บทที่ 2 การตื่นฟื้น
บทที่ 2 การตื่นฟื้น
เสียงผู้หญิงดังอยู่ข้างหูโจวไป๋ไม่หยุด “เป็นยังไงบ้าง? ใช้ได้ไหม? พลังแห่งวิญญาณสามารถควบคุมสิ่งของจากระยะไกล ทำร้ายศัตรูในแบบที่พวกเขาไม่อาจมองเห็นได้ แค่คุณคิด พลังมันก็จะทำตามที่คุณต้องการ…”
‘นี่มันไม่ใช่พลังจิตเหรอ?’ โจวไป๋ลองตั้งสมาธิเบา ๆ ก็รู้สึกถึงพลังที่มองไม่เห็นแผ่ขยายออกจากจิตของเขา สัมผัสโลกแห่งความจริง
เสียงดังสนั่นจากประตูเหล็กขัดจังหวะความคิด ประตูถูกกระแทกจนเปิดออก สัตว์ประหลาดร่างกายเต็มไปด้วยเนื้อเน่าซึ่งดูเหมือนถูกเย็บประกอบจากแขนขาหลากชิ้นเข้าด้วยกัน เดินเข้ามาในห้อง ดวงตาสีซีดขาวจ้องตรงมาทางโจวไป๋
ด้วยสัญชาตญาณ โจวไป๋ปลดปล่อยพลังแห่งวิญญาณออกมา ทันใดนั้นแรงที่มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้ในอากาศก็กระแทกเข้าใส่สัตว์ประหลาด มันถูกพันธนาการไว้ทันที
“สำเร็จแล้วเหรอ?!” โจวไป๋ร้องออกมาอย่างดีใจ
แต่ไม่ทันไร สัตว์ประหลาดเพียงแค่ชะงักเล็กน้อยก่อนจะค่อย ๆ ฝ่าพลังที่ตรึงมันไว้ เดินเข้ามาหาเขาช้า ๆ แต่มั่นคง
สีหน้าโจวไป๋เปลี่ยนไป เขาเหลือบมองหน้าจอในหัว รีบใช้ค่าความขี้เกียจที่เหลือทั้งหมดเพิ่มค่าพลังแห่งวิญญาณทันที ตัวเลขพลังแห่งวิญญาณขยับจาก 1 ขึ้นเป็น 10 ในพริบตา
ทันใดนั้น พลังแห่งวิญญาณก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล คลื่นพลังที่มองไม่เห็นพุ่งเข้าหาสัตว์ประหลาด แรงอัดอากาศดัง “ปัง!” พร้อมกับเสียงระเบิดเบา ๆ ร่างของสัตว์ประหลาดถูกเหวี่ยงกระเด็นไปราวกับของเล่น
โจวไป๋มองฉากตรงหน้าด้วยความตื่นเต้น แต่ก่อนจะได้คิดอะไรเพิ่มเติม ทุกอย่างก็ดับวูบลง เขาหมดสติไปทันที
...
โจวไป๋ลืมตาขึ้นอย่างงุนงง ความเจ็บปวดแล่นพล่านในสมอง
ภาพแรกที่เขาเห็นคือเพดานที่ไม่คุ้นเคย กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อแทรกผ่านจมูก
เสียงกัดเคี้ยวดังกรุบกรับ โจวไป๋เงยหน้าขึ้นมอง พบเด็กหญิงผมทองในชุดกระโปรงขาวกำลังกินคุกกี้อยู่ข้างเตียง เศษคุกกี้เลอะปากเธอไปหมด ทันใดนั้น ดวงตาสีฟ้าคล้ายอัญมณีของเด็กหญิงเบิกกว้าง เธอยกมือปิดปากตัวเองก่อนพูดด้วยเสียงตื่นตระหนก “ฉันไม่ได้ขโมยคุกกี้ของพี่กินนะ!”
โจวไป๋จ้องมองรอบ ๆ ด้วยความงุนงง เขาเอ่ยถามโดยสัญชาตญาณ “เธอเป็นใคร? ที่นี่ที่ไหน?”
เด็กหญิงไม่ตอบ เธอรีบวิ่งออกจากห้องตะโกนเสียงดัง “เขาฟื้นแล้ว! คนที่เก็บมาฟื้นแล้ว! เขากินคุกกี้หมดเลย!”
โจวไป๋ถอนหายใจ สะบัดศีรษะเล็กน้อยพลางลุกขึ้นนั่ง เขารู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกายของตัวเอง
“ร่างกายของฉัน…”
เขารีบดึงเสื้อคลุมยาวสีขาวที่สวมอยู่ออก เผยให้เห็นร่างกายที่ผอมบางผิดจากปกติ เขาหันไปมองกระจกข้างเตียง เห็นใบหน้าของตัวเองในวัยหนุ่มที่อายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปี
“นี่มันอะไรเนี่ย… ทำไมฉันดูเด็กลงเยอะขนาดนี้?” เขายกมือแตะใบหน้าตัวเองด้วยความตกใจ “แต่พูดก็พูดเถอะ ตอนหนุ่มฉันหล่อใช่เล่นนะ”
ขณะนั้น ประตูห้องถูกเปิดออกอีกครั้ง เด็กหญิงผมทองจูงชายวัยกลางคนผมดำตาดำเข้ามาในห้อง ร่างของเขาสูงโปร่งแต่ใบหน้ากลับเคร่งขรึม
ชายผู้นั้นมองโจวไป๋ด้วยสายตาเย็นชา “ฟื้นแล้วสินะ? งั้นมาเข้ารับการลงทะเบียน”
“เดี๋ยวสิ…” โจวไป๋ลุกจากเตียง รีบพูดอย่างรวดเร็ว “ที่นี่คือที่ไหน? ทำไมฉันถึงกลายเป็นแบบนี้? แล้วมีโทรศัพท์ให้ยืมไหม? ฉันอยากโทรหาใครสักคน…”
ชายผู้เคร่งขรึมขมวดคิ้วเล็กน้อย “ลงทะเบียนตรวจสอบก่อน ค่อยพูดเรื่องนั้นทีหลัง” พูดจบ เขาหันหลังเดินออกไปพร้อมพึมพำเบา ๆ “บ้าหนักกว่าเดิมอีกคนสินะ…”
โจวไป๋ทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินตามเขาออกไป เด็กหญิงผมทองเดินตามข้าง ๆ เขา ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย เธอเดินวนรอบโจวไป๋พลางถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “พี่ชาย พี่มาจากข้างนอกเหรอ?”
"พี่ชาย พี่มีคุกกี้เหลืออีกไหม?"
"พี่ชาย ทำไมไม่ตอบล่ะ?"
โจวไป๋ไม่มีอารมณ์จะตอบคำถามเด็กหญิงผมทอง เขามัวแต่ครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งสถานที่ที่ไม่รู้จัก ผู้คนที่ไม่คุ้นเคย ร่างกายใหม่ที่ดูแปลกตา และเหตุการณ์ก่อนที่เขาจะหมดสติ ทุกอย่างทำให้เขาสับสนจนจับต้นชนปลายไม่ถูก
เขาเงยหน้าขึ้นมองไปตามทางเดิน สายตาสอดส่องสองข้างผนัง พลันเห็นประตูแต่ละบานเปิดออกอย่างช้า ๆ เด็ก ๆ หลายคนโผล่หัวออกมามอง พวกเขาจ้องมองโจวไป๋ด้วยสายตาเต็มไปด้วยความสงสัยและระแวดระวัง
‘เด็กพวกนี้อายุน่าจะราว ๆ เจ็ดแปดขวบถึงสิบห้าสิบหกปี’ โจวไป๋คิดในใจ ‘มีทั้งคนเอเชีย คนผิวขาว คนผิวดำ ครบทุกเชื้อชาติ ที่นี่มันที่อะไรกันแน่?’
‘พูดถึงเรื่องก่อนหมดสติ…’ โจวไป๋นึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนเขาจะสลบ ความทรงจำเกี่ยวกับ "ระบบช่วยฝึกฝนภัยพิบัติจากสวรรค์และมนุษย์" ก็ปรากฏขึ้นในหัวอีกครั้ง
สถานะปัจจุบัน:
* ระดับการกลายเป็นหนึ่งเดียวกับเต๋า: 0%
* พลังแห่งวิญญาณ: 10
* แผนผังแห่งพลัง: ภัยพิบัติจากสวรรค์และมนุษย์
* ค่าความขี้เกียจ: 0
‘ระบบนี้… เหมือนถูกสร้างขึ้นมาเพื่อช่วยฝึกวิชาภัยพิบัติจากสวรรค์และมนุษย์ ถ้าดูจากค่าความขี้เกียจ มันอาจเป็นระบบเสริมพลังสุดโกงเลยก็ได้’
แต่เมื่อเขาเห็นค่าความขี้เกียจยังคงเป็นศูนย์ เขาก็รู้สึกประหลาดใจ
‘ไม่ใช่สิ ฉันนอนอยู่บนเตียงตั้งนาน ทำไมค่าความขี้เกียจยังเป็นศูนย์อยู่เลย?’
ไม่ทันคิดอะไรต่อ ชายเคร่งขรึมก็พาเขามาหยุดที่หน้าประตูสีขาวบานหนึ่ง เขาหันไปพูดกับเด็กหญิงผมทอง “ไอชา รออยู่ตรงนี้ก่อน” แล้วหันมาทางโจวไป๋ “ตามฉันเข้ามา”
ไอชาพยักหน้า แต่ก็พูดแทรกขึ้นมา “คุณครู หนูหิวแล้วค่ะ”
ชายเคร่งขรึมขมวดคิ้ว “เมื่อกี้เพิ่งกินมื้อเที่ยงไปไม่ใช่เหรอ?”
ไอชาอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนทำหน้าสงสัยหนัก “แต่ทำไมหนูยังหิวอยู่ล่ะคะ!”
ชายคนนั้นถอนหายใจยาวด้วยความเหนื่อยใจ “รออยู่ตรงนี้ก่อน เดี๋ยวฉันจะหาอะไรให้กินหลังจากนี้”
โจวไป๋เดินตามชายเคร่งขรึมเข้าไปในห้อง พบว่ามันเป็นห้องทำงาน ชายผู้นั้นนั่งลงหลังโต๊ะทำงานและชี้ไปที่เก้าอี้ตรงหน้าให้โจวไป๋นั่ง
เขาหยิบแฟ้มเอกสารกองหนึ่งขึ้นมา ก่อนถามว่า “นายชื่ออะไร?”
“โจวไป๋”
“อายุเท่าไหร่?”
โจวไป๋เหลือบมองร่างกายที่ดูหนุ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด “...ไม่รู้”
“มาจากที่ไหน?”
“คนจีน”
ชายเคร่งขรึมเงยหน้าขึ้น จ้องเขาด้วยความสงสัย “จีน? จีนคือที่ไหน?”
โจวไป๋นิ่งอึ้งไป เขาหัวเราะเบา ๆ “คุณไม่รู้จักจีนเหรอ?” แต่ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกแปลกใจ เพราะคำที่เขาเพิ่งพูดออกไปไม่ใช่ภาษาจีน แต่เป็นภาษาที่เขาไม่เคยเรียนมาก่อน กลับพูดได้อย่างคล่องแคล่วเหมือนภาษาแม่
ตอนที่เขาตื่นมายังไม่ทันสังเกต แต่ตอนนี้เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เขาก็พบความผิดปกติ
‘นี่มันภาษาอะไร? ทำไมในความทรงจำของฉันไม่มีภาษานี้เลย…’
‘หรือว่า…เป็นปัญหาจากการแปล? แต่ทำไมหมอนี่ถึงไม่รู้จักจีนเลย?’
แม้ในใจเต็มไปด้วยคำถาม แต่เมื่อเห็นสายตาสงสัยของชายตรงหน้า โจวไป๋ก็เลือกที่จะเก็บความสงสัยไว้ แล้วตอบยิ้ม ๆ ว่า “ก็แค่ที่เล็ก ๆ แห่งหนึ่ง คุณอาจไม่รู้จักก็ได้”
..........