ตอนที่แล้วMDB ตอนที่ 527 การรักษา
ทั้งหมดรายชื่อตอน

MDB ตอนที่ 528 จักรพรรดิเรียกตัว


ความหวังก็คือความหวังเท่านั้น ในความเป็นจริง จงซื่อเฟิงไม่ได้คาดหวังอะไรมากจากการรักษานี้มากนัก

เนื่องจาก อาการของหยางหมิงมันเลวร้ายเกินไป

เมื่อพิจารณาจากความโหดร้ายที่ผู้ประเมินมารได้ทรมานเขา และสร้างความเสียหายให้เขาอย่างไม่สามารถแก้ไขได้ ชัดเจนว่าพวกเขาตั้งใจที่จะทำให้เขาพิการไปตลอดชีวิต

หากจะยกตัวอย่างถึงความโหดร้ายของพวกเขา พวกเขาไม่เพียงแต่ลงมือเฉือนชิ้นเนื้อจากร่างกายของเขา แต่ยังบดขยี้เส้นลมปราณจนแทบไม่เหลือชิ้นดีด้วย

โดยอาการบาดเจ็บแต่ละอย่าง มันจะส่งผลต่อเขาอย่างถาวร

จงซื่อเฟิงไม่ได้คาดหวังไว้สูงนัก เขาหวังเพียงให้หยางหมิงสามารถเดินได้เหมือนคนปกติอีกครั้ง ส่วนเรื่องการฟื้นพลัง หรือแม้กระทั่งการร่ายคาถา เขาไม่กล้าที่จะคาดหวังไว้สูงเกินไป

แม้แต่ความปรารถนาของเขาจะดูเล็กน้อย แต่ก็ยังดูมากเกินไปสำหรับผู้คนที่นี่

เมื่อพวกเขารู้ว่าผู้ที่ทำการรักษาไม่ใช่ผู้อาวุโสซู แต่เป็นหลินจินแทน พวกเขาก็แสดงความไม่เห็นด้วยอย่างเงียบ ๆ ต่อการตัดสินใจในครั้งนี้

พวกเขาไม่เข้าใจถึงความนึกคิดของผู้อาวุโสซูเลย พวกเขาจึงทำได้เพียงอาศัยสามัญสำนึกเพื่อไตร่ตรองถึงสิ่งที่เกิดขึ้น คนส่วนใหญ่สรุปว่าอาการบาดเจ็บของหยางหมิงร้ายแรงมากจนผู้อาวุโสซูเองก็ช่วยอะไรเขาไม่ได้ และการรักษาของหลินจินเป็นเพียงการแสดงเพื่อเพิ่มขวัญกำลังใจของพวกเขาเท่านั้น

แม้ว่ามันเป็นเพียงการแสดง แต่ทำไมถึงใช้เวลานานมากอย่างนี้?

หลาย ๆ คนเริ่มเกิดความสับสน

ขณะนั้น ผู้ส่งสารจากพระราชวังมาถึงอย่างเร่งด่วนเพื่อเรียกผู้อาวุโสซูกับผู้ประเมินหลินให้มาที่พระราชวัง

การมาถึงของผู้ส่งสารนั้นเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิด เนื่องจากจักรพรรดิได้ทราบเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยง ภายหลังจากที่พระองค์ได้ตรัสถามองค์ชายสามในวันก่อน นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้พระองค์ตัดสินพระทัยพบกับผู้ประเมินทั้งสองในวันนี้

เนื่องจากสถาบันเกลียวสวรรค์มีชื่อเสียงโด่งดังเป็นพิเศษ จักรพรรดิจึงได้ร้องขออย่างให้เกียรติ พระองค์เพียงส่งคำเชิญไปยังพวกเขาเท่านั้น แต่การตอบรับกลับไม่ใช่ข้อบังคับ เนื่องจากผู้ประเมินเหล่านี้อาจยุ่งอยู่กับภารกิจหรือหน้าที่อื่น ๆ

แต่สำหรับเหล่าข้ารับใช้ของจักรพรรดิ พวกเขาจะต้องหาทางพาผู้ประเมินมาที่พระราชวังให้ได้ มิฉะนั้น พวกเขาจะบกพร่องในหน้าที่ของตน

นั่นเป็นเหตุว่าทำไมเมื่อผู้ส่งสารจากพระราชวังได้ยินว่าผู้ประเมินหลินกำลังรักษาผู้ประเมินระดับสี่อีกคนหนึ่งอยู่ เขาก็เริ่มวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด

“ผู้อาวุโสจง นี่เป็นคำสั่งจากฝ่าบาท หากมีการล่าช้า ฝ่าบาทอาจไม่พอพระทัยนะขอรับ”

ผู้ส่งสารเป็นชายหนุ่ม เขาคงได้รับตำแหน่งเมื่อไม่นานมานี้ ภายหลังจากได้รับความโปรดปรานจากทางพระราชวัง

การได้รับตำแหน่งทางการตั้งแต่อายุน้อยเช่นนี้ทำให้เขามั่นใจในตัวเองมากเกินไป ซึ่งมันบ่งบอกได้จากน้ำเสียงที่แสดงถึงการวางอำนาจของเขา

กล่าวอีกนัยหนึ่ง การเดินทางไปเข้าเฝ้าพระองค์ที่พระราชวังมีความสำคัญมากกว่าการรักษาผู้อื่น

บางทีการกดดันนี้อาจใช้ได้กับที่อื่น แต่ไม่ใช่ที่นี่

นี่คือสถาบันเกลียวสวรรค์ แม้แต่ฝ่าบาทยังต้องเคารพจงซื่อเฟิง และปฏิบัติกับเขาอย่างเท่าเทียมกัน

เนื่องจากจงซื่อเฟิงมีคุณสมบัติ และความสามารถเพียงพอที่จะเรียกร้องความเคารพในระดับนี้

นอกจากนี้ จักรพรรดิยังเคารพผู้ประเมินระดับสี่คนอื่น ๆ มากเช่นกัน แต่พระองค์ก็เก็บเรื่องนี้ไว้กับพระองค์เอง ไม่ค่อยมีใครทราบข้อเท็จจริงนี้

จงซื่อเฟิงจึงได้เหลือบมองไปยังผู้ส่งสารหนุ่ม

“ชีวิตของมนุษย์คนหนึ่งกำลังตกอยู่ในอันตราย ข้าจึงมั่นใจว่าฝ่าบาทจะทรงอภัยให้แก่พวกเราหากพระองค์ทรงทราบเรื่องนี้” ชายชรากล่าวอย่างไม่ใส่ใจ

ทุกคนบอกได้ว่าจงซื่อเฟิงรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยกับทัศนคติของผู้ส่งสารหนุ่ม

ภายใต้สถานการณ์ปกติ ผู้ส่งสารควรจะยอมรับคำตอบนี้ และส่งข้อความกลับไปที่วัง เพราะอย่างไรเสีย เขาก็เป็นแค่ผู้ส่งสารเท่านั้น แต่ทว่า ชายหนุ่มกลับกล่าวเสริมด้วยความไม่พอใจว่า

“หากผู้ประเมินหลินไม่ว่าง ได้โปรดบอกให้ผู้อาวุโสซูไปที่พระราชวังกับข้าด้วยขอรับ”

คราวนี้ จงซื่อเฟิงไม่แม้แต่จะมองหน้าด้วยซ้ำ เขารู้จักจักรพรรดิดีพอจนรู้ว่าเขาจะไม่มีวันออกคำสั่งที่น่าอับอายเช่นนี้

ยิ่งไปกว่านั้น ผู้อาวุโสซูเป็นคนที่พวกเขาสามารถเรียกมาได้เพียงเพราะพวกเขาต้องการอย่างงั้นเหรอ?

ไม่มีทาง

นอกจากนี้ จักรพรรดิแห่งอาณาจักรเกลียวสวรรค์กับจงซื่อเฟิงแห่งสถาบันเกลียวสวรรค์ พวกเขาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน แม้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาอาจไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่ความจริงแล้ว พวกเขาคือเพื่อนสนิทที่มีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น

บางครั้งพระองค์จะเสด็จไปเยี่ยมศาลาประเมินอสูรในชุดลำลอง เพื่อสนทนากับจงซื่อเฟิงอย่างเป็นกันเอง

หากเขาโชคดีพอ เขาคงได้พบกับผู้อาวุโสซู

พระองค์ทรงทราบสถานะของผู้อาวุโสซูเป็นอย่างดี ดังนั้น การที่ พระองค์ตั้งใจเชิญหลินจินเข้าไปในพระราชวัง ก็ต้องการดูว่าผู้อาวุโสซูจะติดตามเขาเข้าไปด้วยหรือไม่?

เห็นได้ชัดว่าผู้ส่งสารคนนี้คิดไปเอง เพราะการเชิญผู้อาวุโสซูเพียงคนเดียวเป็นสิ่งที่ไม่สมควรเลย เขาไม่ควรพูดถึงเรื่องนี้ด้วยซ้ำ หากพวกเขาออกคำสั่งเช่นนั้น ผู้อาวุโสซูจะต้องตำหนิผู้คนในพระราชวังอย่างรุนแรงว่าไม่แสดงความเคารพต่อเธอเลย

จงซื่อเฟิงจึงเงียบไป โดยไม่คิดจะสนใจท่าทีของอีกฝ่าย

แม้ว่าผู้ส่งสารจะโกรธมาก แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าไม่ควรต่อว่าต่อขานผู้ประเมิน ท้ายที่สุดแล้ว ตัวเขาอยู่ในสถาบันเกลียวสวรรค์ ดังนั้นแม้จะถูกเพิกเฉย เขาก็ทำได้เพียงทนทุกข์อย่างเงียบ ๆ และถอยกลับด้วยความขุ่นเคือง

ในระหว่างทางกลับ เขาเริ่มวางแผนว่าจะกล่าวโทษสถาบันฯอย่างไร  และยิ่งไปกว่านั้น ยังทำให้ฝ่าบาทโกรธอีกฝ่ายอีกด้วย

“พวกแกเป็นแค่ผู้ประเมิน อย่าริอาจถือดีนักเลย ไม่ว่าพวกแกจะแข็งแกร่งแค่ไหน พวกแกก็ยังอยู่ภายใต้การปกครองของพระองค์” ผู้ส่งสารบ่นพึมพำในใจ

เขากลับไปยังพระราชวังด้วยความรีบเร่ง และเล่าประสบการณ์ของตนอย่างเกินจริงในรายงานของตน

ภายในพระราชวัง จักรพรรดิเฟิงจวินหวู่แห่งอาณาจักรเกลียวสวรรค์กำลังสนทนากับเจ้าชายลำดับสาม เฟิงจือเฉียน จักรพรรดิชรานั่งบนบัลลังก์ของเขา ขณะที่องค์ชายสามยืนอยู่ข้าง ๆ เขาด้วยความเคารพ

เมื่อได้ยินรายงาน เฟิงจวินหวู่ก็ตกตะลึงเล็กน้อย

ผู้ส่งสารยังคงรายงานต่อไป

“กระหม่อมถูกหยุดที่ประตูและไม่สามารถพบกับผู้ประเมินหลินได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้รับการแจ้งว่าผู้ประเมินหลินกำลังยุ่งอยู่กับการรักษาใครบางคน กระหม่อมจึงตั้งใจจะเชิญผู้อาวุโสซูแทน แต่ผู้อาวุโสจงกลับตำหนิกระหม่อมที่ไม่รู้จักสถานที่ และหยุดกระหม่อมด้วยเช่นกัน…”

สิ่งที่ผู้ส่งสารคนนี้ต้องการพูดก็คือ ผู้ประเมินของสถาบันฯไม่เคารพพระราชโองการ

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาอาจจะปรับเปลี่ยนเนื้อหา แต่เขาจะหลอกลวงคนอย่างเฟิงจวินหวู่ได้อย่างไร?

จักรพรรดิหรือพระมหากษัตริย์ของประเทศขนาดใหญ่ย่อมต้องมองกลอุบายเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ออกอยู่แล้ว

“พอได้แล้ว!”

เฟิงจวินหวู่โบกมือปฏิเสธโดยไม่แสดงความคิดเห็นใด ๆ ผู้ส่งสารไม่เข้าใจความคิดของฝ่าบาท และทำได้เพียงถอยกลับอย่างไม่เต็มใจ

สิ่งที่เขายังไม่รู้ก็คือเหตุการณ์ในวันนี้จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในอาชีพการงานของเขา จากนี้ไป จักรพรรดิจะไม่มอบหมายงานให้เขาอีก และไม่นาน เขาจะถูกลดตำแหน่งไปทำงานในบทบาทที่แทบจะไม่มีความสำคัญเลย

ในพระราชวังก็มีคนประเภทนี้อยู่ไม่น้อยเช่นกัน

“จือเฉียน!”

เฟิงจวินหวู่ตะโกนออกมาอย่างกะทันหัน เฟิงจือเฉียนก็หลุดออกจากภวังค์ และรีบโค้งคำนับท่านพ่อของเขาทันที

“ลูกอยู่ที่นี่ขอรับ” เฟิงจือเฉียนรู้สึกผิดเล็กน้อย

เขาเกรงว่าท่านพ่อของเขาจะโกรธ เพราะผู้ประเมินหลินปฏิเสธคำเชิญของเขา อย่างไรก็ตาม เขาก็ได้ยินเฟิงจวินหวู่ถามเขาว่า

“ระหว่างลูกกับเจ้าหญิงลั่วหลี่เป็นยังไงบ้าง?”

เฟิงจือเฉียนตอบทันที

“ความสัมพันธ์ของเราจัดว่าไม่เลวขอรับ”

เฟิงจวินหวู่ยิ้ม

“แม้ข้าจะไม่คาดคิดว่าเจ้าหญิงลั่วหลี่จะเลือกเจ้า แต่ถือเป็นโอกาสอันดีสำหรับเจ้า ดังนั้นจงคว้ามันไว้ให้แน่น หากตอนนี้เจ้าไม่มีอะไรทำมากนัก ลองเข้าใกล้ผู้ประเมินหลิน และพูดคุยกับเขาบ่อย ๆ กระชับความสัมพันธ์ของเจ้ากับเขาให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น”

เฟิงจือเฉียนพยักหน้า

'ท่านพ่อกำลังบอกใบ้บางอย่าง มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่? แต่น้อย ๆ ท่านพ่อก็เริ่มเห็นคุณค่าในตัวข้าแล้ว นั่นถือเป็นสัญญาณที่ดี’

“จริงสิ ก่อนหน้านี้เจ้าได้กล่าวถึงภัณฑารักษ์ที่ต้องการยืมอักษรภาพโบราณของเต้าจวิน และศิษย์ของเขาคือหลินผู้ประเมินอย่างงั้นเหรอ?” เฟิงจวินหวู่ถาม

เฟิงจือเฉียนพยักหน้า เขาเอ่ยถึงเรื่องนี้เพราะว่าเขาสัญญากับภัณฑารักษ์ว่าเขาจะทำ แม้ว่าเขาจะถูกเพิกเฉยจากทางพระราชวัง แต่เฟิงจือเฉียนจะไม่มีวันลืมคำสัญญาของเขา

“เอาล่ะ เจ้าออกไปได้แล้ว” เฟิงจวินหวู่ไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม

เฟิงจือเฉียนลังเลที่จะพูดบางอย่าง แต่หลังจากคิดสักพัก เขาก็ออกไปอย่างเชื่อฟัง

เขาอยากจะพูดถึงภัณฑารักษ์ให้เฟิงจวินหวู่รับฟัง แต่เรื่องนั้นไว้ทีหลังก็ได้ เพราะภัณฑารักษ์ไม่ได้อยู่ในเมืองเกลียวสวรรค์

เมื่อภัณฑารักษ์ปรากฏตัวขึ้นในงานฉลองวันเกิดของท่านพ่อ และพอพ่อของเขาได้เห็นความสามารถอันน่าทึ่งของภัณฑารักษ์ด้วยตาของเขาเอง บางทีเขาอาจจะเห็นด้วยกับคำขอของพวกเขา

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด