MDB ตอนที่ 528 จักรพรรดิเรียกตัว
ความหวังก็คือความหวังเท่านั้น ในความเป็นจริง จงซื่อเฟิงไม่ได้คาดหวังอะไรมากจากการรักษานี้มากนัก
เนื่องจาก อาการของหยางหมิงมันเลวร้ายเกินไป
เมื่อพิจารณาจากความโหดร้ายที่ผู้ประเมินมารได้ทรมานเขา และสร้างความเสียหายให้เขาอย่างไม่สามารถแก้ไขได้ ชัดเจนว่าพวกเขาตั้งใจที่จะทำให้เขาพิการไปตลอดชีวิต
หากจะยกตัวอย่างถึงความโหดร้ายของพวกเขา พวกเขาไม่เพียงแต่ลงมือเฉือนชิ้นเนื้อจากร่างกายของเขา แต่ยังบดขยี้เส้นลมปราณจนแทบไม่เหลือชิ้นดีด้วย
โดยอาการบาดเจ็บแต่ละอย่าง มันจะส่งผลต่อเขาอย่างถาวร
จงซื่อเฟิงไม่ได้คาดหวังไว้สูงนัก เขาหวังเพียงให้หยางหมิงสามารถเดินได้เหมือนคนปกติอีกครั้ง ส่วนเรื่องการฟื้นพลัง หรือแม้กระทั่งการร่ายคาถา เขาไม่กล้าที่จะคาดหวังไว้สูงเกินไป
แม้แต่ความปรารถนาของเขาจะดูเล็กน้อย แต่ก็ยังดูมากเกินไปสำหรับผู้คนที่นี่
เมื่อพวกเขารู้ว่าผู้ที่ทำการรักษาไม่ใช่ผู้อาวุโสซู แต่เป็นหลินจินแทน พวกเขาก็แสดงความไม่เห็นด้วยอย่างเงียบ ๆ ต่อการตัดสินใจในครั้งนี้
พวกเขาไม่เข้าใจถึงความนึกคิดของผู้อาวุโสซูเลย พวกเขาจึงทำได้เพียงอาศัยสามัญสำนึกเพื่อไตร่ตรองถึงสิ่งที่เกิดขึ้น คนส่วนใหญ่สรุปว่าอาการบาดเจ็บของหยางหมิงร้ายแรงมากจนผู้อาวุโสซูเองก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้ และการรักษาของหลินจินเป็นเพียงการแสดงเพื่อเพิ่มขวัญกำลังใจของพวกเขาเท่านั้น
แม้ว่ามันเป็นเพียงการแสดง แต่ทำไมถึงใช้เวลานานมากอย่างนี้?
หลาย ๆ คนเริ่มเกิดความสับสน
ขณะนั้น ผู้ส่งสารจากพระราชวังมาถึงอย่างเร่งด่วนเพื่อเรียกผู้อาวุโสซูกับผู้ประเมินหลินให้มาที่พระราชวัง
การมาถึงของผู้ส่งสารนั้นเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิด เนื่องจากจักรพรรดิได้ทราบเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยง ภายหลังจากที่พระองค์ได้ตรัสถามองค์ชายสามในวันก่อน นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้พระองค์ตัดสินพระทัยพบกับผู้ประเมินทั้งสองในวันนี้
เนื่องจากสถาบันเกลียวสวรรค์มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นพิเศษ จักรพรรดิจึงได้ร้องขออย่างให้เกียรติ พระองค์เพียงส่งคำเชิญไปยังพวกเขาเท่านั้น แต่การตอบรับกลับไม่ใช่ข้อบังคับ เนื่องจากผู้ประเมินเหล่านี้อาจยุ่งอยู่กับภารกิจหรือหน้าที่อื่น ๆ
แต่สำหรับเหล่าข้ารับใช้ของจักรพรรดิ พวกเขาจะต้องหาทางพาผู้ประเมินมาที่พระราชวังให้ได้ มิฉะนั้น พวกเขาจะบกพร่องในหน้าที่ของตน
นั่นเป็นเหตุว่าทำไมเมื่อผู้ส่งสารจากพระราชวังได้ยินว่าผู้ประเมินหลินกำลังรักษาผู้ประเมินระดับสี่อีกคนหนึ่งอยู่ เขาก็เริ่มวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“ผู้อาวุโสจง นี่เป็นคำสั่งจากฝ่าบาท หากมีการล่าช้า ฝ่าบาทอาจไม่พอพระทัยนะขอรับ”
ผู้ส่งสารเป็นชายหนุ่ม เขาคงได้รับตำแหน่งเมื่อไม่นานมานี้ ภายหลังจากได้รับความโปรดปรานจากทางพระราชวัง
การได้รับตำแหน่งทางการตั้งแต่อายุน้อยเช่นนี้ทำให้เขามั่นใจในตัวเองมากเกินไป ซึ่งมันบ่งบอกได้จากน้ำเสียงที่แสดงถึงการวางอำนาจของเขา
กล่าวอีกนัยหนึ่ง การเดินทางไปเข้าเฝ้าพระองค์ที่พระราชวังมีความสำคัญมากกว่าการรักษาผู้อื่น
บางทีการกดดันนี้อาจใช้ได้กับที่อื่น แต่ไม่ใช่ที่นี่
นี่คือสถาบันเกลียวสวรรค์ แม้แต่ฝ่าบาทยังต้องเคารพจงซื่อเฟิง และปฏิบัติกับเขาอย่างเท่าเทียมกัน
เนื่องจากจงซื่อเฟิงมีคุณสมบัติ และความสามารถเพียงพอที่จะเรียกร้องความเคารพในระดับนี้
นอกจากนี้ จักรพรรดิยังเคารพผู้ประเมินระดับสี่คนอื่น ๆ มากเช่นกัน แต่พระองค์ก็เก็บเรื่องนี้ไว้กับพระองค์เอง ไม่ค่อยมีใครทราบข้อเท็จจริงนี้
จงซื่อเฟิงจึงได้เหลือบมองไปยังผู้ส่งสารหนุ่ม
“ชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งกำลังตกอยู่ในอันตราย ข้าจึงมั่นใจว่าฝ่าบาทจะทรงอภัยให้แก่พวกเราหากพระองค์ทรงทราบเรื่องนี้” ชายชรากล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
ทุกคนบอกได้ว่าจงซื่อเฟิงรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยกับทัศนคติของผู้ส่งสารหนุ่ม
ภายใต้สถานการณ์ปกติ ผู้ส่งสารควรจะยอมรับคำตอบนี้ และส่งข้อความกลับไปที่วัง เพราะอย่างไรเสีย เขาก็เป็นแค่ผู้ส่งสารเท่านั้น แต่ทว่า ชายหนุ่มกลับกล่าวเสริมด้วยความไม่พอใจว่า
“หากผู้ประเมินหลินไม่ว่าง ได้โปรดบอกให้ผู้อาวุโสซูไปที่พระราชวังกับข้าด้วยขอรับ”
คราวนี้ จงซื่อเฟิงไม่แม้แต่จะมองหน้าด้วยซ้ำ เขารู้จักจักรพรรดิดีพอจนรู้ว่าเขาจะไม่มีวันออกคำสั่งที่น่าอับอายเช่นนี้
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้อาวุโสซูเป็นคนที่พวกเขาสามารถเรียกมาได้เพียงเพราะพวกเขาต้องการอย่างงั้นเหรอ?
ไม่มีทาง
นอกจากนี้ จักรพรรดิแห่งอาณาจักรเกลียวสวรรค์กับจงซื่อเฟิงแห่งสถาบันเกลียวสวรรค์ พวกเขาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แม้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาอาจไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่ความจริงแล้ว พวกเขาคือเพื่อนสนิทที่มีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น
บางครั้งพระองค์จะเสด็จไปเยี่ยมศาลาประเมินอสูรในชุดลำลอง เพื่อสนทนากับจงซื่อเฟิงอย่างเป็นกันเอง
หากเขาโชคดีพอ เขาคงได้พบกับผู้อาวุโสซู
พระองค์ทรงทราบสถานะของผู้อาวุโสซูเป็นอย่างดี ดังนั้น การที่ พระองค์ตั้งใจเชิญหลินจินเข้าไปในพระราชวัง ก็ต้องการดูว่าผู้อาวุโสซูจะติดตามเขาเข้าไปด้วยหรือไม่?
เห็นได้ชัดว่าผู้ส่งสารคนนี้คิดไปเอง เพราะการเชิญผู้อาวุโสซูเพียงคนเดียวเป็นสิ่งที่ไม่สมควรเลย เขาไม่ควรพูดถึงเรื่องนี้ด้วยซ้ำ หากพวกเขาออกคำสั่งเช่นนั้น ผู้อาวุโสซูจะต้องตำหนิผู้คนในพระราชวังอย่างรุนแรงว่าไม่แสดงความเคารพต่อเธอเลย
จงซื่อเฟิงจึงเงียบไป โดยไม่คิดจะสนใจท่าทีของอีกฝ่าย
แม้ว่าผู้ส่งสารจะโกรธมาก แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าไม่ควรต่อว่าต่อขานผู้ประเมิน ท้ายที่สุดแล้ว ตัวเขาอยู่ในสถาบันเกลียวสวรรค์ ดังนั้นแม้จะถูกเพิกเฉย เขาก็ทำได้เพียงทนทุกข์อย่างเงียบ ๆ และถอยกลับด้วยความขุ่นเคือง
ในระหว่างทางกลับ เขาเริ่มวางแผนว่าจะกล่าวโทษสถาบันฯอย่างไร และยิ่งไปกว่านั้น ยังทำให้ฝ่าบาทโกรธอีกฝ่ายอีกด้วย
“พวกแกเป็นแค่ผู้ประเมิน อย่าริอาจถือดีนักเลย ไม่ว่าพวกแกจะแข็งแกร่งแค่ไหน พวกแกก็ยังอยู่ภายใต้การปกครองของพระองค์” ผู้ส่งสารบ่นพึมพำในใจ
เขากลับไปยังพระราชวังด้วยความรีบเร่ง และเล่าประสบการณ์ของตนอย่างเกินจริงในรายงานของตน
ภายในพระราชวัง จักรพรรดิเฟิงจวินหวู่แห่งอาณาจักรเกลียวสวรรค์กำลังสนทนากับเจ้าชายลำดับสาม เฟิงจือเฉียน จักรพรรดิชรานั่งบนบัลลังก์ของเขา ขณะที่องค์ชายสามยืนอยู่ข้าง ๆ เขาด้วยความเคารพ
เมื่อได้ยินรายงาน เฟิงจวินหวู่ก็ตกตะลึงเล็กน้อย
ผู้ส่งสารยังคงรายงานต่อไป
“กระหม่อมถูกหยุดที่ประตูและไม่สามารถพบกับผู้ประเมินหลินได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้รับการแจ้งว่าผู้ประเมินหลินกำลังยุ่งอยู่กับการรักษาใครบางคน กระหม่อมจึงตั้งใจจะเชิญผู้อาวุโสซูแทน แต่ผู้อาวุโสจงกลับตำหนิกระหม่อมที่ไม่รู้จักสถานที่ และหยุดกระหม่อมด้วยเช่นกัน…”
สิ่งที่ผู้ส่งสารคนนี้ต้องการพูดก็คือ ผู้ประเมินของสถาบันฯไม่เคารพพระราชโองการ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาอาจจะปรับเปลี่ยนเนื้อหา แต่เขาจะหลอกลวงคนอย่างเฟิงจวินหวู่ได้อย่างไร?
จักรพรรดิหรือพระมหากษัตริย์ของประเทศขนาดใหญ่ย่อมต้องมองกลอุบายเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ออกอยู่แล้ว
“พอได้แล้ว!”
เฟิงจวินหวู่โบกมือปฏิเสธโดยไม่แสดงความคิดเห็นใด ๆ ผู้ส่งสารไม่เข้าใจความคิดของฝ่าบาท และทำได้เพียงถอยกลับอย่างไม่เต็มใจ
สิ่งที่เขายังไม่รู้ก็คือเหตุการณ์ในวันนี้จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในอาชีพการงานของเขา จากนี้ไป จักรพรรดิจะไม่มอบหมายงานให้เขาอีก และไม่นาน เขาจะถูกลดตำแหน่งไปทำงานในบทบาทที่แทบจะไม่มีความสำคัญเลย
ในพระราชวังก็มีคนประเภทนี้อยู่ไม่น้อยเช่นกัน
“จือเฉียน!”
เฟิงจวินหวู่ตะโกนออกมาอย่างกะทันหัน เฟิงจือเฉียนก็หลุดออกจากภวังค์ และรีบโค้งคำนับท่านพ่อของเขาทันที
“ลูกอยู่ที่นี่ขอรับ” เฟิงจือเฉียนรู้สึกผิดเล็กน้อย
เขาเกรงว่าท่านพ่อของเขาจะโกรธ เพราะผู้ประเมินหลินปฏิเสธคำเชิญของเขา อย่างไรก็ตาม เขาก็ได้ยินเฟิงจวินหวู่ถามเขาว่า
“ระหว่างลูกกับเจ้าหญิงลั่วหลี่เป็นยังไงบ้าง?”
เฟิงจือเฉียนตอบทันที
“ความสัมพันธ์ของเราจัดว่าไม่เลวขอรับ”
เฟิงจวินหวู่ยิ้ม
“แม้ข้าจะไม่คาดคิดว่าเจ้าหญิงลั่วหลี่จะเลือกเจ้า แต่ถือเป็นโอกาสอันดีสำหรับเจ้า ดังนั้นจงคว้ามันไว้ให้แน่น หากตอนนี้เจ้าไม่มีอะไรทำมากนัก ลองเข้าใกล้ผู้ประเมินหลิน และพูดคุยกับเขาบ่อย ๆ กระชับความสัมพันธ์ของเจ้ากับเขาให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น”
เฟิงจือเฉียนพยักหน้า
'ท่านพ่อกำลังบอกใบ้บางอย่าง มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่? แต่น้อย ๆ ท่านพ่อก็เริ่มเห็นคุณค่าในตัวข้าแล้ว นั่นถือเป็นสัญญาณที่ดี’
“จริงสิ ก่อนหน้านี้เจ้าได้กล่าวถึงภัณฑารักษ์ที่ต้องการยืมอักษรภาพโบราณของเต้าจวิน และศิษย์ของเขาคือหลินผู้ประเมินอย่างงั้นเหรอ?” เฟิงจวินหวู่ถาม
เฟิงจือเฉียนพยักหน้า เขาเอ่ยถึงเรื่องนี้เพราะว่าเขาสัญญากับภัณฑารักษ์ว่าเขาจะทำ แม้ว่าเขาจะถูกเพิกเฉยจากทางพระราชวัง แต่เฟิงจือเฉียนจะไม่มีวันลืมคำสัญญาของเขา
“เอาล่ะ เจ้าออกไปได้แล้ว” เฟิงจวินหวู่ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม
เฟิงจือเฉียนลังเลที่จะพูดบางอย่าง แต่หลังจากคิดสักพัก เขาก็ออกไปอย่างเชื่อฟัง
เขาอยากจะพูดถึงภัณฑารักษ์ให้เฟิงจวินหวู่รับฟัง แต่เรื่องนั้นไว้ทีหลังก็ได้ เพราะภัณฑารักษ์ไม่ได้อยู่ในเมืองเกลียวสวรรค์
เมื่อภัณฑารักษ์ปรากฏตัวขึ้นในงานฉลองวันเกิดของท่านพ่อ และพอพ่อของเขาได้เห็นความสามารถอันน่าทึ่งของภัณฑารักษ์ด้วยตาของเขาเอง บางทีเขาอาจจะเห็นด้วยกับคำขอของพวกเขา