บทที่ 931 การผูกพันธมิตร
กู้ซู่หลีในที่สุดก็รอดชีวิตออกมาจากไห่ผิงโจวได้สำเร็จ
การเดินทางกลับครั้งนี้เต็มไปด้วยอันตรายนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นการตามล่าของอู๋เมิ่ง หรือการโจมตีจากสัตว์อสูรทะเล แต่ด้วยความสามารถของตัวเอง นางจึงแลกชีวิตกลับมาได้ด้วยบาดแผลเต็มตัว
เมื่อเหยียบย่างบนแผ่นดินของจงโจวอีกครั้ง กู้ซู่หลีรู้สึกราวกับห่างหายไปจากที่นี่ชั่วนิรันดร์
ศิษย์คนอื่นๆของสำนักเสินหนงที่ร่วมเดินทางมาด้วยกันอีกสี่คนล้วนเสียชีวิต เหลือเพียงนางคนเดียวที่รอดมาได้และทั้งหมดนี้เป็นเพราะแผนร้ายของหน่วยเทียนหลง!
เมื่อกลับมาถึงหุบเขาสมุนไพรลับ ที่นี่ก็ยังคงมีมาตรการป้องกันที่เข้มงวดอย่างยิ่ง ตั้งแต่การขโมยพืชวิญญาณระดับเจ็ดครั้งนั้น ทำให้เหล่าศิษย์ของหุบเขาสมุรไพรลับไม่อาจยืดอกในสำนักเสินหนงได้อีก
ด้วยเหตุนี้ กู้ซู่หลีในฐานะผู้นำจึงยอมใช้ทรัพย์สมบัติที่สะสมมานานนับพันปีเพื่อแลกกับผลปัญญาเซียน
“ท่านกลับมาแล้ว!”
เหล่าศิษย์ต่างมารวมตัวต้อนรับทันที แต่เมื่อเห็นสีหน้าของกู้ซู่หลี ทุกคนก็รู้สึกถึงความผิดปกติ
“ท่านเจ้าสำนักอยู่ที่ใด?”
ศิษย์หุบเขาสมุนไพรลับอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะมีผู้หนึ่งก้าวออกมาตอบว่า
“ท่านเจ้าสำนักน่าจะอยู่ในถ้ำสวรรค์ของเขา”
เมื่อได้คำตอบที่ต้องการ กู้ซู่หลีไม่ได้หยุดพัก นางมุ่งหน้าสู่เมืองหลวงแล้วบินตรงไปยังถ้ำสวรรค์
แม้ระยะทางจากเมืองหลวงถึงถ้ำสวรรค์จะไม่ไกลนัก แต่นางก็บินไปอย่างช้าๆ
ในระหว่างนั้น นางครุ่นคิดว่าจะอธิบายเรื่องราวที่ไห่ผิงโจวให้เจ้าสำนักฟังอย่างไรและจะโน้มน้าวให้ฝ่ายต่างๆช่วยกันลงโทษหน่วยเทียนหลงได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกไม่มั่นใจ การส่งศิษย์ห้าคนของสำนักเสินหนงไปในครั้งนี้ มีทั้งผู้อาวุโสระดับเปลี่ยนจิตสองคนและศิษย์ระดับปฐมภูมิอีกสองคน ซึ่งล้วนเป็นกำลังสำคัญของสำนัก
แต่เพื่อพวกเขาทั้งห้า เจ้าสำนักจะยอมเปิดศึกกับหน่วยเทียนหลงจริงหรือ?
หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมง กู้ซู่หลีตัดสินใจกลับไปยังจุดเริ่มต้น
ครั้งนี้เป้าหมายของนางคือหน่วยซูหลัว!
ไม่ว่าจะเป็นสำนักเสินหนง สำนักเทียนกง หรือแม้แต่หน่วยฉิงซีและฮวาเย่หลง ถึงแม้จะมีผู้เสียชีวิตจากแผนร้ายของหน่วยเทียนหลง แต่เพราะหน่วยเทียนหลงมีอำนาจล้นฟ้าไม่มีใครกล้าต่อต้านอย่างเปิดเผย
อย่างไรก็ตาม สำหรับหน่วยซูหลัวอาจจะแตกต่างออกไป!
หน่วยซูหลัวตั้งอยู่ในเมืองหลวงจงโจวเช่นกัน เพียงแค่การป้องกันรอบนอกก็แน่นหนามาก
ยามรักษาการณ์หยุดกู้ซู่หลีไว้ แต่เมื่อนางแสดงตัวตนให้รู้ พวกเขาจึงยอมรายงานเรื่องนี้เข้าไป
หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งธูป นางจึงได้รับอนุญาตให้เข้าไปพร้อมทั้งมีผู้คุมนำทาง
ภายในหน่วยซูหลัวบรรยากาศแปลกประหลาด ผู้ฝึกตนต่างหลีกเลี่ยงการสนทนากันตลอดทาง บรรยากาศเงียบงันแต่แฝงด้วยความตึงเครียด
ในที่สุดกู้ซู่หลีก็มาถึงหน้าห้องหนังสือของสุ่ยหยุนฉี
ฐานะของนางในฐานะผู้นำหุบเขาสมุนไพรลับทำให้มีสิทธิ์พบกับสุ่ยหยุนฉีได้โดยตรง
เมื่อประตูเปิดออก นางเห็นชายผู้หนึ่งรูปร่างสูงเพรียว สายตาแหลมคมแม้จะยืนหันหลังให้ เขาคือสุ่ยหยุนฉี เพียงเห็นแค่รัศมีรอบตัวก็สัมผัสได้ถึงความดุดันของเขา
ยามที่ผู้คุมส่งกู้ซู่หลีเข้ามาแล้วปิดประตูลงยังสร้างค่ายกลป้องกันเสียงไว้ด้านนอก
ไม่ว่าบทสนทนาจะเป็นความลับหรือไม่ แต่เนื้อหาที่พูดคุยกับสุ่ยหยุนฉีย่อมไม่ใช่สิ่งที่ใครจะล่วงรู้ได้
“ไม่ได้เจอกันนาน เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องอันใด?” สุ่ยหยุนฉีพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
เมื่อเผชิญหน้ากับสุ่ยหยุนฉี นางก็ยังรู้สึกกดดันอย่างยิ่ง
“ท่านสุ่ยหยุนฉี ข้ามีเรื่องสำคัญจะรายงาน”
“เจ้าคือผู้นำของหุบเขาสมุนไพรลับ แต่เจ้าไม่ได้เป็นคนของหน่วยซูหลัว เจ้าจะมารายงานอะไรกับข้าได้ยังไง?”
สุ่ยหยุนฉีพูดด้วยใบหน้าจริงจัง น้ำเสียงของเขาราวกับตั้งคำถามที่แฝงด้วยความกังขา
“เป็นอย่างนี้เจ้าค่ะ หน่วยเทียนหลง……”
กู้ซู่หลีใช้เวลาประมาณหนึ่งถ้วยชาเล่าเรื่องราวในมุมมองของนางทั้งหมดเกี่ยวกับเหตุการณ์บนเกาะกลางทะเลที่ไห่ผิงโจวให้เขาฟังอย่างครบถ้วน ซึ่งเนื้อหาที่ได้ยินทำให้สุ่ยหยุนฉีขมวดคิ้วแน่น
“เจ้าฟ่านเทียนหมิง ช่างกล้านัก!”
เสียงตะโกนด้วยความโกรธดังกึกก้อง ทำให้กู้ซู่หลีถอยหลังไปสองก้าวด้วยความตกใจ แม้นางจะรู้สึกหวาดกลัว แต่ในใจก็มั่นใจว่านางมาถูกที่และหาคนถูกต้องแล้ว!
หากในจงโจวยังมีใครสักคนที่พร้อมจะยืนหยัดต่อต้านหน่วยเทียนหลงเพื่อเหล่าผู้เสียชีวิต คนผู้นั้นก็คือสุ่ยหยุนฉีและหยุนหยา
สำหรับหยุนหยา นางไม่ค่อยรู้จักมากนัก เนื่องจากอีกฝ่ายอยู่ในเมืองหลวงตลอด แต่สุ่ยหยุนฉีคือทางเลือกที่ดีที่สุด
แม้สุ่ยหยุนฉีจะโกรธ แต่เขาไม่ได้ปล่อยให้ความโกรธครอบงำ หลังจากเสียงคำรามดัง เขาก็สงบลงในทันที
ในอดีตหากเป็นเรื่องเกี่ยวกับฟ่านเทียนหมิง เขาคงใช้ข้ออ้างเหล่านี้เพื่อเปิดโปงให้อีกฝ่ายอับอาย แต่นี่ไม่ใช่สถานการณ์ปกติอีกต่อไป
“ไม่ว่าอู๋เมิ่งจะใช้วิธีการใดหรือทำอะไรลงไป เขาก็เป็นผู้ฝึกตนระดับหลอมรวมตัวจริง! และการที่หน่วยเทียนหลงมีผู้ฝึกตนระดับหลอมรวมถึงสองคนก็เป็นปัญหาที่น่าหนักใจอยู่แล้ว”
หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วน สุ่ยหยุนฉีก็คิดแผนการขึ้นมาได้
“ขอบคุณเจ้าที่นำข้อมูลนี้มาให้ ข้าขอให้เจ้าพักผ่อนสักระยะะ ข้าจะกลับมาในไม่ช้า”
“ท่านสุ่ยจะไป…” กู้ซู่หลีอยากถามว่าเขาจะไปไหน แต่สุดท้ายนางก็กลืนคำถามลงไปในลำคอ เพราะนางไม่มีสิทธิ์ที่จะถาม
“เจ้าอย่าเพิ่งไปไหน ข้าอาจมีเรื่องที่ต้องการให้เจ้าช่วยอีก”
สุ่ยหยุนฉีทิ้งคำพูดไว้ ก่อนที่ร่างของเขาจะหายไป เหลือเพียงเงาจางๆในสายตานาง
เมื่อปรากฏตัวอีกครั้ง เขาก็มาถึงพระราชวังเก่าของตระกูลกงเอ๋อ ซึ่งเจ้าของใหม่ของที่นี่ก็สัมผัสถึงการมาของเขาในทันที
เงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้น เป็นหยุนหยา ผู้ที่ยังหนุ่มและดูโดดเด่นกว่าสุ่ยหยุนฉีในหลายด้าน
“เจ้ามาที่นี่ทำไม?”
ไม่มีความเกรงใจหรือการให้เกียรติใดๆ อดีตผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์และหนึ่งในผู้แข่งขันตำแหน่งกษัตริย์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เจ้ารู้จักผลปัญญาเซียนหรือไม่?” สุ่ยหยุนฉีถามด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย
“ผลที่ฟ่านเทียนหมิงได้มาจากดินแดนลับใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้ว!”
“ข้าเคยได้ยินมา มันก็เป็นเพียงเครื่องมือช่วยเหลือคนที่ไม่สามารถบรรลุขั้นหลอมรวมด้วยตนเองเท่านั้น แล้วเจ้าอยากได้มันหรือ?”
“ข้าไม่สนใจมัน แต่มีคนที่สนใจ”
“ศิษย์ของเจ้าหรือ?”
“สามเดือนก่อน ฟ่านเทียนหมิงได้นำผลปัญญาเซียนออกมาประมูลอีกครั้ง…”
สุ่ยหยุนฉีเล่าถึงเหตุการณ์อย่างละเอียด รวมถึงการที่อู๋เมิ่งละเมิดกฎและดึงดูดสัตว์อสูรทะเลจำนวนมากเข้ามาโจมตี ซึ่งทำให้มีผู้ฝึกตนจำนวนมากเสียชีวิตในเหตุการณ์นั้น
หยุนหยาที่ฟังเรื่องราวทั้งหมดก็มีสีหน้าขรึมขึ้น
ทั้งสองต่างเป็นคนฉลาด มิฉะนั้นคงไม่สามารถบรรลุขั้นหลอมรวมในยุคปัจจุบันได้
“เจ้าต้องการให้เราร่วมมือกัน ใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างเพื่อบีบให้ฟ่านเทียนหมิงถอนตัวหรือ?”
“ถูกต้อง! หลังจากเขาถอนตัวแล้ว เราต่างก็ใช้ความสามารถของตนเพื่อดึงดูดพันธมิตรอีกครั้ง เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
หยุนหยาขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่สำหรับเขานี่คือโอกาสที่ดี
ตั้งแต่ที่อู๋เมิ่งใช้วิธีการไม่เหมาะสมเพื่อบรรลุขั้นหลอมรวม สถานการณ์ทั้งหมดก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
(จบบท)