บทที่ 11 หลีลั่วอี
บทที่ 11 หลีลั่วอี
...
ดินแดนลึกลับเก้าหายนะช่างกว้างใหญ่
คนจำนวนหลายหมื่นที่เข้าไปก็เหมือนหินที่ถูกโยนลงสระน้ำ เกิดระลอกคลื่นแล้วสงบลงอย่างรวดเร็ว
หลินเฟิงเดินทางลัดเลาะผ่านป่าทึบมาทั้งวัน พบเจอเพียงไม่กี่คน และเขาก็พยายามหลีกเลี่ยงทั้งหมด
มีเพียงสัตว์ป่าขนาดกลางและใหญ่ที่เขาพบเจอมากมายระหว่างทาง
ในที่สุด เขาก็พบลำธารสายเล็ก ๆ
ที่ใดมีลำธาร ย่อมมีทะเลสาบ
หลินเฟิงเดินตามลำธารไปทางปลายน้ำ
ไม่นานนัก เขาก็พบแอ่งน้ำขัง
แต่สิ่งที่เขาเห็นกลับทำให้ผิดหวัง
ริมแอ่งน้ำเต็มไปด้วยรอยเท้าสัตว์ปีกและสัตว์ป่า
ชัดเจนว่าสถานที่นี้คือแหล่งน้ำสำหรับพวกมัน
ตามบันทึกโบราณที่หลินเฟิงศึกษาก่อนเข้าดินแดนเก้าหายนะ บอกไว้ว่า "ดอกบุปผา" ซึ่งเป็นสมบัติธรรมชาติล้ำค่าจะต้องมีสัตว์อสูรเฝ้าปกป้อง หากมีสัตว์อสูร สัตว์ทั่วไปคงไม่กล้าเข้ามาดื่มน้ำ
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงมั่นใจว่าแอ่งน้ำนี้ไม่มีดอกบุปผา และเริ่มออกเดินทางต่อ
...
เมื่อผ่านไปสามวัน หลินเฟิงเดินตามลำธารต่อไป พบแอ่งน้ำอีกหลายแห่ง แต่ก็ไม่พบดอกบุปผา
หลังจากที่ลำธารสายเล็ก ๆ รวมกับลำธารย่อยอื่น ๆ อีกหลายสาย มันได้กลายเป็นแม่น้ำ
ด้วยปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นมากนี้ เขามั่นใจว่าปลายน้ำต้องมีทะเลสาบขนาดใหญ่
ระหว่างทางที่เขาเดินต่อไปตามแม่น้ำ เสียงการต่อสู้ดังแว่วเข้ามา
ในตอนแรกเขาไม่คิดจะสนใจ
แต่เมื่อคิดว่าอาจมีคนจากสำนักกระบี่เสินเซียวที่เขาเป็นสมาชิกอยู่ เขาจึงตัดสินใจแอบเข้าไปดู
เมื่อเขาเห็นคู่ต่อสู้ทั้งสองฝ่าย เขาพบว่าไม่มีใครจากสำนักกระบี่เสินเซียว
ฝ่ายหนึ่งเป็นคนชุดดำที่เขาเคยเห็น อีกฝ่ายคือคนจากสำนักชิงอวิ๋น
หลินเฟิงรู้สึกสงสัย เพราะคนของสำนักอู่จี๋และฉีซาที่เข้ามาในดินแดนนี้ไม่ได้สวมชุดดำ
คนชุดดำเหล่านี้แข็งแกร่งและโหดเหี้ยม ดูเหมือนตั้งใจจะสังหารโดยไม่ลังเล
ขณะที่หลินเฟิงกำลังครุ่นคิด การต่อสู้ก็เข้าสู่ช่วงสุดท้าย
แม้ว่าฝ่ายชิงอวิ๋นจะมีจำนวนมากกว่า แต่กลับไม่สามารถต้านทานพลังของคนชุดดำได้
คนชุดดำเพียงห้าคนก็สามารถบีบให้ศิษย์สำนักชิงอวิ๋นเกือบยี่สิบคนจนมุม เหลือรอดเพียงหกหรือเจ็ดคน ส่วนที่เหลือตายไปหมด
“พวกเจ้าคือใคร? ทำไมต้องลงมือสังหารพวกข้าด้วย? พวกเจ้าไม่กลัวการแก้แค้นจากสำนักชิงอวิ๋นหรือ?” หลีลั่วอีถามอย่างโกรธแค้น
แม้หลีลั่วอีจะมีพรสวรรค์และความสามารถที่ไม่ธรรมดา แต่กลับไม่อาจรับมือกับคนชุดดำที่มากประสบการณ์และโหดเหี้ยม
แม้เขาจะสามารถหนีเอาตัวรอดได้ แต่ในฐานะศิษย์เอกของสำนักชิงอวิ๋น เขาไม่สามารถทอดทิ้งคนอื่นในสำนักไปได้
“สำนักชิงอวิ๋นและกระบี่เสินเซียวล้วนอยู่ในบัญชีล่าของพวกเรา ถ้าจะโทษ
ก็ต้องโทษที่พวกเจ้าเลือกเข้าสำนักผิด” หนึ่งในคนชุดดำตอบ
“พวกเจ้าเป็นคนของสำนักอู่จี๋ใช่หรือไม่?”
“ไม่ต้องถามหรอก! ข้าไม่มีวันบอกเจ้า ยกเว้นแต่...”
“ยกเว้นอะไร?”
“ยกเว้นแต่พวกเจ้าจะตายทั้งหมด!”
