บทที่ 2 ครอบครัวและความรับผิดชอบ
ยังไม่มีคู่ครอง...ถ้ายังหางานไม่ได้อีก ฉันเกรงว่าอาจจะหาขนมปังกินสักก้อนก็ลำบาก!
หลี่อังเดินออกจากสำนักงานทำความสะอาดเรื่องผิดปกติที่หกด้วยใบหน้าหม่นหมอง ก่อนจะเข้าร่วมแถวคิวยาวหน้าสำนักงานทำความสะอาด พลางมองไปยังตราใหม่ที่ปรากฏบนแผงควบคุมเสมือนจริงในหัวของเขา หลี่อังถอนหายใจเงียบๆ ด้วยความเศร้าสร้อย
ข่าวดีคือ เขายังคงเป็น "ผู้ชาย" ทั้งในความหมายตรงและนัยยะอุปมา
ข่าวร้ายคือ ของดีที่เขาได้มาเหมือนจะใช้งานไม่ได้ในตอนนี้และบางครั้งยังสร้างผลกระทบเชิงลบประหลาดๆให้กับเขาอีกด้วย
หลังจากจ้องมองตรา วัยรุ่นว่างงานที่ดำมืดและคำอธิบายที่บอกว่าโอกาสสำเร็จในการนัดบอดลดลง 80% อยู่ครู่หนึ่ง หลี่อังก็เลื่อนสายตาไปยังอีกสองตราที่กำลังอยู่ในสถานะ "ใช้งาน" บนแผงควบคุมเสมือนจริง
แผงควบคุมนี้มีสามช่องสำหรับติดตรา ซึ่งเป็นสิ่งที่ตามหลี่อังมาจากโลกก่อนในช่องกลางมีตราสีเขียวหม่นซึ่งเปล่งประกายความอบอุ่นและอ่อนโยน
พี่ชายที่น่าเชื่อถือ [ระดับทองแดง]
คำอธิบาย เนื่องจากพ่อแม่ในครอบครัวเสียชีวิตตั้งแต่เขายังเด็ก หลี่อังจึงต้องรับหน้าที่ดูแลน้องชายและน้องสาวตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้เขาเป็นพี่ชายที่รับผิดชอบและน่าเชื่อถือและได้รับความรักจากน้องๆอย่างล้นหลาม
ผลของการติดตรา เมื่อพูดคุยกับเยาวชนที่มีอายุน้อยกว่า ผู้ฟังจะเกิดความไว้วางใจอย่างง่ายดาย และเมื่อมีอารมณ์รุนแรง อาจกระตุ้นสถานะพิเศษ "เปิดใจ" ทำให้พวกเขาเผยความลับหรือความทุกข์ในใจออกมา
เส้นทางพัฒนา ยังไม่มี
คุณสมบัติที่ซ่อนอยู่ ยังไม่ถูกเปิดใช้งาน
ถัดจากตรานี้คืออีกหนึ่งตราที่มีสีแดงราวกับเปลวไฟ มันดูสว่างไสวกว่าพระอาทิตย์เสียอีก
วิญญาณแห่งวัตถุนิยม [สีพิเศษ·สีแดงเพลิง·ไม่สามารถพัฒนาได้]
คำอธิบาย ในฐานะที่เป็นผู้ศรัทธาในวัตถุนิยม หลี่อังเชื่อมั่นว่าสิ่งต่างๆล้วนมีรากฐานจากวัตถุและจิตใจหรือปรากฏการณ์ทางจิตทั้งหมดล้วนเกิดจากวัตถุ เขาเชื่อว่าเหตุการณ์ใดๆที่ไม่สามารถอธิบายได้ เกิดจากความไม่เข้าใจในกฎเกณฑ์ของโลก
ผลของการติดตรา
• สำหรับความรู้หรือสิ่งที่เข้าใจได้ หลี่อังสามารถวิเคราะห์และเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานตามระดับความเข้าใจ
• สำหรับความรู้หรือสิ่งที่ไม่เข้าใจได้ เขาสามารถขยายขอบเขตความเข้าใจของตัวเองเพื่อรับข้อมูลบางส่วน และลดผลกระทบจากสิ่งนั้นได้ตามระดับความเข้าใจของเขา
เส้นทางพัฒนา ถึงระดับสูงสุดแล้ว ไม่สามารถพัฒนาต่อได้
คุณสมบัติที่ซ่อนอยู่ ยังไม่ถูกเปิดใช้งาน
"..."
