ตอนที่แล้วบทที่ 1 จุดเริ่มต้น
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 3 เสิ่นชิว

บทที่ 2 ความล้มเหลว


บทที่ 2 ความล้มเหลว

หมายเหตุ: มีประวัติการเจ็บป่วยทางจิตระยะยาว กำลังอยู่ระหว่างการบำบัดทางจิตวิทยา

“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ?”

เสิ่นชิวสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในสีหน้าของจางเยว่ เขาถามออกไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง

จางเย่ว่วางเรซูเม่ลงบนโต๊ะ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“คุณเสิ่นชิว เรซูเม่ของคุณยอดเยี่ยมมาก และงานอดิเรกของคุณก็เหมาะสมกับตำแหน่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอย่างยิ่ง เพราะความแข็งแกร่งทางร่างกายและการตอบสนองไวเป็นสิ่งสำคัญสำหรับตำแหน่งนี้ แต่ต้องขอโทษด้วยนะคะ เนื่องจากในประวัติของคุณได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าคุณมีประวัติการเจ็บป่วยทางจิต เราไม่สามารถจ้างคนที่อาจมีความไม่มั่นคงทางจิตใจได้ค่ะ”

“ตอนนี้ผมสบายดี ไม่มีปัญหาอะไร”

เสิ่นชิวเงียบไปชั่วครู่ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย

“คุณเสิ่นชิว ว่าคุณไม่มีปัญหา ไม่ใช่สิ่งที่คุณหรือฉันจะตัดสินได้ค่ะ หากคุณต้องการงานนี้ คุณจำเป็นต้องมีใบรับรองจากสถาบันจิตวิทยาที่เชื่อถือได้ เพื่อยืนยันว่าคุณหายดีแล้ว มิฉะนั้น ฉันคงช่วยคุณไม่ได้ค่ะ”

จางเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงแสดงความเสียดาย

“ผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณครับ”

เสิ่นชิวลุกขึ้นและกล่าวตอบอย่างสุภาพ

“การสัมภาษณ์ขอจบเพียงเท่านี้ หวังว่าเราจะได้ร่วมงานกันในโอกาสหน้า”

จางเยว่กล่าวปิดท้ายด้วยรอยยิ้ม

เสิ่นชิวพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเดินออกจากห้องไป

จางเยว่มองตามแผ่นหลังของเสิ่นชิวที่เดินจากไป แล้วก้มมองเรซูเม่ในมืออีกครั้ง สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเสียดาย

ไม่นานหลังจากนั้น เสิ่นชิวก็เดินออกมาจากอาคารเซิ่งหยวน

“เฮ้อ… ล้มเหลวอีกแล้ว”

เขาพึมพำกับตัวเองอย่างเหนื่อยใจ ปัญหาจากประวัติการเจ็บป่วยทางจิตสร้างความยุ่งยากให้เขาไม่น้อย

ลมหนาวที่พัดมาพร้อมละอองฝนกระทบใบหน้า กลับช่วยชะล้างความขุ่นมัวในใจไปเล็กน้อย

เสิ่นชิวค่อยๆ กางร่ม และเริ่มเดินไปยังทางเข้าสถานีรถไฟใต้ดินที่อยู่ใกล้ที่สุด

สองข้างทางเต็มไปด้วยผู้คนที่เพิ่งเลิกงาน พวกเขาพูดคุยกันอย่างผ่อนคลาย

“เย็นนี้กินอะไรดี?”

“ได้ยินว่าที่ถนนซีคาเปิดร้านใหม่ อาหารอร่อยดีนะ ลองไปดูกันไหม?”

“ฉันก็ได้ยินเหมือนกัน ร้านนั้นรีวิวดีเลย แต่ราคาก็แอบแรง อีกอย่าง ตอนนี้เศรษฐกิจไม่ค่อยดีเพราะปัญหาระหว่างพันธมิตรแดงกับน้ำเงิน จะฟุ่มเฟือยไปไหม?”

“เศรษฐกิจแย่ก็ต้องกินอยู่ดีน่ะแหละ”

เสิ่นชิวมองกลุ่มคนที่สนทนากันแวบหนึ่ง ก่อนจะละสายตาและเดินต่อไปยังทางเข้าสถานี

ไม่กี่นาทีต่อมา เสิ่นชิวก็มาถึงสถานีรถไฟใต้ดิน บริเวณทางเข้ามีบันไดเลื่อนสองฝั่งเพื่อรองรับการสัญจรที่คับคั่ง

เขาปิดร่มและก้าวลงไปพร้อมกับกลุ่มคน

เมื่อมาถึงด้านล่าง เขาเห็นจุดตรวจความปลอดภัยซึ่งติดตั้งเครื่องตรวจจับวัตถุต้องห้าม ข้างๆ มีเจ้าหน้าที่สองคนยืนประจำอยู่

เสิ่นชิวเดินผ่านด่านตรวจไปพร้อมกับฝูงชน และตรงไปยังสามทางแยกที่นำไปยังชานชาลาของสายรถไฟต่างๆ

