บทที่ 287 ไฟไหม้
โจวอี้หมินมองดวงตาอ้อนวอนของไลฟางด้วยความสงสาร จึงใช้ตะเกียบคีบหอยเป๋าฮื้ออีกชิ้นให้เธอ “ป้าสาม ไม่เป็นไรหรอก ยังมีเหลืออีกตั้งเยอะ”
พูดจบเขาก็แบ่งเป๋าฮื้อให้ไลฝูและไลไฉพี่น้องคนละชิ้นอยู่ดี เพราะในร้านค้าในสมองของเขายังมีเป๋าฮื้อตุนไว้อีกเยอะ จึงไม่คิดเสียดายเลย
ถ้าเขาไม่แบ่งให้ ป้าสามก็คงไม่ยอมให้ไลฟางและคนอื่นได้กินเพิ่มแน่นอน
เมื่อไลฟางเห็นเป๋าฮื้อเพิ่มในถ้วย เธอก็กินต่ออย่างพอใจ
แม้ว่าโจวซู่เฉียงและป้าสามจะอยากกินมากแต่พวกเขาก็ยับยั้งใจไว้ กินไปแค่คนละหนึ่งชิ้นเพราะแม้เด็กๆจะไม่รู้เรื่อง แต่ผู้ใหญ่ย่อมต้องรู้จักยั้งมือ
หอยเป๋าฮื้อที่เหลือจึงลงท้องของโจวอี้หมินและคุณปู่คุณย่ากันหมดแต่ครอบครัวของป้าสามก็ได้กินเนื้อไก่ไปเยอะ เพราะต้องเข้าใจว่าการได้กินเนื้อสัตว์นั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากแล้ว
หลังจากไลฝูและพี่น้องทั้งสามกินเสร็จ พวกเขาก็ไม่สนใจเรื่องภาพลักษณ์ นั่งเอนหลังอยู่บนเก้าอี้พร้อมท้องที่ป่องขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
ป้าสามเก็บล้างจานชามตามหน้าที่ของเธอเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงพาครอบครัวกลับบ้านไปเพราะตอนนั้นก็เริ่มดึกแล้ว
โจวอี้หมินไม่อยากเดินทางกลับเมืองปักกิ่งในเวลาค่ำมืดเช่นนี้ จึงพักค้างคืนที่หมู่บ้านโจว
ไม่ถึงเจ็ดโมงเช้าเสียงลำโพงของหมู่บ้านก็ดังขึ้น นี่เป็นสัญญาณเรียกรวมคนในหมู่บ้านเพื่อทำงานร่วมกัน
โจวอี้หมินถูกเสียงประกาศปลุกให้ตื่น ถ้าเป็นยุคปัจจุบันเสียงแบบนี้คงถือว่ารบกวนชาวบ้านและอาจถึงขั้นถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกไปตักเตือน
เมื่อถูกปลุกให้ตื่นแล้ว เขาจึงตัดสินใจไปดูความคืบหน้าของการสร้างอ่างเก็บน้ำ
หลังจากเตรียมตัวอย่างง่ายๆ เขาก็เดินไปยังจุดที่กำลังก่อสร้างอ่างเก็บน้ำซึ่งอยู่หลังภูเขา ทางเดินถูกปรับปรุงให้เดินง่ายขึ้นในช่วงนี้ เนื่องจากมีการตัดทางและเก็บกวาดวัชพืชสองข้างทางอย่างเรียบร้อย การเดินใช้เวลาเพียงประมาณสิบถึงยี่สิบนาทีก็ถึงที่หมาย
สถานที่ก่อสร้างเต็มไปด้วยความวุ่นวาย หลายคนกำลังทำงานอย่างขะมักเขม้น สวี่เซี่ยงเป่ยกำลังคุมชาวบ้านด้วยท่าทางเหมือนนายพลที่บัญชาทัพของเขา
โจวอี้หมินกล่าวทักทายด้วยความกระตือรือร้น “พี่สวี่ มาตั้งแต่เช้าเลยเหรอครับ”
สวี่เซี่ยงเป่ยหันมาเห็นว่าเป็นโจวอี้หมิน เขายิ้มตอบและพูดว่า “อี้หมิน กลับจากทำงานต่างเมืองแล้วเหรอ?”