หากดูจากคำอธิบายเพียงอย่างเดียว ตราสีพิเศษนี้ดูเหมือนจะน่าทึ่งมาก แต่ในความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น
ตรานี้ถูกใช้งานเพียงครั้งเดียวตอนแรกที่เขามาถึงโลกนี้ มันช่วยให้เขาสามารถเรียนรู้ภาษาใหม่ในเวลาเพียงสามวันจนสื่อสารได้คล่อง แต่หลังจากนั้นมันก็เหมือนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ถึงแม้ตรานี้จะดูมีความสามารถสูง แต่เขาก็ยังไม่แน่ใจว่ามันจะเข้าข่าย "ความผิดปกติ" ที่ควบคุมได้ตามที่หญิงสาวผมแดงกล่าวถึงหรือไม่ หากเข้าข่ายเขาอาจเหมาะกับสำนักงานทำความสะอาดเรื่องผิดปกติที่หกก็ได้?
เขาอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองสำนักงานทำความสะอาดเรื่องผิดปกติอีกครั้ง แต่แล้วก็ส่ายหัวอย่างรวดเร็วเพื่อสลัดความคิดบ้าบอนี้ออกไป
อย่าคิดอะไรโง่ๆเลยนั่นเป็นงานที่มีอัตราการเสียชีวิตถึง 10% ต่อปี!
แถมดูเหมือนว่าการเข้าไปทำงานที่นั่นจะไม่มีทางถอนตัวออกมาได้ง่ายๆ เขาต้องทำงานจนตายแน่ๆ
ตอนนี้เขาอายุยังไม่ถึง 17 ปี หากต้องทำงานจนถึงอายุ 60 ปีเพื่อเกษียณ หมายความว่าเขาจะต้องทำงานกว่า 40 ปี ซึ่งคิดเป็นโอกาสเสียชีวิตมากกว่า 90% แทบจะเรียกได้ว่า "ตายแน่นอน!"
หากเขาอยู่ตัวคนเดียวมันคงไม่เป็นไร เพราะชีวิตนี้ถือว่าได้มาเปล่าๆ การเอาชีวิตไปเสี่ยงในตอนนี้อาจคุ้มค่ากว่าใช้แรงงานหนักไปตลอดชีวิตจนหมดแรง แต่...
ตอนนี้เขามีครอบครัวที่ต้องดูแล มีสมาชิกทั้งหมดสี่คนในบ้าน น้องชายสองคนที่อายุยังน้อยและตัวเล็กกว่าเขามาก และน้องสาวที่อายุห่างจากเขาเพียงหนึ่งปี แต่เกิดมาพร้อมกับโรคเรื้อรัง อีกทั้งยังได้รับพิษจากการรั่วไหลของสารเคมี ทำให้ป่วยเป็นโรคปอดเรื้อรังที่ไม่เคยหายขาด
หากเขาต้องเสี่ยงชีวิตที่สำนักงานทำความสะอาด ครอบครัวของเขาอาจต้องเผชิญกับชะตากรรมที่เลวร้าย ทั้งหมดอาจไม่มีใครรอดชีวิตได้เลย
"ไอ้โลกบ้าเอ๊ย!"
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หลี่อังแหงนหน้ามองแถวที่ยังคงยาวเหยียด ก่อนจะกัดฟันและพ่นลมหายใจหนักใส่พื้นกระเบื้องที่มีลวดลายสลักอย่างวิจิตร
"โลกนี้มันช่างโหดร้ายจริงๆ!"
