเขาจะลองปรับความถี่อีกกี่ครั้ง ก็ไม่สามารถรับข้อความนั้นได้อีก
ในขณะที่เขากำลังตั้งสติ เสียงเหล็กกระทบพื้นดังขึ้นเบาๆ จากด้านหลัง โจวไป๋หันกลับไปด้วยความตกใจ และพบว่าอลิซยืนอยู่ไม่ไกล เธอเผลอเตะท่อเหล็กจนล้ม
เมื่อเห็นโจวไป๋หันมามอง อลิซก็ยกนิ้วชี้แตะริมฝีปากพร้อมพูดเบาๆ
“ชู่… อย่าตกใจ ฉันไม่บอกครูหรอก”
“เธอได้ยินเมื่อกี้ไหม?” โจวไป๋ถาม
อลิซพยักหน้า ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“จริงๆ แล้ว ฉันก็เคยสงสัยเรื่องวันสิ้นโลกเหมือนกัน มีบางอย่างที่ฉันคิดว่านายควรดู”
เธอพาโจวไป๋ไปยังมุมหนึ่งของคลังสินค้า ซึ่งเต็มไปด้วยชั้นวางหนังสือเรียงราย เขาเห็นแล้วตาลุกวาว รีบเดินเข้าไปดูใกล้ๆ
“หนังสือวิชาเรียน… คณิตศาสตร์… เคมี… ฟิสิกส์… ล้วนแต่เป็นหนังสือความรู้ทั้งนั้น?”
อลิซพูดขณะหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา
“ดูนี่สิ”
เธอเปิดหนังสือออก แล้วหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งส่งให้เขา
โจวไป๋รับกระดาษมาและมองดูข้อความที่เขียนเต็มหน้า
“อย่าเปิดประตู… มันแค่อยากกินพวกเรา…”
“เจ็บเหลือเกิน… หน้าอกของฉันมันเจ็บขึ้นเรื่อยๆ เหมือนมีอะไรบางอย่างกำลังจะพุ่งออกมา…”
“แจ็คก็หายไปแล้ว เขาต้องถูกมันกินแน่ๆ… เราจะทำยังไงดี?”
..........