คนชุดดำพูดจบก็พุ่งเข้าโจมตีผู้รอดชีวิตจากสำนักชิงอวิ๋นทันที
“สู้มัน!!” หลีลั่วอีตะโกนเสียงดัง
เขาวางแผนจะถ่วงเวลา แต่เมื่อศัตรูไม่ให้โอกาส เขาจึงเลือกที่จะต่อสู้อย่างเต็มที่
แม้จะรู้ว่าวันนี้อาจจะหนีไม่พ้นชะตากรรม เขาก็ไม่มีความคิดที่จะถอยหนีหรือขอความเมตตา
ในฐานะศิษย์เอกของสำนักชิงอวิ๋น ต่อให้ต้องตาย เขาก็จะไม่ทำให้สำนักเสียชื่อ
แต่ด้วยความแตกต่างของพลัง หากต่อสู้ตรง ๆ ฝ่ายชิงอวิ๋นคงถูกกำจัดในพริบตา...
………………………………………………………….
ในขณะนั้นเอง
“ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!!!”
เสียงวัตถุพุ่งผ่านอากาศดังขึ้น สลับกับเสียงร้องโหยหวน
“อ๊ากกกก!!!”
เมื่อหลีลั่วอีและศิษย์สำนักชิงอวิ๋นหยุดมองไปยังต้นเสียง สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาแทบจะทำให้พวกเขาแข็งค้าง
คนชุดดำห้าคนถูกกิ่งไม้แหลมพุ่งทะลุหน้าอกจนตรึงติดกับต้นไม้ สภาพใกล้ตาย
ส่วนอีกคนถูกชายผู้หนึ่งที่ปรากฏตัวขึ้นอย่างฉับพลันจับคอไว้แน่นจนไม่อาจขัดขืน
“ใครส่งพวกเจ้ามา? และมาในดินแดนเก้าหายนะเพื่ออะไร? ถ้าบอกความจริง ข้าอาจปล่อยชีวิตเจ้าไป” หลินเฟิงถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
เดิมทีเขาไม่คิดจะยุ่งเกี่ยว แต่เมื่อได้ยินว่าคนของสำนักกระบี่เสินเซียวก็อยู่ในเป้าหมายลอบสังหารของพวกนี้ เขาจึงไม่อาจเพิกเฉย
หากเขาไม่จัดการที่นี่ อาจมีศิษย์สำนักกระบี่เสินเซียวต้องสังเวยชีวิตเพิ่มอีก
...
คนชุดดำทั้งห้าที่เหลืออยู่ ต่างมองหน้าชายสวมหน้ากากตรงหน้าด้วยสายตาตื่นตระหนกและไม่อยากเชื่อ
เพียงพริบตาเดียว พวกเขาก็ถูกกำราบอย่างราบคาบโดยไร้หนทางโต้ตอบ
...
“เจ้าคือใครกันแน่?” คนชุดดำที่ถูกหลินเฟิงจับคอถามด้วยน้ำเสียงขาดห้วง
“เจ้าไม่มีสิทธิ์ถามข้า! บอกมาว่าเป้าหมายของพวกเจ้าคืออะไร และใครอยู่เบื้องหลัง มิฉะนั้น...ตาย!”
“ไม่มีวัน!!”
หลินเฟิงพอจะคาดเดาคำตอบได้
คนเหล่านี้ถูกฝึกมาอย่างดี ย่อมไม่ยอมบอกความลับง่าย ๆ
“ถ้าเช่นนั้น... จงไปชดใช้ความผิดบาปของเจ้าในนรกเถอะ!”
พูดจบ เขาใช้แรงบีบคออีกฝ่ายจนกระดูกลั่นเสียงดังและสิ้นลมหายใจทันที
...
ศิษย์สำนักชิงอวิ๋นต่างยืนอึ้งเมื่อเห็นฉากตรงหน้า
แม้แต่หลีลั่วอีเองก็ไม่อาจปิดบังความตื่นตะลึงได้
เขารู้ดีถึงพลังของคนชุดดำเหล่านี้ แต่พวกเขากลับถูกกำจัดในเสี้ยววินาที
โดยชายผู้ที่มีอายุไม่เกินร้อยปี
...
หลินเฟิงโยนร่างไร้วิญญาณลงพื้น ก่อนจะหันหลังเตรียมจากไป แต่เสียงของหลีลั่วอีดังขึ้น
“ขอบคุณท่านผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิต!”
หลินเฟิงหันกลับมาช้า ๆ เผยให้เห็นใบหน้าที่ซ่อนอยู่หลังหน้ากาก
“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า แม้ไม่มีพวกเจ้า ข้าก็จะไม่ปล่อยพวกนี้ไปอยู่ดี”
“ไม่ว่าอย่างไร ท่านก็ช่วยชีวิตพวกเราไว้ ถือเป็นบุญคุณครั้งใหญ่ ได้โปรดบอกชื่อไว้เถิด หลังออกจากที่นี่ สำนักชิงอวิ๋นจะตอบแทนอย่างสมเกียรติ” หลีลั่วอีประสานมือคารวะ
“ไม่จำเป็น เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่ต้องใส่ใจ ลาก่อน!”
...
หลินเฟิงไม่อยากเสียเวลามากกว่านี้ เขาหายตัวไปทันทีหลังพูดจบ
หลีลั่วอีมองไปยังที่ที่เขาหายลับไป ยังคงตกอยู่ในความคิด
“เขาเป็นคนของสำนักใดกันแน่?”
ไม่มีกระบี่ จึงไม่ใช่คนของสำนักกระบี่เสินเซียว
ไม่ใช่สำนักอู่จี๋หรือฉีซาแน่ เพราะพวกนั้นไม่คิดช่วยชีวิตตน
หรือว่าดินแดนหลี่โจวจะมีสำนักลึกลับที่สามารถฝึกศิษย์ได้ถึงระดับนี้?