ยามอาทิตย์อัสดง แสงอ่อนที่สาดผ่านเมฆหมอกซึ่งเจือด้วยควันพิษจากการเล่นแร่แปรธาตุ โปรยปรายลงมาบนถนนอันสกปรกและวุ่นวายของเมืองหลวง และใต้ฝ่าเท้าหนักหน่วงของชายหนุ่มผู้หนึ่ง แสงนั้นก็ค่อยๆ ถูกบดบังและเหยียบย่ำจนมืดสนิทในที่สุด
หลังจากต่อคิวนานกว่าสองชั่วโมง และผ่านการตรวจสอบและสอบถามหลายรอบ ชายหนุ่มวัยรุ่นว่างงานคนหนึ่งก็ถูกปฏิเสธตามคาด
แม้หลี่อังจะละทิ้งศักดิ์ศรีที่แทบไม่เหลือ ยื้อแขนเสื้อของผู้สัมภาษณ์ไว้ พลางรับรองเสียงดังว่าเขาสามารถทำงานนี้ได้ดีแน่นอน จนเกือบจะคุกเข่าขอร้องในตอนนั้น
แต่เมื่อเห็นร่างกายที่ผอมบางของหลี่อังซึ่งขาดสารอาหารจนเห็นได้ชัด ผู้คัดเลือกที่อ้วนฉุถึงกับไม่สนใจจะตอบคำ พอเพียงตบหลี่อังออกไปอย่างแรง ก่อนจะหันไปหาผู้สมัครรายถัดไป เขากลับบีบต้นแขนและขาของอีกฝ่ายด้วยสายตาดูถูก ก่อนจะประทับตราสีแดงลงบนหน้าอกผอมแห้งของคนคนนั้นว่า
“ผ่าน”
ไอ้เวร!
ย้อนคิดถึงเหตุการณ์ที่แทบจะไม่เห็นมนุษย์เป็นมนุษย์ เหมือนกับกำลังเลือกสัตว์ใช้งาน หลี่อังอดไม่ได้ที่จะกัดฟันแน่นก่อนจะถอนหายใจหนักๆเพื่อปลดปล่อยความอึดอัดที่สุมอยู่ในใจ
แม้จะมาอยู่ที่นี่เกือบสามปีแล้ว แต่เขาก็ยังไม่สามารถทำใจกับสิ่งเหล่านี้ได้
ในชีวิตก่อนแม้เขาจะไม่มีความสำเร็จอะไรมากนัก แต่ก็มีพ่อแม่ที่ยังอยู่ครบ บ้านอบอุ่นและชีวิตสงบสุขเกือบครึ่งชีวิต อุปสรรคที่หนักที่สุดในชีวิตเขาก็แค่การถูกเจ้านายด่าหน้าทำงาน แต่แล้วจู่ๆกลับถูกโยนมาสู่โลกที่น่ารังเกียจนี้ ที่แม้แต่การเอาชีวิตรอดยังต้องทุ่มเทอย่างสุดกำลัง ช่าง...
ช่างมันเถอะ แทนที่จะมัวคิดถึงเรื่องพวกนั้นควรจะคิดว่าพรุ่งนี้จะไปหางานที่ไหนมาช่วยจุนเจือครอบครัวดีกว่า
เมื่อถึงทางเลี้ยวที่อีกด้านหนึ่งคือซอยที่ครอบครัวเขาอาศัยอยู่ หลี่อังก็หยุดฝีเท้า พลางนวดใบหน้าที่แข็งตึงของตัวเอง แล้วบังคับให้ตัวเองฝืนยิ้มออกมานิดหน่อย
พยายามรักษารอยยิ้มไว้ หลี่อังก้าวเดินเข้าไปในซอยมืดที่แทบไม่มีแสงลอดถึง ซอยนั้นเต็มไปด้วยข้าวของเกะกะ เมื่อเดินผ่านไปยังบ้านหลังเล็กมุมตะวันออกเฉียงใต้ที่เป็นจุดหมายปลายทางของเขา
ในขณะที่เขายืนอยู่หน้าประตูบ้านเหล็กสนิมเขรอะซึ่งเก่ากว่าเขาเสียอีกและกำลังยกมือขึ้นจะเคาะ ประตูนั้นก็ถูกเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าขาวซีดของหญิงสาวร่างผอมที่ถึงแม้จะมีใบหน้าสวยงาม แต่ก็ยังแฝงด้วยอาการป่วย
“พี่”
หญิงสาวเรียกหลี่อังด้วยเสียงอ่อนโยน ก่อนที่จะได้ถามอะไร สีหน้าพี่ชายกลับเคร่งขรึมและดุว่าเธอทันที
“ฉันเคยบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเปิดประตูให้ใครสุ่มสี่สุ่มห้า?”
“หนูไม่ได้เปิดมั่วนะ”
หญิงสาวผอมบางที่โดนดุไม่ได้โกรธ เธอรับเสื้อโค้ทของหลี่อังไปปัดฝุ่นเบาๆ พลางตอบพร้อมรอยยิ้ม:
“หนูจำเสียงฝีเท้าของพี่ได้ มีแต่พี่เท่านั้นแหละที่กลับมา หนูถึงเปิดประตูล่วงหน้า”
“แบบนี้ก็ไม่ได้!”