เขาเลือกเดินไปยังชานชาลาสาย 3 สองข้างทางเต็มไปด้วยจอแสดงผลโฆษณาที่ฉายภาพเคลื่อนไหวต่อเนื่อง

ผู้โดยสารส่วนใหญ่เดินผ่านไปโดยไม่ได้สนใจจอ พวกเขาเพียงต้องการกลับบ้านหลังจากวันที่เหนื่อยล้า

เมื่อมาถึงชานชาลา เขาเห็นข้อความบนจอแสดงผล

“อีก 1 นาที 32 วินาที รถไฟจะเข้าสู่ชานชาลา ขอให้ผู้โดยสารเตรียมตัวให้พร้อม”

ไม่นานหลังจากนั้น รถไฟใต้ดินขบวนยาวกว่า 100 เมตรก็จอดเทียบชานชาลา

กลุ่มคนจำนวนมากทยอยลงจากรถไฟ เสิ่นชิวยืนรออยู่ข้างๆ สายตามองฝูงชนอย่างเงียบๆ ราวกับคุ้นเคยกับภาพเหล่านี้เป็นอย่างดี

หลังจากนั้น เสิ่นชิวขึ้นไปบนรถไฟที่ยังคงมีที่นั่งว่าง แม้ว่าจะมีผู้โดยสารค่อนข้างมาก บรรยากาศในขบวนกลับไม่วุ่นวาย ส่วนใหญ่มีหูฟังฟังเพลง หรือพักผ่อนเอนหลังเงียบๆ

เสียงประกาศอ่อนหวานดังขึ้นพร้อมกับประตูรถไฟที่ปิดลง

“เรียนท่านผู้โดยสารทุกท่าน รถไฟกำลังจะออกจากสถานี สถานีถัดไป ถนนไห่เหวิน”

เสิ่นชิวหาที่นั่งว่าง วางร่มไว้ข้างตัว และหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเลื่อนดูข่าว

หัวข้อที่เด่นชัดบนหน้าจอรายงานว่า การเจรจาเศรษฐกิจรอบที่ 7 ระหว่างพันธมิตรแดงกับพันธมิตรน้ำเงินล้มเหลวอีกครั้งเนื่องจากความคิดเห็นที่ไม่ลงรอยกัน

กระดานแสดงความคิดเห็นเต็มไปด้วยข้อความที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หลายร้อยข้อความต่อวินาที

“พันธมิตรน้ำเงินนี่ช่างโอหังจริงๆ”

“ถ้าคุยกันไม่รู้เรื่อง ก็เลิกคุยไปเถอะ! ทำเหมือนว่าเราจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีพวกเขา”

ขณะที่เสิ่นชิวกำลังดูความคิดเห็นด้วยความตั้งใจ จู่ๆ ข้อความหนึ่งก็เด้งขึ้นมาบนหน้าจอโทรศัพท์ของเขา

“11,052 ชั่วโมง 23 นาที 12 วินาที ประมาณหนึ่งปีสามเดือน นี่คือช่วงเวลาที่เราไม่ได้พบกัน หัวใจของฉันเหมือนดอกไม้แห้งเหี่ยวที่โหยหาฝน รอคอยทุกวินาทีที่จะได้เจอเธอ ในสายตาฉันมีเพียงเธอ ไม่มีที่ว่างสำหรับสิ่งอื่นอีกแล้ว พรุ่งนี้เวลา 12.30 น. พบกันที่ ร้านอาหารเฟิงเย่ ห้ามเบี้ยวนะ~”

เสิ่นชิวมองข้อความด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ก่อนเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มองเงาสะท้อนของตัวเองบนกระจกหน้าต่างรถไฟใต้ดิน แล้วจมอยู่ในความคิด

ครึ่งชั่วโมงต่อมา เสิ่นชิวเดินออกมาจากสถานีรถไฟใต้ดินพร้อมร่มในมือ เขาสอดสายตามองไปรอบๆ

รอบด้านเต็มไปด้วยอาคารและห้างสรรพสินค้าสูงสิบกว่าชั้น ถนนเต็มไปด้วยผู้คนที่พลุกพล่าน

“เฮ้อ… ภายใต้ความเจริญรุ่งเรืองนี้ กลับไม่มีที่สำหรับหัวใจที่เดียวดายของฉันเลย”

เขามองภาพไฟสว่างไสวและสีสันที่วุ่นวายตรงหน้า พร้อมถอนหายใจอย่างแผ่วเบา ความรู้สึกเปลี่ยวเหงาแล่นเข้าสู่หัวใจ

เมืองที่เสิ่นชิวอาศัยอยู่คือ เมืองฉิงคง ศูนย์กลางของเขตปกครองที่สามของพันธมิตรแดง และตำแหน่งที่เขายืนอยู่ตอนนี้คือ พื้นที่ที่เจ็ดทางใต้ของเมืองฉิงคง