ในหมู่บ้านชนบทไม่มีอะไรที่เรียกว่าเป็นความลับได้ เรื่องใดเกิดขึ้นไม่เกินครึ่งวันก็รู้กันทั่วทั้งหมู่บ้าน ดังนั้นการที่สวี่เซี่ยงเป่ยมาที่หมู่บ้านโจวบ่อยครั้งเพื่อตรวจงานจึงไม่น่าแปลกใจที่เขาจะรู้เรื่องต่างๆ
“ใช่ครับ! ผมเพิ่งกลับมาสองวันก่อน” โจวอี้หมินตอบ
จากนั้นเขาก็เชิญชวนว่า “พี่สวี่ ผมเอาอาหารทะเลมาจากเทียนจิน ไว้เดี๋ยวไปลองชิมที่บ้านผมนะครับ”
เมื่อสวี่เซี่ยงเป่ยได้ยินคำว่าอาหารทะเล เขาก็กลืนน้ำลายทันทีพร้อมตอบแบบไม่เกรงใจว่า “ได้สิ เสร็จงานช่วงเย็นแล้วจะไป”
หลังจากมาที่หมู่บ้านโจวบ่อยครั้งความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคนในหมู่บ้านก็เริ่มสนิทสนมขึ้นเรื่อยๆ ไม่เหมือนช่วงแรกที่ยังรู้สึกแปลกหน้าและเมื่อมีของอร่อยรออยู่จะปฏิเสธได้อย่างไร
โจวอี้หมินเองก็ลงไปช่วยงานกับคนในหมู่บ้าน แม้ว่าหัวหน้ากลุ่มจะบอกว่าเขาไม่จำเป็นต้องช่วย ให้พักผ่อนเถอะ เพราะที่ผ่านมาโจวอี้หมินทำเพื่อหมู่บ้านมากพอแล้ว ไม่ควรเอาเปรียบเขาอีก แต่โจวอี้หมินยืนยันที่จะช่วยหัวหน้ากลุ่มจึงปล่อยให้เขาทำตามใจ
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วไม่นานก็ถึงสิบเอ็ดโมงเช้า ตอนนั้นแดดยังร้อนจัด เสื้อผ้าของทุกคนที่ทำงานก็เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ
ทันใดนั้น โจวอี้หมินพูดขึ้นเสียงดังว่า “พวกคุณดูสิ ตรงนั้นทำไมถึงมีควัน?”
เมื่อทุกคนได้ยินก็รีบหันไปมองตามทิศทางที่เขาชี้และพบว่ามีควันลอยขึ้นมาจริงๆ
หัวหน้ากลุ่มจึงออกมาสั่งว่า “ทุกคนทำงานต่อไป เดี๋ยวผมไปดูพร้อมกับโจวซวี่อันเอง”
ตำแหน่งนั้นดูเหมือนจะเป็นจุดที่มีโรงเรือนสำหรับเฝ้าสินค้าแต่เพื่อความแน่ใจ พวกเขาจึงต้องไปตรวจสอบด้วยตัวเอง
โรงเรือนสำหรับเฝ้าสินค้าแห่งนี้ทำจากไม้ไผ่เพียงไม่กี่ท่อนและใช้เสื่อไม้ไผ่สองผืนวางพาดเป็นโครงเรียกว่า “โรงเรือนแบบกรรไกร” ด้านในมีถังไม้สำหรับนวดข้าวคว่ำกลับด้าน ใช้เป็นทั้งเก้าอี้นั่งและเตียงสำหรับนอนเฝ้าในตอนกลางคืน ดังนั้นโรงเรือนจึงเตี้ยและมีพื้นที่คับแคบมาก
ถ้าหลบอยู่ในนั้นช่วงกลางวันก็จะรู้สึกร้อนอบอ้าว ไม่มีชั้นกันความร้อน แถมโรงเรือนก็เตี้ย จึงยิ่งทำให้อึดอัด
โจวอี้หมินคิดอยากไปดูด้วยเพื่อความสนุกและถือโอกาสพักผ่อนเล็กน้อยจึงตามไปกับหัวหน้ากลุ่มด้วย
พวกเขาเดินไปถึงโรงเรือนเฝ้าสินค้าในเวลาไม่นาน ก็พบว่ามีเด็กสี่คนกำลังจุดไฟปิ้งอะไรบางอย่างอยู่ตรงนั้น เด็กๆเหล่านี้มัวแต่สนใจกับสิ่งที่ทำจนไม่ทันสังเกตว่าหัวหน้ากลุ่มกับโจวอี้หมินมาถึงแล้ว
โจวอี้หมินเห็นสองในสี่คนนั้นเป็นไลฝูและไลไฉ พี่น้องที่เขาคุ้นเคยดี ส่วนอีกสองคนเขาไม่รู้จัก
“ไลฝู ไลไฉ พวกเธอสองคนกำลังทำอะไรกันอยู่ตรงนั้น?”
เสียงที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันทำให้เด็กทั้งสี่ตกใจจนไฟที่พวกเขาจุดไว้กระจัดกระจายออกไป ไฟลุกลามทันทีจนถึงโรงเรือนเฝ้าสินค้า
เมื่อโจวอี้หมินและหัวหน้ากลุ่มเห็นสถานการณ์เช่นนั้น ก็รีบเข้าไปดับไฟทันทีเพราะถ้าปล่อยให้ไฟลุกลามไปมากกว่านี้ อาจทำให้ต้นไม้ทั้งภูเขาถูกเผาไหม้ได้และในตอนนี้เทคโนโลยีการดับเพลิงสมัยใหม่ยังไม่มี การจัดการไฟขนาดใหญ่เช่นนี้จึงเป็นเรื่องยากมาก
เด็กทั้งสี่คนเห็นไฟลุกลามอย่างรวดเร็วก็พากันตกใจจนทำอะไรไม่ถูกต่างยืนนิ่งอยู่กับที่
โจวซวี่อันรีบพุ่งตัวเข้าไปผลักเด็กทั้งสี่ออกมาให้พ้นอันตราย แต่ตัวเขาเองกลับโชคร้ายถูกโครงโรงเรือนที่ไฟไหม้พังลงมาทับเข้าเต็มแรง
หัวหน้ากลุ่มและโจวอี้หมินรีบเข้าไปช่วยเหลือทันที โชคดีที่โครงโรงเรือนไม่ได้มีน้ำหนักมากนัก หากหนักกว่านี้พวกเขาสองคนคงยกออกไม่ไหว
พวกเขาย้ายโจวซวี่อันไปยังที่ปลอดภัยก่อนแล้วเริ่มดับไฟ เนื่องจากในยุคนั้นผ้าเป็นสิ่งที่มีค่ามาก ไม่มีใครอยากเสียสละเสื้อผ้าเพื่อดับไฟ จึงต้องเก็บกวาดวัสดุที่ติดไฟได้รอบๆบริเวณ เพื่อป้องกันไม่ให้ไฟลุกลามต่อ
หลังจากพยายามดับไฟอยู่นานกว่าครึ่งชั่วโมงในที่สุดไฟก็สงบลง เด็กทั้งสี่คนต่างรู้สึกผิดและยืนนิ่งเงียบไม่กล้าพูดอะไรได้แต่ก้มหน้ารับผิด
โจวอี้หมินที่ปกติเป็นคนใจเย็น คราวนี้กลับแสดงความโกรธออกมาพร้อมถามด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ไลฝู ไลไฉ ทำไมพวกเธอถึงเล่นกับไฟ?”
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาโมโหขนาดนี้ เพราะถ้าไม่ได้โจวซวี่อันช่วยไว้ ไม่อยากจะคิดเลยว่าเด็กทั้งสี่จะเป็นอย่างไร
พี่น้องไลฝูและไลไฉที่รู้ถึงความร้ายแรงของเหตุการณ์ครั้งนี้ ไม่กล้าปิดบังอะไรและเล่าอย่างซื่อสัตย์ว่า “พวกเราจับหนูได้ตัวหนึ่ง แล้วต้าหนิวบอกให้พวกเราย่างหนูกิน”
แม้ว่าไลฝูและไลไฉจะไม่ได้ขาดแคลนอาหารขนาดต้องกินหนู แต่พวกเขาก็ทนแรงชักชวนจากเพื่อนๆไม่ไหว จึงช่วยกันก่อไฟและย่างหนู
หัวหน้ากลุ่มและโจวซวี่อันเมื่อได้ฟังเรื่องราวก็ไม่ได้ตำหนิเด็กๆมากนัก เพราะหากเป็นพวกเขาในวัยเด็กก็คงทำแบบเดียวกัน สิ่งที่ทำให้หมู่บ้านยังอยู่ในสภาพดีเช่นนี้ได้ ล้วนเป็นเพราะความช่วยเหลือจากโจวอี้หมิน หากไม่ได้เขาหมู่บ้านคงอยู่ในสภาพลำบากอย่างมาก
โจวอี้หมินได้ยินดังนั้นก็ถึงกับพูดไม่ออก ไม่รู้จะกล่าวอะไรกับพวกเด็กๆดี
“รีบขอบคุณอาซวี่อันของพวกเธอซะ ถ้าไม่ได้เขา พวกเธอคงแย่แน่”
เด็กทั้งสี่ได้ยินดังนั้นก็รีบพูดพร้อมกันว่า “ขอบคุณอาซวี่อันครับ”
แต่แล้วหนึ่งในสี่ที่เป็นเด็กขี้กลัวก็ร้องไห้ออกมาทันที เด็กๆรู้ดีว่าเรื่องนี้ปิดไม่มิดแน่นอน ตอนแรกพวกเขาแค่คิดจะย่างหนูกิน ซึ่งไม่ได้ดูเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร
แต่พอการย่างหนูกลายเป็นเรื่องใหญ่ถึงขั้นนี้ เมื่อกลับไปบ้านพวกเขาก็คงไม่พ้นถูกตีแน่ๆ
(จบบท)