แม้คำพูดของหญิงสาวจะทำให้หลี่อังรู้สึกอบอุ่นในใจ แต่เขาก็ยังทำหน้าดุว่า:
“ที่นี่ถึงจะไม่เลวร้ายเหมือนชานเมือง แต่ก็ไม่ได้ปลอดภัย ถ้าเธอจำผิดขึ้นมาจะทำยังไง?”
หญิงสาวได้แต่ถอนหายใจในใจ เสียงฝีเท้าของพี่ชายเธอหนักหน่วงไม่เหมือนใคร นับตั้งแต่ป่วยหนักเมื่อสามปีก่อน เสียงฝีเท้านั้นยิ่งดูเหมือนแบกภาระหนักอึ้ง ต่อให้เธอกำลังหลับอยู่ก็จำได้
ถึงแม้จะมั่นใจว่าไม่มีทางจำผิด แต่เธอก็ไม่โต้เถียงอะไรกับหลี่อัง เธอแค่แขวนเสื้อโค้ทให้เรียบร้อย แล้วเดินเข้าครัวเพื่อยกมื้อเย็นที่ยังอุ่นๆออกมา
เมื่อหลี่อังนั่งลงที่โต๊ะด้วยใบหน้าอ่อนล้า เขาก็ก้มหน้ากินอาหารง่ายๆ อย่างหิวกระหาย หญิงสาวผอมบางก็นั่งลงที่โต๊ะที่ขาเก่าและหักข้างหนึ่ง วางคางบนมือผอมๆมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยน
“มองอะไร?”
หลี่อังที่หิวจนกินอย่างรวดเร็วรู้สึกไม่ค่อยสบายใจกับการจ้องมองของน้องสาว เขากระแอมเล็กน้อยก่อนจะถามเบาๆว่า
“เด็กๆล่ะ? หลับแล้วเหรอ?”
“อืม”
หญิงสาวพยักหน้าเบาๆและยิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะชี้คางไปข้างหน้า
“ตอนตะวันตกดิน พวกเขายังงอแงอยากรอพี่กลับมา แต่ไม่นานก็เริ่มขยี้ตาแล้วก็หลับตรงโต๊ะกินข้าวนั่นแหละ หนูเพิ่งอุ้มพวกเขาไปนอนในห้องเมื่อกี้นี้เอง”
“ครั้งหน้าถ้าเป็นแบบนี้ก็ปล่อยให้พวกเขาหลับไปก่อน”
หลี่อังมองดูน้องสาวที่ใบหน้าขาวซีดจนแทบไม่มีสีเลือด เขาส่ายหัวพลางกล่าว
“เธอสุขภาพไม่ค่อยดี เด็กสองคนนั้นโตขึ้นเยอะแล้ว ถ้าคราวหน้าพวกเขางอแงอีก เธอก็ปล่อยให้พวกเขาหลับ แล้วรอให้ฉันกลับมาค่อยอุ้มพวกเขาไปเอง ห่มผ้าให้หน่อยอย่าให้เป็นหวัดก็พอ”
“อืม อืม”
หญิงสาวตอบรับเบาๆด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เธอไม่ได้โต้เถียงหลี่อังแต่อย่างใด เธอเพียงยิ้มรับคำสั่งของเขา
เห็นท่าทางของเธอแล้วหลี่อังก็ได้แต่ส่ายหัวอย่างจนใจ
เขารู้ดีว่าน้องสาวคนนี้ แม้จะดูอ่อนโยน แต่ความจริงแล้วดื้อดึงไม่แพ้ใคร เขาเองก็ไม่รู้จะจัดการยังไง จึงได้แต่นั่งกินมื้อเย็นที่เหลือจนหมด ก่อนจะลุกขึ้นเก็บจานและเดินกลับไปยังห้องของตัวเอง เขาใช้เวลาพลิกตัวไปมาอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะหลับไปพร้อมกับความกังวลเต็มหัว
แต่ก่อนที่ฟ้าจะสาง หลี่อังก็ถูกปลุกด้วยเสียงไอรุนแรงที่เหมือนลมหายใจจากเครื่องเป่าลม เสียงนั้นแผดก้องไปทั่วบ้าน พร้อมกับเสียงร้องไห้ของน้องชายและน้องสาวที่ดังไม่แพ้กัน
“พี่! ตื่นเร็ว! พี่ตื่นเร็วสิ!”
(จบบท)