ตอนที่แล้วบทที่ 14 การปฏิเสธที่ไม่คาดคิด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 16 เรื่องเงินไม่ใช่เรื่องสำคัญ

บทที่ 15 การเชิญกลับมาทำงาน


เช้าวันรุ่งขึ้น ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในเขตหมิงเซี่ยง เมืองไป๋เฉวียว

"อี้หลาน ตงตงไปไหนแล้ว? ทำไมไม่เห็นอยู่ในบ้านเลย!" เสียงดังขึ้นพร้อมกับชายสูงอายุวัย 50-60 ปีเดินวนไปมาในแต่ละห้อง ดูเหมือนกำลังมองหาอะไรบางอย่าง ที่ระเบียง มีเสียงอีกเสียงหนึ่งดังขึ้น

"ไม่ต้องหาแล้วคุณ เพื่อนมาชวนตงตงไปเล่นแล้ว" หม่าอี้หลานที่กำลังรดน้ำต้นไม้ในกระถางวางอุปกรณ์ลง ส่ายหน้าแล้วเดินเข้าไปในห้อง เธอชื่อหม่าอี้หลาน อายุ 60 ปี เพิ่งเกษียณ ส่วนชายสูงอายุที่ตะโกนเมื่อครู่ชื่อซูรุ่ย อายุเท่ากับหม่าอี้หลาน และเกษียณเช่นกัน

เมื่อรู้ว่าหลานชายสุดที่รักออกไปเล่น ซูรุ่ยก็ถอนหายใจ รู้สึกหมดแรง ทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา หยิบรีโมทมากดเปลี่ยนช่อง

"ตงตงยังเด็ก จะให้อยู่กับคุณตลอดเวลาได้ยังไง?" หม่าอี้หลานที่รู้ดีถึงอารมณ์ของสามีพูดอธิบาย

"ไม่รู้จักมาอยู่เป็นเพื่อนคุณตาบ้างเลย ฮึ" ซูรุ่ยฮึดฮัด สายตายังจับจ้องที่โทรทัศน์

"ไม่ได้ไปเล่นหมากรุกในหมู่บ้านหรอกเหรอ? กลับมาเร็วจัง" หม่าอี้หลานถามอย่างสงสัย

ซูรุ่ยตอบอย่างเบื่อหน่าย "พวกคนแก่พวกนั้นเล่นหมากรุกห่วยจะตาย เล่นกับพวกเขาไม่สนุกเลย"

"ใครใช้ให้คุณเกษียณเร็วล่ะ ตอนนี้เลยว่างจนน่าหงุดหงิด สมน้ำหน้า!" หม่าอี้หลานพูดจบก็เดินจากไป

ซูรุ่ยไม่ได้แก้ตัวอะไร ยังคงจ้องมองจอโทรทัศน์ ดูไปครู่ใหญ่ ก็ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ

ซูรุ่ยเคยเป็นรองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีผู่หยาง  เป็นคนเด็ดขาด ไม่ประจบสอพลอ และมีความสามารถด้านการบริหารสูง แต่อธิการบดีกลับมีนิสัยตรงข้าม เป็นคนเจ้าเล่ห์และชอบสร้างเครือข่าย เพราะทะเลาะกันเรื่องกิจการของมหาวิทยาลัย ประกอบกับความขัดแย้งในอดีต ซูรุ่ยโมโหจึงขอเกษียณทันทีที่อายุครบ 60 ปี

ตามปกติแล้ว แม้จะอายุครบ 60 ปี แต่ส่วนใหญ่ก็จะทำงานต่ออีกสักพักก่อนเกษียณ ภรรยาของซูรุ่ย หม่าอี้หลาน ซึ่งก็เป็นบุคลากรของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีผู่หยาง เช่นกัน เห็นสามีลาออก ก็เลยตามกลับบ้านเกิดที่ไป๋เฉวียวมาใช้ชีวิตบั้นปลาย

แม้ไป๋เฉวียวจะเป็นเมืองที่ดี เหมาะกับการใช้ชีวิตวัยเกษียณ แต่ซูรุ่ยเพิ่งอายุ 60 อีกทั้งออกกำลังกายเป็นประจำ ร่างกายยังแข็งแรงดี อยู่บ้านเฉยๆ ไม่ได้เลย! ไม่ว่าจะเล่นหมากรุกในหมู่บ้าน หรือปลูกผักรดน้ำต้นไม้ที่บ้าน ก็ไม่สามารถฆ่าเวลาได้ แม้แต่ความคิดที่จะอยู่เป็นเพื่อนหลานชายก็ไม่เป็นผล

หลานชายของซูรุ่ย ซูเสี่ยวตง อายุ 10 ขวบ กำลังอยู่ในวัยซุกซน จะให้นั่งอยู่บ้านได้อย่างไร ส่วนซูรุ่ย เบื่อก็ดูข่าวอยู่บ้าน ดูไปวิจารณ์ไป! "อี้หลาน มาดูข่าวด้วยกัน"

ซูรุ่ยดูแล้วถอนหายใจ "ฉันว่ารัฐบาลควรเพิ่มเงินเดือนให้นักวิจัยได้แล้วนะ ลูกเสี่ยวเหวินของเราเงินเดือนเท่าไหร่กันนะ?" "ตามราคาบ้านตอนนี้ ถ้าหลานเราจะไปทำงานที่เมืองหลวงหรือจิ่งเฉิง บ้านเราคงจ่ายเงินดาวน์ไม่ไหว!"

ซูรุ่ยดูแล้วยิ่งโมโห ปิดโทรทัศน์ไปเลย แม้เงินเดือนอธิการบดีของซูรุ่ยจะไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร ศาสตราจารย์และนักวิชาการในมหาวิทยาลัย ถ้าไม่ได้ทำงานบริหารหรือวิจัยทฤษฎีล้วนๆ ส่วนใหญ่ก็ไม่มีเงินเท่าไหร่ มีแต่พวกที่ทำงานประยุกต์ และมีบริษัทเป็นของตัวเอง ถึงจะมีรายได้มาก

"อ้อใช่ อี้หลาน บ่ายนี้จะมีคนมาเยี่ยมที่บ้านนะ" หม่าอี้หลานรู้สึกแปลกใจ ตั้งแต่กลับมาบ้านเกิด คนมาเยี่ยมก็ไม่ค่อยมี "อาจารย์เฉียนแนะนำมา บอกว่าบ่ายนี้จะมา"

...... ......

บ่าย 2 โมง เฉินห่าวมาตรงเวลา "ติ๊งต่อง~" เฉินห่าวกดกริ่งหนึ่งครั้ง แล้วยืนรออย่างสงบที่หน้าประตู

แม้อาจารย์ซูรุ่ยจะเป็นคนที่คุณตาเฉียนแนะนำมา แต่เฉินห่าวก็อดไม่ได้ที่จะตรวจสอบข้อมูลของอีกฝ่าย แน่นอนว่า หลังจากดูข้อมูลแล้ว เฉินห่าวรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของคุณตาเฉียนเป็นอย่างมาก นี่มันเหมือนฝนหลังฝ้าแล้ง! อธิการบดีที่มีทั้งความสามารถ ความกล้าหาญ และพละกำลัง ที่สำคัญกว่านั้นคือ อายุยังไม่มาก! ซูรุ่ยอายุแค่ 60 ปี สามารถทุ่มเทให้กับมหาวิทยาลัยอี้หัวได้อีกสิบกว่าปี พอถึงตอนนั้น กำลังหลักของมหาวิทยาลัยที่เขาบ่มเพาะไว้ก็จะพร้อมพอดี

ส่วนเรื่องการโน้มน้าวให้ซูรุ่ยกลับมารับตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยอี้หัวนั้น เฉินห่าวมั่นใจเต็มที่!

คนที่เปิดประตูคือซูรุ่ยนั่นเอง "เข้ามาสิ เธอชื่อเฉินห่าวใช่ไหม? อาจารย์เฉียนพูดทางโทรศัพท์ลึกลับจัง ไม่บอกด้วยว่าเรื่องอะไร" ซูรุ่ยพาเฉินห่าวเข้าไปในห้องหนังสือ นั่งลง บนโต๊ะชงชาไว้เรียบร้อยแล้ว

คนทางใต้ชอบดื่มชา โดยเฉพาะมณฑลอี้โจวและมณฑลกวางตุ้ง ที่ทำให้การดื่มชากลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

"ขอบคุณครับ" เฉินห่าวรับชา จิบหนึ่งอึก แล้วอดไม่ได้ที่จะชม "ชานี้ดีมากครับ!" "ก็พอใช้ได้ เป็นของที่ลูกศิษย์เอามาให้ ไม่รับก็ไม่ได้ วางทิ้งไว้แล้วก็ไป" "นี่แสดงว่าอาจารย์ซูสอนดีมากเลยนะครับ!"

เฉินห่าววางถ้วยชาลง เงยหน้าจ้องมองซูรุ่ย แล้วพูดถึงจุดประสงค์ของวันนี้ "อาจารย์ซูครับ วันนี้ผมมา อยากจะเชิญท่านมาเป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยอี้หัวครับ!"

"มหาวิทยาลัยอี้หัว? มหาวิทยาลัยนั้นยังไม่ล้มละลายอีกเหรอ?" ซูรุ่ยพูดอย่างประหลาดใจ มหาวิทยาลัยอี้หัวเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งแรกหลังการก่อตั้งประเทศ ซูรุ่ยแน่นอนว่าต้องเคยได้ยิน โดยเฉพาะอดีตผู้บังคับบัญชาของเขาก็เคยเป็นอธิการบดีที่นั่น

"เอ่อ... ล้มละลายเนี่ย เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วครับ" เฉินห่าวมีเส้นดำผุดขึ้นบนหน้าผาก คุณตาคนนี้พูดอะไรออกมาก็ไม่รู้

"ฮ่าๆๆๆ อย่าโกรธสิ แค่ล้อเล่นน่ะ" ซูรุ่ยเห็นท่าทางของเฉินห่าวก็หัวเราะออกมาอย่างพอใจ

"ถ้าเธอมาเชิญฉันให้เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยอี้หัว ฉันอยากจะบอกเธอแค่ว่า..."

"ขอโทษด้วยนะ"

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด