ตอนที่แล้วบทที่ 479 มู่หลิน: ประลองหรือ? ข้าขอจบการแข่งด้วยการฆ่า!(ต้น-ปลาย)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 481 ยักษาแห่งแสง

บทที่ 480 ชาวเทียนหลิง: ใครพูดว่ามู่หลินไม่ใช่ชาวเทียนหลิงกันแน่!(ต้น-ปลาย)


###

ด้วยความตั้งใจที่จะบีบคั้นตนเองผ่านวิกฤตและสถานการณ์เลวร้ายต่าง ๆ มู่หลินจึงพยายามผลักดันให้ร่างเทียนหลิงของตนก้าวหน้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่อีกครั้ง

แม้การทดลองของมู่หลินส่วนใหญ่จะล้มเหลว แต่ด้วยพลังชีวิตที่ครอบครองอยู่ ทำให้ร่างโคลนที่ได้รับบาดเจ็บสามารถฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว และพร้อมที่จะดำเนินการทดลองต่อไปได้

ทางด้านนี้ มู่หลินยังคงยุ่งอยู่กับการทดลองไม่หยุดหย่อน

ขณะที่รอบ ๆ ตัวเขา เหล่าชาวเทียนหลิงต่างก็มีสีหน้าแปลกใจและสงสัยกับการกระทำของมู่หลิน

“ท่านบุตรศักดิ์สิทธิ์กำลังทำอะไรอยู่?”

“ดี ๆ อยู่แล้ว ทำไมถึงต้องทรมานร่างแยกของตนเองด้วย?”

“ท่านบุตรศักดิ์สิทธิ์...จะไม่ใช่ว่ามีปัญหาที่ศีรษะหรอกนะ?”

พวกเขาไม่สามารถเข้าใจการกระทำของมู่หลิน และไม่อาจล่วงรู้เหตุผลที่เขาทำเช่นนั้นได้

แม้กระทั่งเทพีแห่งชีวิตเอง ก็ยังไม่เข้าใจ

—แม้พระนางจะถือกำเนิดมาพร้อมกับพลังแห่งชีวิต แต่กลับไม่สามารถเข้าใจพลังที่ครอบครองได้อย่างสมบูรณ์ นี่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องแปลก หากแต่มันก็ไม่แปลกเลยแม้แต่น้อย

เปรียบได้กับมนุษย์ที่เกิดมาพร้อมแขนขาและสมอง แต่ก่อนที่การแพทย์สมัยใหม่จะพัฒนา มีใครรู้บ้างว่าร่างกายมนุษย์ทำงานอย่างไรโดยละเอียด?

หรือแม้แต่จะรู้ว่า ร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยเซลล์ก็ยังไม่มีใครทราบมาก่อน

และที่สำคัญ ก่อนหน้านั้นใครจะรู้ว่าใครเป็นผู้กำหนดเพศของทารกในครรภ์?

สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มนุษย์มีโดยกำเนิด แต่เป็นเวลานับพันปีมาแล้วที่ยังไม่มีใครสามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้

กระทั่งในปัจจุบัน มนุษย์ก็ยังไม่อาจเข้าใจร่างกายของตนเองได้อย่างสมบูรณ์

ดังนั้นการที่เทพองค์หนึ่งไม่สามารถเข้าใจพลังของตนเองได้ทั้งหมด จึงเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล

เทพีแห่งชีวิตเองก็ไม่เคยสนใจเรื่องการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตในโลกเบื้องล่าง นางจึงไม่เข้าใจถึงเหตุผลที่มู่หลินกระทำเช่นนี้

อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่เข้าใจ แต่มู่หลินกลับแสดงออกมาได้เป็นที่พึงพอใจของพระนางยิ่งนัก

เรื่องที่เขาเป็นผู้แรกที่เปลี่ยนร่างกายเป็นร่างเทียนหลิงนั้นไม่ต้องกล่าวถึง

ร่างกายอันสมบูรณ์แบบของเขา ทำให้พระนางรู้สึกพึงพอใจอย่างมาก—ด้วยพรสวรรค์ที่มีลายศักดิ์สิทธิ์ห้าลายติดตัวมาแต่กำเนิด เช่นนี้ ต่อให้ในช่วงเวลาที่โลกยังคงสมบูรณ์ เทพีแห่งชีวิตก็จะรับเขาเป็นบุตรบุญธรรม และมอบการฝึกฝนให้เต็มที่

สิ่งที่ทำให้เทพีแห่งชีวิตพึงพอใจ หรืออาจกล่าวได้ว่าตกตะลึงที่สุด คือพลังอันไร้ขีดจำกัดของมู่หลิน

ภายในเวลาเพียงหนึ่งชั่วยาม พลังที่มู่หลินใช้ในการควบคุมสิทธิ์แห่งการสร้างสรรค์ เทียบเท่ากับพลังทั้งหมดของผู้บรรลุขั้นเทียนซือหนึ่งคน ซึ่งหากเป็นเทียนซือทั่วไปในสถานการณ์เดียวกันนี้ คงถูกดูดพลังจนหมดสิ้น

แต่สำหรับมู่หลิน ไม่เพียงแต่พลังของเขาไม่ลดลง ตรงกันข้าม พลังที่ส่งผ่านมายังตัวเขากลับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้แม้แต่เทพีแห่งชีวิต ผู้เป็นเทพแท้จริงยังไม่สามารถเข้าใจได้

“พลังมากมายขนาดนี้ เขาทำได้อย่างไรกัน?”

ไม่เพียงแต่เทพีแห่งชีวิต แม้แต่ผู้ที่อยู่ในที่นั้นทั้งหมด ก็ไม่อาจเข้าใจได้เช่นกัน

“สิทธิ์แห่งการสร้างสรรค์เป็นสิทธิ์อันสูงส่งกว่าเรา ต้องใช้พลังอย่างมหาศาลเพื่อกระตุ้นสิทธิ์นี้ แล้วเจ้ามีสิทธิ์อะไรถึงสามารถใช้มันได้ต่อเนื่องเช่นนี้!”

การแสดงออกของมู่หลินทำให้เหล่าปีศาจอสูรต่างแดนถึงกับท้อแท้ พวกมันเริ่มคิดว่า ตนเองคงไม่มีทางเอาชนะเขาได้

และความจริงก็เป็นเช่นนั้น เพราะสิ่งที่พวกมันกังวลได้เกิดขึ้นจริง — มู่หลินทำให้เทพีแห่งชีวิตพึงพอใจอย่างยิ่ง

“เขามีคุณสมบัติเหมาะสมเกินความคาดหมายของข้า” เทพีแห่งชีวิตคิดเช่นนั้น และในใจของนาง ได้ตัดสินใจเลือกมู่หลินให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเทพแห่งชีวิตเรียบร้อยแล้ว

ที่นางยังไม่เปิดเผยคำตัดสินนี้ออกไป เพราะบรรดาผู้มีพรสวรรค์ที่นางเชิญมาในครั้งนี้ ล้วนมีอำนาจและอิทธิพล หากไม่ให้โอกาสในการทดสอบพวกเขาเหล่านี้ นางอาจสร้างศัตรูโดยไม่จำเป็น ซึ่งในตอนนี้นางใกล้จะสิ้นชีพแล้ว จำต้องคิดถึงอนาคตของชนเผ่าตนเองเป็นสำคัญ

แม้ว่าจะยังคงให้การทดสอบดำเนินต่อไป แต่ใจของนางนั้นเอนเอียงไปที่มู่หลิน และกำลังวางแผนว่าจะช่วยเขาให้ชนะการทดสอบอย่างไรดี

“พวกเขาทั้งหมดต่างเกรงกลัวและมีเจตนาร้ายต่อมู่หลิน ต้องการรวมกำลังกันโจมตีเขา...แบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด ในการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้น จะต้องให้มีการท้าประลองแบบตัวต่อตัวเท่านั้น”

“ใช่แล้ว จะต้องไม่ให้มู่หลินเจอกับการต่อสู้แบบหมุนเวียน…”

“ข้าจำได้ว่ามู่หลินสามารถเชื่อมต่อกับเต๋าสวรรค์ได้ เอาเถอะ ตอนประลองข้าจะเปิดสวนแห่งชีวิตให้เขาใช้พลังจากต้นซางเฟิงได้…”

เมื่อเจ้าของสิทธิ์แห่งเทพเลือกผู้สืบทอดแล้ว ผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ ก็แทบไม่มีโอกาสอีกต่อไป

มู่หลิน เขาได้ทำลายโอกาสในการแข่งขันของทุกคนไปเรียบร้อยแล้ว

ในขณะนี้ อาณาจักรเทพของเทพีแห่งชีวิตกำลังค่อย ๆ เคลื่อนเข้าใกล้อาณาจักรมนุษย์อย่างช้า ๆ

นี่เป็นการเตรียมพร้อมล่วงหน้า เพราะกลัวว่าหลังจากส่งต่อสิทธิ์แห่งเทพให้มู่หลินแล้ว เขาอาจถูกลอบโจมตี ดังนั้นนางจึงวางแผนที่จะเชื่อมอาณาจักรเทพเข้ากับเขตแดนมนุษย์ เพื่อให้มู่หลินสามารถขอความช่วยเหลือจากเหล่าจอมเทพมนุษย์ได้ในทันที

...

ความคิดและแผนการของเทพีแห่งชีวิตนั้น มู่หลินยังไม่ล่วงรู้แม้แต่น้อย

ในขณะนี้ เขายังคงพยายามอย่างเต็มที่ในการใช้ภัยพิบัติและสภาพแวดล้อมเลวร้ายต่าง ๆ เพื่อบีบบังคับร่างกายให้เกิดการวิวัฒนาการ

เนื่องจากในธรรมชาติ การวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตนั้นยากลำบาก และต้องใช้เวลายาวนาน มู่หลินจึงเตรียมใจไว้ว่าจะต้องทำการทดลองเป็นหมื่น ๆ ครั้ง และอาจล้มเหลวทุกครั้ง

ทว่าหลังจากผ่านไปเพียงหกชั่วยาม มู่หลินกลับพบกับความสำเร็จอย่างไม่คาดคิด

อาจเป็นเพราะโชคดี หรืออาจเป็นเพราะร่างกายของชาวเทียนหลิงนั้นเหมาะสมกับการกลายพันธุ์ได้ง่าย เปรียบได้กับเหล่าเอลฟ์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงตนเองได้ตามสภาพแวดล้อม เช่น เอลฟ์จันทราในแสงจันทร์ เอลฟ์รัตติกาลใต้พื้นดิน หรือเอลฟ์แห่งทุ่งหญ้า ป่าไม้ ดวงอาทิตย์ และโลหิต

ชาวเทียนหลิงก็มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ร่างกายของพวกเขามีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่มีเหตุผล

นอกจากนี้ ความแข็งแกร่งของสิทธิ์แห่งชีวิตก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้การทดลองประสบความสำเร็จ

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม สิ่งสำคัญคือ มู่หลินทำสำเร็จแล้ว

ภัยพิบัติที่ไร้ที่สิ้นสุด และยีนที่ซ่อนเร้นและตื่นตัวในร่างกาย ได้กระตุ้นให้ร่างเทียนหลิงของมู่หลินเกิดการเปลี่ยนแปลง

ร่างโคลนของเขาหนึ่งร่าง ได้กลายเป็นชาวเทียนหลิงยักษ์

ในท่ามกลางภัยพิบัติที่ไม่มีวันสิ้นสุด สัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอดของร่างโคลนนั้นถูกปลุกขึ้น ทำให้ร่างกายของเขาขยายใหญ่ขึ้น — ร่างที่ใหญ่ขึ้นช่วยให้สามารถกักเก็บพลังงานได้มากขึ้น และเพิ่มพลังในการต่อสู้เพื่อรับมือกับภัยอันตรายต่าง ๆ ได้ดีขึ้น