เมืองฉิงคงแบ่งออกเป็นสิบพื้นที่ ยิ่งใกล้ใจกลางเมืองยิ่งเจริญรุ่งเรือง มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน แต่ราคาค่าครองชีพก็สูงลิ่วตามไปด้วย

เสิ่นชิวเดินไปตามถนนราว 700 เมตร จนถึงหน้าชุมชนแห่งหนึ่ง

ป้ายประตูชุมชนเขียนด้วยตัวอักษรสีทองอย่างโดดเด่นว่า “หมู่บ้านเซียงเฟิงเสี่ยวหยวน”

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยวัยกลางคนในชุดยูนิฟอร์มยิ้มให้เสิ่นชิวพลางกล่าวทักทาย

“คุณเสิ่นกลับมาแล้วหรือครับ”

“อืม”

เสิ่นชิวพยักหน้าเบาๆ และเดินเข้าชุมชน

ภายในชุมชนเต็มไปด้วยอาคารสูงสามสิบชั้น รวมทั้งหมด 32 หลัง โครงสร้างแบบสองลิฟต์ต่อห้าครอบครัวต่อชั้น ความเขียวขจีภายในชุมชนเพียงแค่พอได้มาตรฐานขั้นต่ำ ส่วนอาคารด้านนอกติดกับถนนตลาดกลางคืน จึงมักเต็มไปด้วยเสียงอึกทึก

แม้หมู่บ้านนี้จะตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เจ็ดซึ่งอยู่ค่อนข้างไกลจากใจกลางเมือง และคุณภาพอาคารจะดูธรรมดา แต่ก็ต้องยอมรับว่าเมืองฉิงคงนอกเขตสิบพื้นที่ ไม่ได้เป็นเพียงชานเมืองว่างเปล่า หากเต็มไปด้วยชุมชนที่อยู่อาศัยอย่างหนาแน่น

ด้วยเหตุนี้ ราคาที่อยู่อาศัยในพื้นที่นี้จึงสูงถึงตารางเมตรละกว่า 10,000 หน่วย แม้จะเป็นย่านที่ค่อนข้างห่างจากใจกลางเมือง สำหรับเสิ่นชิวแล้ว บ้านที่เขาซื้อไว้เป็นเพียงอพาร์ตเมนต์ขนาดเล็ก 89 ตารางเมตร มีสองห้องนอน หนึ่งห้องนั่งเล่น และหนึ่งห้องน้ำเท่านั้น

เหตุผลที่เขาสามารถซื้อบ้านหลังนี้ได้ มาจากการเข้าร่วมโครงการกีฬาท้าทายความสามารถอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนำมาซึ่งเงินสนับสนุนมหาศาลและโบนัสจากการพิชิตโครงการต่างๆ

แต่ถึงอย่างนั้น เสิ่นชิวไม่ได้ใช้เงินทั้งหมดที่หาได้ไปกับการซื้อบ้าน ส่วนใหญ่ถูกนำไปลงทุนกับการซื้ออุปกรณ์มืออาชีพ อีกส่วนหนึ่งถูกนำไปบริจาคให้สถานสงเคราะห์เด็กกำพร้า และใช้ช่วยเหลือเพื่อนร่วมทีมที่โชคร้ายเสียชีวิต

เพราะในหลายกรณี เมื่อเพื่อนร่วมทีมเสียชีวิต บางครั้งครอบครัวหรือญาติของพวกเขาไม่ได้ให้การสนับสนุนเลย ศพมักถูกทอดทิ้งโดยไม่มีใครตามหา ในฐานะหัวหน้าทีม เสิ่นชิวจึงควักเงินส่วนตัวเพื่อจ้างผู้เชี่ยวชาญให้ตามหาและจัดการศพอย่างสมเกียรติ

ค่าใช้จ่ายเหล่านี้สูงมาก ส่งผลให้เงินในมือของเสิ่นชิวแทบไม่เหลือ

ไม่นานนัก เสิ่นชิวเดินมาถึงหน้าประตูบ้านเลขที่ 404 เขาเอื้อมมือไปวางบนเครื่องสแกนลายนิ้วมือ

คลิก!

เมื่อการตรวจสอบผ่าน ประตูเปิดออกโดยอัตโนมัติ

เสิ่นชิวก้าวเข้าไปในบ้านและปิดประตูตามหลัง

ม่านภายในบ้านถูกปิดสนิท ทำให้ห้องมืดสลัว เขายกมือขึ้นแตะสวิตช์ไฟเบาๆ

ทันใดนั้น แสงสว่างก็เติมเต็มห้องนั่งเล่น

ภาพที่ปรากฏตรงหน้าเรียกความรู้สึกสะเทือนใจ เสิ่นชิวจ้องมองผนังห้องนั่งเล่นที่สะอาดเรียบร้อย ซึ่งเต็มไปด้วยกรอบรูปสีขาวดำกว่า 60 กรอบ...

..........

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด