บทที่ 90 การถ่ายทอดพลังแห่งหลิงกวน(ต้น-ปลาย)
###
สองวันต่อมา รถม้าคันหนึ่งแล่นเข้าสู่อำเภอหลัวเถียนอย่างช้า ๆ
อำเภอแห่งนี้ไม่ได้ใหญ่โตนัก และไม่ได้คึกคักเป็นพิเศษ ถนนดูค่อนข้างแคบ ร้านค้าในเมืองมีไม่มากนัก แต่กลับมีวัดวาอารามตั้งอยู่หลายแห่ง
นอกจากนี้ยังดูเหมือนว่าที่นี่จะมีการบูชาเทพเจ้าต่าง ๆ อยู่ไม่น้อย
สิ่งที่จางจิ่วหยางสังเกตเห็นมากที่สุดคือร้านค้าที่ขายธูป เทียน ยันต์ และรูปเคารพของเทพเจ้าต่าง ๆ แสดงให้เห็นว่าชาวบ้านในอำเภอหลัวเถียนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
แม้เวลาจะผ่านไปกว่ายี่สิบปี แต่เหตุการณ์วิญญาณทหารผ่านแดนยังคงทิ้งร่องรอยลึกซึ้งไว้ในเมืองนี้
ทุกปีที่นี่จะจัดงานแห่เทพเจ้า โดยอัญเชิญรูปเคารพของเทพเจ้าจากวัดต่าง ๆ ออกมาเพื่อขอให้ช่วยคุ้มครองและปกป้องจากปีศาจร้าย
แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้จางจิ่วหยางจะมาไม่ถูกจังหวะ เพราะงานแห่เทพเจ้าเพิ่งจัดเสร็จไปไม่นาน ความคึกคักจึงจางหายไปจนทำให้เมืองดูเงียบเหงา
“พี่จิ่ว เจ้าไม่ได้บอกหรือว่าเราจะมาทันงานแห่เทพเจ้า? ทำไมถึงไม่มีแล้วล่ะ?”
ในรถม้า อาหลี่นั่งค้ำคางด้วยความผิดหวังเล็กน้อย
จางจิ่วหยางเองก็สงสัย “จากข้อมูลที่เราสอบถามมา งานแห่เทพเจ้าน่าจะจัดในช่วงนี้นี่นา ทำไมถึงจัดไปก่อนแล้ว?”
เขาหยุดรถม้าแล้วสุ่มถามชาวบ้านเกี่ยวกับสถานที่ของลานประหารที่ตลาดตะวันตก
แต่เมื่อชาวบ้านได้ยินคำถามนี้ สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปทันที หลายคนบ่นพึมพำว่าเป็นลางร้ายก่อนจะสะบัดแขนเสื้อเดินหนีไป
จางจิ่วหยางถามซ้ำอีกหลายคน แต่ก็ได้คำตอบในลักษณะเดียวกัน
เขาเริ่มรู้สึกว่ามีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล ลานประหารที่ตลาดตะวันตกอาจเกิดเรื่องร้ายแรงบางอย่างขึ้น
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้รีบร้อน และเลือกหาที่พักในโรงเตี๊ยมก่อน
“พี่จิ่ว เราจะรอไปอย่างนี้เหรอ? แล้วคนที่เจ้าบอกว่าจะมาน่ะ จะมาถึงเมื่อไร?”
อาหลี่ที่กำลังเบื่อหน่ายเริ่มเล่นชิงช้าโดยใช้เชือกผูกคอแล้วโยกไปมา พลางหัวเราะด้วยความสนุกสนาน
ช่วงที่ผ่านมาเธอต้องอ่านหนังสือและฝึกเขียนตัวอักษรทุกวันจนเหนื่อย พอได้ออกมาเที่ยวก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นบ้าง
แต่เสียดายที่พี่จิ่วบอกว่าต้องรอใครบางคนก่อนถึงจะไปล่าปีศาจได้
“พี่จิ่ว เจ้าไม่รู้หรือว่าคนนั้นพักอยู่ที่ไหน?”
จางจิ่วหยางส่ายหน้า “ไม่ต้องกังวล เยวี่ยหลิงบอกว่าเมื่อเราเข้ามาในอำเภอหลัวเถียน คนคนนั้นจะมาหาเราเองในไม่ช้า”
เขาหมายถึงหลิงไถหลางที่เยวี่ยหลิงส่งมาคุ้มครองเขา ซึ่งตามที่ทราบ คนผู้นั้นน่าจะมาถึงอำเภอหลัวเถียนก่อนพวกเขาแล้ว
“ฮึ! คนนั้นมีตาทิพย์หรืออย่างไร ข้าไม่เชื่อหรอก—”
อาหลี่พูดไม่ทันจบก็เปลี่ยนสีหน้าทันที เธอตั้งท่าราวกับเผชิญหน้าศัตรูใหญ่ มือทั้งสองข้างถือมีดคู่แน่น จ้องประตูด้วยความระมัดระวังราวกับลูกวัวตัวน้อย
เลือดเริ่มซึมผ่านชุดเล็ก ๆ ของเธอ พลังอาฆาตรุนแรงแผ่ซ่านออกมา
“พี่จิ่ว ข้ารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายสังหารที่น่ากลัวมาก เหมือนกับ…ทะเลเลือด!”
อาหลี่มีพรสวรรค์สูงด้านการทำนาย ไม่เพียงแต่สามารถคาดการณ์เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ ยังสามารถสัมผัสถึงอันตรายที่ใกล้เข้ามาได้อีกด้วย ด้วยพลังที่ก้าวเข้าสู่ครึ่งขั้นระดับอำมหิตของเธอ การที่เธอตื่นตัวถึงเพียงนี้แสดงให้เห็นว่าผู้ที่มานั้นแข็งแกร่งอย่างยิ่ง
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่หน้าประตูมีร่างสูงโปร่งปรากฏขึ้น เสียงทุ้มต่ำและทรงอำนาจดังขึ้น
“ฉินเทียนเจี้ยน หลี่เหยียน”
จางจิ่วหยางส่งสัญญาณให้อาหลี่เก็บมีดคู่และกลับเข้าไปในหุ่นเชิดวิญญาณ ก่อนจะเดินไปเปิดประตู
เบื้องหน้าคือชายร่างสูงประมาณเจ็ดฟุต ใบหน้าคมเข้ม รูปร่างผอมบาง สวมชุดคลุมสีดำเอวตรงดุจสนบนหน้าผาสูงชัน ดูสงบนิ่งแต่แข็งแกร่งและแฝงไปด้วยความลึกลับ
เขาดูมีอายุราวสี่สิบปี ใบหน้าเต็มไปด้วยร่องรอยแห่งการต่อสู้ มีเส้นผมสีขาวแซมประปราย และรอยแผลเป็นขนาดใหญ่พาดผ่านใบหน้าเพิ่มความดุดันให้แก่เขา
อย่างไรก็ตาม กลับไม่มีความชราหรืออ่อนแอปรากฏให้เห็นเลย ตรงกันข้าม เขากลับดูเหมือนภูเขาไฟที่หลับใหล หรือทะเลก่อนเกิดพายุ ราวกับซ่อนพลังอันมหาศาลไว้ภายใน
สายตาของจางจิ่วหยางหยุดอยู่ที่วัตถุยาวคล้ายหอกซึ่งถูกห่อด้วยผ้าแน่นหนาที่หลังของเขา
“จางจิ่วหยาง คารวะท่านแม่ทัพหลี่!”
จางจิ่วหยางประสานมือคารวะพร้อมกับเรียกอีกฝ่ายว่าแม่ทัพตามคำแนะนำของเยวี่ยหลิง มิใช่เรียกว่า “หลี่หลิงไถ”
เนื่องจากหลี่เหยียนในอดีตเคยเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพจี้โจว ผู้ใช้หอกเหล็กกล้าไร้เทียมทาน ดุจมังกรข้ามแม่น้ำจนได้รับสมญานามว่า “ราชันหอกเหล็ก”
เขาใช้ความกล้าหาญและฝีมืออันเก่งกาจ สร้างชื่อเสียงจนได้รับการยอมรับจากแม่ทัพใหญ่และทหารนับแสนในกองทัพจี้โจว
ต่อมาไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด เขาได้เข้าร่วมฉินเทียนเจี้ยน และกลายเป็นหนึ่งในหลิงไถหลางของหอไป๋หู่ ทำภารกิจปราบปีศาจมากว่าสิบปี จนได้รับสมญานามใหม่ว่า “พยัคฆ์ทมิฬแห่งท้องทะเล”
เยวี่ยหลิงเคยบอกว่า หลี่เหยียนอาจไม่ใช่หลิงไถหลางที่แข็งแกร่งที่สุดของหอไป๋หู่ แต่เขากลับเป็นผู้ที่มีอัตราความสำเร็จในการปฏิบัติภารกิจสูงที่สุด
เมื่อได้ยินจางจิ่วหยางเรียกว่าแม่ทัพหลี่ ดวงตาที่สงบนิ่งของหลี่เหยียนพลันมีแววสั่นไหวเล็กน้อย
เขาพยักหน้าให้จางจิ่วหยาง ก่อนจะมองไปยังหุ่นเชิดวิญญาณในห้อง
“ปีศาจสาวตนนั้นกำลังจะกลายร่างสมบูรณ์ ข้าช่วยกำจัดให้ไหม?”
จางจิ่วหยางรีบขวางไว้พร้อมยิ้ม “เป็นพวกเดียวกัน เป็นพวกเดียวกัน!”
เมื่อเห็นท่าทีของเขา หลี่เหยียนก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าไม่ชอบปีศาจ แต่นายหญิงเยวี่ยมีคำสั่งให้ข้าฟังคำสั่งของเจ้าและคุ้มครองความปลอดภัยของเจ้า”
“แม่ทัพหลี่ ท่านมาถึงอำเภอหลัวเถียนก่อนข้าหลายวัน ท่านพบสิ่งใดบ้างหรือไม่?”
จางจิ่วหยางรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
หลี่เหยียนล้วงสมุดเล่มหนึ่งออกจากอกเสื้อ ยื่นให้เขา “ทั้งหมดอยู่ในนี้”
จางจิ่วหยางเปิดดู ภายในบันทึกทุกอย่างไว้อย่างเรียบร้อย ตัวอักษรคมชัดราวกับพิมพ์ออกมา แถมยังแบ่งหมวดหมู่ข้อมูลเกี่ยวกับลานประหารที่ตลาดตะวันตกตั้งแต่เริ่มก่อสร้างไว้อย่างละเอียด
เขาพบข้อมูลที่เป็นประโยชน์มากมายอย่างรวดเร็ว
ลานประหารที่ตลาดตะวันตกสร้างขึ้นในช่วงต้นยุคไท่ผิง และได้รับการบูรณะสองครั้ง สถานที่แห่งนี้เป็นจุดที่มีการประหารชีวิตนักโทษบ่อยครั้ง ส่งผลให้มีพลังงานหยินหนาแน่น และเกิดเรื่องราวลี้ลับขึ้นบ่อยครั้ง
เช่น มีการเล่าว่าเพชฌฆาตที่ลานประหารมักฝันว่าตนเองยังคงประหารนักโทษอยู่ในเวลากลางคืน และเมื่อตื่นขึ้นมากลับพบว่าบนดาบเพชฌฆาตยังมีคราบเลือดสด ๆ ทั้งที่ในความเป็นจริงไม่มีร่างผู้ใดอยู่ในลานประหาร
เช่น เมื่อไม่กี่วันก่อน มีคนไปตกปลาในเวลากลางคืน ระหว่างทางกลับบ้านเขาเดินผ่านลานประหารที่ตลาดตะวันตก ดูเหมือนจะได้ยินเสียงบางอย่าง ไม่มีใครรู้ว่าเขาเห็นอะไร แต่เช้าวันต่อมาเขาก็เสียสติ เริ่มคุกเข่ากราบลานประหารซ้ำ ๆ จนในที่สุดศีรษะก็ฟาดพื้นจนตาย
เหตุการณ์นี้เองที่ทำให้ชาวอำเภอหลัวเถียนต่างพากันหวาดกลัว และรีบจัดงานแห่เทพเจ้าล่วงหน้า หวังจะขับไล่พลังชั่วร้าย
เมื่อเห็นเช่นนี้ จางจิ่วหยางก็เข้าใจเสียทีว่าทำไมเมื่อเขาถามผู้คนในอำเภอเกี่ยวกับลานประหารจึงไม่มีใครยอมพูด และต่างพากันบ่นว่าเป็นลางร้าย
“แม่ทัพหลี่ สมุดเล่มนี้มีประโยชน์มาก ขอบคุณท่านมาก”
จางจิ่วหยางกล่าวด้วยความจริงใจ
หลังจากนั้นเขาเชิญหลี่เหยียนร่วมรับประทานอาหารและดื่มเหล้า แต่พบว่าหลี่เหยียนแทบจะไม่พูดเรื่องใดนอกเหนือจากภารกิจ บุคลิกของเขาเย็นชาเหมือนรูปสลักน้ำแข็งที่ยากจะเข้าถึง
จางจิ่วหยางสัมผัสได้ว่า หลี่เหยียนไม่ได้มีท่าทีต่อต้านเขาเป็นพิเศษ แต่ดูเหมือนบุคลิกส่วนตัวของเขาจะเป็นเช่นนี้
แม้ชื่อของเขาจะมีคำว่า “เหยียน” ซึ่งหมายถึงเปลวไฟ แต่ภายในจิตใจกลับเย็นเยือกราวกับน้ำแข็ง ดูคล้ายเครื่องจักรที่ไร้ความรู้สึก
เขาเป็นคนที่ต้องมีเรื่องราวเบื้องหลังมากมาย
บางทีอาจเป็นเพราะประสบการณ์ในกองทัพ หลี่เหยียนจึงมีท่าทางนั่งที่เคร่งครัดตรงดุจสน ยึดมั่นในระเบียบวินัยสูงมาก ไม่ดื่มเหล้า และกินอาหารเพียงเจ็ดในสิบส่วนของความอิ่ม
เพราะการดื่มเหล้าจะทำให้การตัดสินใจลดลง และการกินอิ่มเกินไปจะทำให้เคลื่อนไหวลำบาก
เงียบขรึม สุขุม มีวินัย ใช้หอก แฝงกลิ่นอายทหาร...
ลักษณะเหล่านี้ทำให้จางจิ่วหยางนึกถึงใครบางคน คนที่เสียชีวิตในสนามรบตั้งแต่อายุสิบหกปี
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จางจิ่วหยางจึงถามขึ้นว่า “แม่ทัพหลี่ ท่านเคยรู้จักคนที่ชื่อหลัวผิงหรือไม่?”
เมื่อได้ยินชื่อนั้น ดวงตาอันเยือกเย็นของหลี่เหยียนก็มีแววสั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด
เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง คล้ายกับว่าในความคิดของเขาได้ย้อนกลับไปเห็นเด็กหนุ่มผู้ดื้อรั้นคนนั้นอีกครั้ง
ในอดีต เขาคือผู้ช่วยชีวิตหลัวผิงจากปีศาจร้าย
เขาเห็นเด็กคนนั้นฝังศพพ่อแม่ ลุง ป้า และพี่น้องด้วยมือของตนเอง เดิมทีเขาตั้งใจจะส่งเด็กไปยังสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่กลับถูกความมุ่งมั่นของเด็กคนนั้นทำให้ใจอ่อน
เขาจึงพาหลัวผิงกลับมายังฉินเทียนเจี้ยน เดิมทีไม่คิดจะสอนอะไรด้วยตนเอง แต่เด็กคนนั้นกลับมายืนรอที่หน้าประตูทุกวันโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
ในที่สุดเขาจึงเริ่มสอนกระบวนท่าบางอย่าง หลัวผิงอาจไม่มีพรสวรรค์โดดเด่น แต่เขากลับเอาชนะด้วยความพากเพียร มุ่งมั่น ฝึกฝนทั้งกลางวันและกลางคืนจนมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
ต่อมาเขาก็เริ่มคุ้นเคยกับการที่มีเด็กคนนั้นยืนรอเขาที่หน้าประตูทุกครั้งที่กลับจากภารกิจ ไม่ว่าจะลมฝนหรือแดดร้อน
จนกระทั่งเมื่อเดือนก่อน เขาไม่ได้เห็นเด็กคนนั้นอีกแล้ว มีเพียงหอกเงินเล่มหนึ่งวางอยู่ พร้อมกับรอยมือไหม้เกรียมสองรอย
นั่นคือหอกที่เขาหลอมให้หลัวผิงด้วยตนเองเมื่อเด็กคนนั้นได้เลื่อนขั้นเป็นผู้คุมยามของฉินเทียนเจี้ยนอย่างเป็นทางการ
เขายังจำได้ว่าหลัวผิงดีใจแค่ไหนเมื่อได้รับหอกเล่มนั้น เด็กคนนั้นยิ้มด้วยความตื่นเต้นเป็นครั้งแรก ก่อนจะถามเขาด้วยความประหม่า ว่านี่หมายความว่าเขาได้เป็นศิษย์ของเขาแล้วหรือยัง
ตอนนั้นเขาบอกว่า “เมื่อเจ้าฆ่าปีศาจได้ครบหนึ่งร้อยตน เจ้าถึงจะเป็นศิษย์ของข้า”
ความทรงจำมากมายหลั่งไหลเข้ามาในใจของหลี่เหยียน
“แม่ทัพหลี่ ท่านมีความสัมพันธ์เช่นใดกับหลัวผิงหรือ?”
เมื่อได้ยินคำถามนี้ หลี่เหยียนก็หลุดออกจากภวังค์ ก่อนจะตอบด้วยเสียงเรียบแต่ชัดเจน ราวกับต้องการให้ทุกคำของเขาแจ่มชัดที่สุด
“หลัวผิง เขาคือศิษย์ของข้า”
เขาผู้ที่มักจะพูดน้อยกลับกล่าวย้ำอีกครั้ง
“ศิษย์เพียงคนเดียวของข้า”
จางจิ่วหยางนิ่งเงียบ เขาอาจไม่รู้เรื่องราวทั้งหมดระหว่างหลี่เหยียนและหลัวผิง แต่เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของแม่ทัพผู้แข็งกร้าวผู้นี้
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงกล่าวเบา ๆ ว่า “หลัวผิงกล้าหาญมาก แม้ในวินาทีสุดท้าย เขาก็ยังไม่ปล่อยมือจากหอกของเขา”
หลี่เหยียนเงยหน้ามองเขาทันที ก่อนจะถามว่า “นายหญิงเยวี่ยบอกข้าว่าผู้ที่สังหารศิษย์ข้าคือคนจากแม่น้ำเหลือง ใช่หรือไม่?”
“ใช่ คนที่ฆ่าหลัวผิงคือหลินเซี่ยจื่อแห่งแม่น้ำเหลือง แต่เขาถูกพวกเราจัดการไปแล้ว—”
“ไม่พอ”
เสียงของหลี่เหยียนดังกังวานและหนักแน่น
“การตายของหลินเซี่ยจื่อเพียงคนเดียว ไม่เพียงพอ”
บรรยากาศรอบข้างพลันเย็นยะเยือก จางจิ่วหยางรู้สึกได้ถึงพลังอันมหาศาลที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวหลี่เหยียน ราวกับคลื่นมหาสมุทรที่พร้อมจะถาโถมทุกเมื่อ
กลิ่นอายสังหารรุนแรงราวกับกองเลือดและซากศพ
“ข้าบอกได้เพียงว่า ภารกิจที่ข้ามาทำที่อำเภอหลัวเถียนครั้งนี้เกี่ยวข้องกับแม่น้ำเหลือง หากสำเร็จ คดีแม่น้ำเหลืองอาจได้รับการคลี่คลาย”
เดิมทีจางจิ่วหยางไม่คิดจะบอกเรื่องนี้แก่หลี่เหยียน แม้เขาจะเป็นคนสนิทของเยวี่ยหลิง แต่เรื่องบางอย่างยิ่งมีคนรู้น้อยยิ่งปลอดภัยกว่า
แต่เมื่อคิดถึงเด็กหนุ่มที่ต่อสู้จนหมดแรงท่ามกลางเปลวเพลิง เขาก็ตัดสินใจพูดออกไป
หลี่เหยียนเงยหน้าขึ้นทันที ดวงตาสีดำของเขาเหมือนกับพายุที่กำลังก่อตัว
เขาค่อย ๆ คลายพลังที่แผ่ซ่านออกมาโดยไม่ได้กล่าวถามอะไรเพิ่มเติม เพียงยกแก้วเหล้าขึ้นและดื่มจนหมดแก้ว เป็นการทำลายกฎที่ตนเองเคยตั้งไว้ว่าจะไม่ดื่มเหล้า
“ขอบคุณ”
เขายังคงพูดน้อยเหมือนเดิม แต่สายตาที่มองจางจิ่วหยางดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย
แม้จางจิ่วหยางจะไม่ถนัดการดื่มเหล้า แต่เขาก็ยกแก้วขึ้นดื่มจนหมด พร้อมกับกล่าวสามคำอย่างชัดเจน
“แด่หลัวผิง”
....
รัตติกาลมาเยือน
แม้ว่ายังไม่ถึงวันที่สิบตามกำหนด จางจิ่วหยางก็ไม่ได้รีบร้อนไปยังลานประหารที่ตลาดตะวันตก
ในความเป็นจริง หลี่เหยียนได้ถือหอกไปสังเกตการณ์ที่นั่นแล้ว เขาซุ่มเฝ้าดูอยู่รอบลานประหารตลอดหลายวัน ไม่ว่าจะลมหรือฝน แต่กลับไม่พบร่องรอยของปีศาจใด ๆ
หลังจากมื้ออาหารเย็นในคืนนี้ ท่าทีของหลี่เหยียนที่มีต่อจางจิ่วหยางเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด จากเดิมที่ดูเหมือนทำตามคำสั่งเพียงอย่างเดียว บัดนี้กลับมีความเคารพเพิ่มขึ้น
แน่นอนว่า จางจิ่วหยางเองก็รู้สึกชื่นชมในตัวชายผู้แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าผู้นี้เช่นกัน
จางจิ่วหยางนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ใช้พลังลมปราณขจัดฤทธิ์ของเหล้าออกจากร่างกาย สายตากลับมาสดใสดังเดิม
เขาตั้งใจจะฝึกฝนต่อ แต่แล้วจู่ ๆ ก็เกิดความปั่นป่วนขึ้นในจิตสำนึก ภาพ “หลิงกวนคุ้มครองวังหลิงเซียว” ที่เงียบสงบมาเนิ่นนานพลันส่องประกายเจิดจ้า ราวกับตะวันดวงใหม่ที่กำลังผุดขึ้นจากขอบฟ้า
ในดวงตาของจางจิ่วหยางปรากฏแววตื่นเต้นยินดี
พลังศรัทธาที่สะสมมานานดูเหมือนจะเพียงพอแล้ว คืนนี้เขาจะได้รับการถ่ายทอดพลังจากหลิงกวนเป็นครั้งแรก!
จากนั้นจิตอันยิ่งใหญ่และทรงพลังสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในจิตสำนึกของเขา ทำให้จางจิ่วหยางรู้สึกราวกับได้ยินเสียงสายฟ้าคำรามและเห็นเปลวไฟแห่งสวรรค์แผดเผาทุกสรรพสิ่ง
เทพหลิงกวน ได้เสด็จลงมาแล้ว!
จางจิ่วหยางไม่ลังเล รีบเชื่อมจิตเข้ากับพลังอันศักดิ์สิทธิ์นี้ทันที พร้อมส่งคำขอของตนไป
“เทพแห่งฟ้าดิน ผู้พิทักษ์เส้นทางแห่งเต๋า จ้าวแห่งเปลวเพลิงทั้งสาม ห้าผู้ทรงอำนาจ ข้าคือศิษย์จางจิ่วหยาง กำลังจะเข้าสู่ดินแดนแห่งอันตรายเพื่อปราบปีศาจ ขอเทพหลิงกวนโปรดประทานวิชาคุ้มครองแก่ข้าด้วย…”