นอกจากชาวเทียนหลิงยักษ์แล้ว ร่างโคลนของมู่หลินบางร่างยังกลายเป็นร่างกายโปร่งแสง และบางร่างเปลี่ยนไปเป็นรูปแบบธาตุ

แม้ว่าการกลายพันธุ์เหล่านี้จะเกิดขึ้น แต่ส่วนใหญ่ยังเป็นเพียงการกลายพันธุ์ในลักษณะเดียวกัน เพิ่มความหลากหลายให้กับร่างเทียนหลิง แต่ยังไม่ถือว่าเป็นการวิวัฒนาการที่สมบูรณ์

“แต่การเริ่มต้นเช่นนี้ก็ดีแล้ว” มู่หลินคิดพร้อมกับใช้พิมพ์เขียวทางพันธุกรรมของร่างเทียนหลิงยักษ์เป็นรากฐาน แล้วใช้สิทธิ์แห่งการสร้างสรรค์สร้างร่างโคลนชุดใหม่ขึ้นมาเพื่อทดลองต่อ

“ข้ารู้สึกเหมือนกำลังปรับปรุงพันธุ์ข้าวยังไงยังงั้น…” มู่หลินเปรียบเปรยในใจ

ข้าวพันธุ์ดั้งเดิมนั้นให้ผลผลิตต่ำ แต่ผ่านการปรับปรุงพันธุ์หลายชั่วอายุคน จึงสามารถให้ผลผลิตได้มากขึ้นกว่าพันชั่งต่อไร่

มู่หลินก็เช่นกัน เขากำลังใช้ร่างเทียนหลิงของตนเป็นเสมือนเมล็ดพันธุ์ข้าว และทำการปรับปรุงพันธุ์อย่างต่อเนื่อง

ด้วยความสะดวกจากสิทธิ์แห่งชีวิต และพลังงานไร้ขีดจำกัดจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชัน การทดลองของมู่หลินจึงดำเนินไปอย่างราบรื่น

ในชั่วยามที่หก มู่หลินสามารถพัฒนาชาวเทียนหลิงยักษ์ที่ทำให้เขารู้สึกพึงพอใจได้สำเร็จ โดยร่างกายปกติของร่างนั้นมีความสูงถึงสิบสามเมตร

ในชั่วยามที่เก้า ร่างชาวเทียนหลิงยักษ์เติบโตเป็นสิบเจ็ดเมตร

และในชั่วยามที่สิบสาม ร่างชาวเทียนหลิงยักษ์มีความสูงถึงสามสิบสามเมตรในสภาพปกติ

—อย่าได้ดูแคลนชาวเทียนหลิงยักษ์ที่มีความสูงสามสิบสามเมตร เพราะต้องรู้ไว้ว่า พวกเขายังมิได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาใด ๆ หรือใช้เวทมนตร์ใด ๆ ทั้งสิ้น

พื้นฐานของพวกเขาคือความสูงสามสิบสามเมตร ซึ่งหมายความว่า หากใช้เคล็ดวิชาเดียวกัน หรือฝึกฝนในระดับเดียวกัน ชาวเทียนหลิงยักษ์จะมีความแข็งแกร่งกว่าชาวเทียนหลิงธรรมดาถึงสามสิบสามเท่า

พลังอันมหาศาลเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนต้องตกตะลึง

....

ชาวเทียนหลิงในสวนแห่งชีวิตต่างก็เป็นผู้มีพรสวรรค์สูง และล้วนได้รับการฝึกฝนจากเทพเจ้าโดยตรง ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นร่างชาวเทียนหลิงยักษ์ที่มีรูปร่างใหญ่โตและพลังอันล้นเหลือ ทุกคนต่างตระหนักได้ทันทีว่า มู่หลินกำลังทำอะไรอยู่

“ร่างเทียนหลิงที่เติบโตขึ้นตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องพึ่งพาเคล็ดวิชาใด ๆ...ท่านบุตรศักดิ์สิทธิ์กำลังปรับปรุงสายพันธุ์ของพวกเรา!”

“ผู้ใหญ่ที่มีความสูงสามสิบสามเมตร และมีพลังเทียบเท่าระดับแม่ทัพ นี่...มันเป็นไปได้อย่างไรกัน!”

การปรากฏตัวของชาวเทียนหลิงยักษ์ชุดใหม่สร้างความตกตะลึงให้กับชาวเทียนหลิงที่เหลืออยู่ในสวนแห่งชีวิต เสียงหายใจดังฮืดฮาดด้วยความตกใจดังขึ้นเป็นระยะ

ในขณะเดียวกัน บางคนก็แสดงความสงสัยออกมาผ่านสายตาที่มองไปยังเทพีแห่งชีวิต

“สิทธิ์แห่งชีวิตสามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้ด้วยหรือ?”

“เหตุใดท่านแม่พระผู้สร้างจึงไม่เคยทำเช่นนี้เพื่อพวกเรามาก่อนเลย?”

เมื่อเผชิญกับสายตาสงสัยของบรรดาชนเผ่า เทพีแห่งชีวิตทำได้เพียงเผยรอยยิ้มที่ทั้งกระอักกระอ่วนและสุภาพออกมา

การปรับปรุงพันธุกรรมของเผ่าพันธุ์นั้น เป็นสิ่งที่พระนางไม่เคยคาดคิดมาก่อน—สิ่งนี้เปรียบได้กับการค้นพบว่าการต้มน้ำสามารถสร้างพลังงานได้ มนุษย์อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่กว่าจะมีการพัฒนาเครื่องจักรไอน้ำก็ต้องใช้เวลาหลายพันปี

น่าแปลกหรือ? ไม่เลยแม้แต่น้อย

หากขาดจิตวิญญาณแห่งวิทยาศาสตร์ ในยุคสมัยที่เทพยังอยู่ในกรอบของความคิดแบบศักดินา การใช้สิทธิ์แห่งชีวิตย่อมไม่มีประสิทธิภาพสูงสุด

อีกทั้ง ในอดีตเทพีแห่งชีวิตก็ไม่สามารถกระทำเช่นนี้ได้

ไม่ว่าจะที่ใดก็ตาม ย่อมมีพลังอนุรักษนิยม แม้พระนางจะเป็นถึงเทพีแห่งชีวิต แต่ก่อนที่โลกของชาวเทียนหลิงจะล่มสลาย พระนางก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมของชนเผ่าได้ตามใจชอบ

“กฎของบรรพชนไม่อาจละเมิดได้ พวกเรานั้นสมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว” แนวคิดเช่นนี้มีอยู่ทั่วไป

เหตุใดชาวเทียนหลิงในตอนนี้จึงยอมรับได้ง่าย?

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกเขาเป็นคนรุ่นใหม่ มีความยืดหยุ่นในการรับสิ่งใหม่สูง อีกส่วนหนึ่งคือ พวกเขาอาศัยอยู่ในโลกที่ล่มสลายและไม่สนใจการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย แม้แต่การใช้พลังต้องห้ามก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับพวกเขา สิ่งที่พวกเขาต้องการมีเพียงพลังเพื่อความอยู่รอดเท่านั้น

ในเวลานี้ มีชาวเทียนหลิงหนุ่มคนหนึ่งกำหมัดแน่นและทุบกำแพงรอบ ๆ ด้วยความโกรธแค้น

“หากในอดีต ชาวเผ่าของเราทุกคนมีพลังเช่นนี้ บางที โลกของเราอาจไม่ล่มสลาย!”

“……”

คำพูดนี้ทำให้ทุกคนเงียบงัน

ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงมีเสียงหนึ่งดังขึ้น

“ตอนนี้ก็ยังไม่สาย หากท่านบุตรศักดิ์สิทธิ์ช่วยปรับปรุงร่างกายให้พวกเรา พลังของพวกเราจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล เมื่อรวมกับพรสวรรค์อันล้ำเลิศของท่านบุตรศักดิ์สิทธิ์ วันหนึ่ง เราอาจมีโอกาสกลับไปทวงคืนทุกสิ่งกลับมาได้อีกครั้ง!

“......เจ้าพูดถูก พวกเราจะสามารถกลับไปยึดคืนทุกสิ่งได้อีกครั้ง! ด้วยการนำของท่านบุตรศักดิ์สิทธิ์มู่หลิน พวกเราจะต้องกลับไปได้แน่นอน!”

แม้สิทธิ์แห่งเทพจะยังไม่ถูกส่งต่ออย่างเป็นทางการ แต่การปรากฏตัวของชาวเทียนหลิงยักษ์ก็ทำให้เหล่าชาวเทียนหลิงที่ยังคงอยู่เริ่มยกย่องมู่หลินในฐานะผู้นำของพวกเขา

และในขณะนี้ ความคิดที่จะปลิดชีพตนเองของเหล่าชาวเทียนหลิงได้หมดสิ้นไปแล้ว

ในอดีต พวกเขาคิดที่จะฆ่าตัวตายเพราะหมดหวังในอนาคต พวกเขาไม่ต้องการที่จะใช้ชีวิตอย่างไร้เกียรติ ด้วยความเย่อหยิ่งของเผ่าพันธุ์ พวกเขาจึงเลือกที่จะตายมากกว่าจะยอมดำรงอยู่ในความตกต่ำเช่นนี้

แต่ในตอนนี้ การปรากฏตัวของมู่หลินได้ให้ความหวังแก่พวกเขา—ความหวังที่จะได้ทวงคืนแผ่นดินเกิดและเกียรติยศของพวกเขากลับมา

ด้วยเหตุนี้ เหล่าผู้มีพรสวรรค์ของชาวเทียนหลิงจึงกระตือรือร้น และเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้เพื่ออนาคตของพวกเขา!

บางคนถึงกับยกมือขึ้นประกบกันและสวดมนต์ต่อฟ้า “ขอบคุณสวรรค์ ขอบคุณท่านแม่พระผู้สร้าง ที่คุ้มครองพวกเรา ในยามที่พวกเราประสบกับความยากลำบากที่สุด ได้ส่งผู้กอบกู้ของพวกเรามา”

“เขาไม่ใช่ชาวเทียนหลิง เขาเป็นมนุษย์ต่างหาก...”

เมื่อเห็นว่ามู่หลินกำลังจะครอบครองใจชาวเทียนหลิงทั้งหมด บางเผ่าพันธุ์ต่างแดนจึงอดไม่ได้ที่จะยั่วยุและพยายามสร้างความแตกแยกระหว่างมู่หลินกับชาวเทียนหลิง โดยเน้นย้ำว่ามู่หลินเป็นมนุษย์

แต่ก่อนที่คำพูดของเผ่าพันธุ์ต่างแดนจะพูดจบ พวกมันก็ต้องเงียบงันเมื่อพบว่าสายตาทุกคู่ของชาวเทียนหลิงล้วนเต็มไปด้วยความโกรธเคือง

และคำพูดของพวกเขา ทำให้เผ่าพันธุ์ต่างแดนรู้สึกสิ้นหวังยิ่งขึ้น

“หุบปากซะ! ท่านมู่หลินก็คือชาวเทียนหลิง เขาคือบุตรศักดิ์สิทธิ์ที่สวรรค์ประทานมาให้เรา!”

“ใช่แล้ว ใครก็ตามที่กล้าพูดว่าท่านมู่หลินไม่ใช่ชาวเทียนหลิง ถือเป็นการลบหลู่และดูหมิ่นพวกเรา!”

“โปรดระวังคำพูดของพวกเจ้า ท่านบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าเทียนหลิงของเรา มิอาจถูกลบหลู่ได้!”

“...”

“...”

“...”

คำพูดที่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของชาวเทียนหลิงทำให้หลายคนรู้สึกอึ้งไป

ในบรรดาผู้ที่อึ้งที่สุดนั้น ไม่มีใครเกิน—องค์ชายสี่แห่งเผ่ามนุษย์

“???”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด