บทที่ 40 ออกค้นหา
บทที่ 40 ออกค้นหา
ทางด้านจี้กุนซือ ภายหลังกลับมาจากจวนแม่ทัพ ก็นั่งสงบสติอารมณ์อยู่ในบ้านตลอด แต่เขากลับรู้สึกกระวนกระวายใจ เหมือนกับว่ากำลังจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
ผู้บำเพ็ญเซียนมักจะมีลางสังหรณ์เกิดขึ้นกับตัวเอง ถ้าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสูงก็จะสามารถล่วงรู้เหตุการณ์ในอนาคตได้
แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น หลี่เหยียนกับเฉินอันไปที่เมือง นี่ก็เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ เขาจึงไม่ได้คิดไปในทางนั้น คิดแค่ว่าจิตใจว้าวุ่นก็เท่านั้น พอเขารู้สึกไม่สงบ จึงเกิดลางสังหรณ์ขึ้นมาทันที เป็นเหตุให้ต้องใช้จิตสำนึกสอดส่องออกไป พบว่าเฉินอันกับหลี่อินกำลังรีบวิ่งเข้ามาในหุบเขา เขายังกวาดสายตามองไปครั้งหนึ่ง ไม่ได้ใส่ใจอะไร
ก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน แต่ช่วงหลัง ๆ หลี่เหยียนมักจะสั่งให้เฉินอันกับหลี่อินขนของเข้ามาในหุบเขาทุกครั้งที่กลับมาจากข้างนอก เขาคิดว่าเฉินอันกับหลี่อินคงถูกหลี่เหยียนบังคับให้รีบเข้ามาในหุบเขาเพื่อทำอะไรบางอย่าง แต่ครู่หนึ่งเขาก็ลุกขึ้นยืน ทั้งสองคนเข้าไปในห้องพักครู่หนึ่งก็เดินออกมา ไม่พูดอะไร มีสีหน้าร้อนรน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นหลี่เหยียนตามเข้ามา เหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
จี้กุนซือใจหายวาบ จึงรีบเดินไปที่ปากหุบเขาและมองไปรอบ ๆ แต่ก็ไม่พบหลี่เหยียน จึงใช้จิตสำนึกกวาดมองอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ แต่ก็ยังไม่พบ ทำให้เขารู้สึกไม่สงบใจมากขึ้น จึงรีบพุ่งไปที่หน้าบ้านของหลี่เหยียนอย่างเงียบเชียบ
เฉินอันกับหลี่อินได้ยินเสียงคนถามขึ้นมา เสียงนั้นคุ้นเคยมาก ทั้งสองคนถึงกับตัวสั่น หันกลับไปมองด้วยสีหน้าลำบากใจ พบเห็นจี้กุนซือยืนอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ทั้งสองคนจึงรีบคุกเข่าคำนับ
"ข้าถามพวกเจ้า หลี่เหยียนล่ะ?" จี้กุนซือถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา ไร้ความรู้สึก ทำให้รู้สึกหนาวเหน็บแม้จะเป็นช่วงต้นฤดูร้อน
"ใต้... ใต้... ใต้เท้า คุณชายท่าน... ท่าน... ท่านหายไปแล้ว" หลี่อินได้แต่ก้มหน้ากัดริมฝีปาก ส่วนเฉินอันก็พูดตะกุกตะกัก
"หาย... ไป... แล้ว?" จี้กุนซือพูดทีละคำหลังจากที่ได้ยิน
"ใ... ใช่... แล้ว ตอนที่พวกเราอยู่ที่ค่ายทหาร คุณชายก็ออกมาแล้วขอรับ" เฉินอันก้มหน้าอยู่กับพื้น ไม่กล้าเงยหน้าขึ้น
"อ้อ ค่ายทหาร? พวกเจ้าไปที่นั่นทำไม? ไปร่ำสุรากับหลิวเฉิงหย่งหรือ? เล่าเรื่องทั้งหมดมาให้ละเอียด" น้ำเสียงของจี้กุนซือยิ่งเย็นชาลง เฉินอันกับหลี่อินรู้สึกหนาวไปทั้งตัว
ครู่ใหญ่ จี้กุนซือในชุดดำก็ยืนอยู่หน้าบ้านหินที่กำลังจะถูกปกคลุมด้วยความมืด ตอนนี้เฉินอันเล่าเรื่องทั้งหมดจบแล้ว ทั้งสองคนยังคงหมอบอยู่กับพื้น ไม่กล้าพูดอะไร
ผ่านไปครู่หนึ่ง ทั้งสองคนก็รู้สึกว่าแรงกดดันหายไป พอเงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง ก็ไม่เห็นจี้กุนซือแล้ว
จี้กุนซือกำลังเดินทางอย่างรวดเร็วในป่า ในใจคิดอย่างรวดเร็ว เขาไม่รู้ว่าหลี่เหยียนสงสัยอะไรถึงได้ตัดสินใจหนีไปจากที่นี่ เขาคิดทบทวนเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่หลี่เหยียนเข้ามาในหุบเขาจนถึงปัจจุบัน ไม่พบว่าตัวเองมีข้อบกพร่องตรงไหน
เขาคิดเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก แต่ที่แน่ ๆ คือเรื่องวันนี้ต้องเกี่ยวข้องกับหงหลินอิง ไม่เช่นนั้นหลี่เหยียนคงไม่เลือกค่ายทหารเป็นสถานที่ทิ้งเฉินอันกับหลี่อิน และวันนี้เขายังถูกหงหลินอิงเรียกตัวไป เรื่องทั้งหมดนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการวางแผนเอาไว้ล่วงหน้า
ทั้งหมดนี้แสดงว่าหลี่เหยียนเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติมาระยะหนึ่งแล้ว มิฉะนั้นคงไม่มีแผนการต่าง ๆ ในเวลาอันสั้น นับว่าเจ้าเล่ห์มาก แม้แต่เขาก็ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วย
ส่วนสาเหตุที่หงหลินอิงยอมช่วยหลี่เหยียนนั้น เขาไม่ต้องคิดเลย คนบ้า ผู้นั้นอย่างนั้นต้องหวังเคล็ดวิชาที่เรียกว่า "ตำราวิทยายุทธ์" จากหลี่เหยียนแน่ ตัวเขาวิ่งอย่างรวดเร็วพลางคิด ไม่นานก็พอจะเดาเรื่องราวทั้งหมดได้
ครู่หนึ่งก็เห็นประตูเมืองทิศเหนืออยู่ไกล ๆ เขาไม่ได้เข้าเมืองทางประตูเมือง แต่พอใกล้จะถึงประตูเมืองทิศเหนือกลับเลี้ยวเข้าไปในป่าทางทิศตะวันตก พอเข้าไปในป่าก็พุ่งตรงไปยังสันเขาทางทิศตะวันตกของกำแพงเมือง
เขาจะปีนกำแพงเมืองจากบนสันเขา ยอดฝีมือในยุทธภพปัจจุบันไม่มีใครทำแบบนี้ได้นั้นใช่ แต่ไม่ใช่ว่าขึ้นเขาไม่ได้ แต่ตอนลงจากเขา หน้าผาสูงชันขนาดนั้น จะไม่ส่งเสียงเลยได้อย่างไร? ถึงตอนนั้นก็จะมีหน้าไม้จำนวนมากยิงเข้าใส่
แต่ร่างของจี้กุนซือกลับล่องลอยไปมาในป่าเหมือนภูตผี แค่สิบกว่าลมหายใจก็ขึ้นไปถึงบนสันเขาแล้ว ทั้งยังไม่หยุดพัก ก็พุ่งลงไปตามสันเขาอีกด้านอย่างรวดเร็ว เห็นเพียงแค่ลูกกลม ๆ สีดำที่มองเห็นได้ยาก กำลังกระเด้งไปมาระหว่างต้นไม้กับหน้าผา ไม่ทำให้ก้อนหินหรือดินตกลงมาเลย ราวกับว่าไม่มีน้ำหนัก
ไม่กี่ลมหายใจต่อมา เขาก็มาถึงกำแพงเมืองสูงหลายสิบจ้าง แค่พริบตาเดียวก็หายไปจากกำแพงเมือง ทหารลาดตระเวนบนกำแพงเมืองก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรด้วย
จี้กุนซือกำลังเดินทางอย่างรวดเร็วในเมือง เป้าหมายของเขาคือจวนแม่ทัพ เพราะเขาคิดว่าในเมื่อหงหลินอิงลงมือทำเรื่องนี้แล้ว หลี่เหยียนต้องอยู่ในกำมือของอีกฝ่าย
เพราะฉะนั้นคำพูดที่เฉินอันได้ยินที่ประตูเมืองทิศเหนือว่าหลี่เหยียนออกจากเมืองไปแล้วอาจจะไม่ใช่เรื่องจริง เพราะด้วยวิธีการและอำนาจของหงหลินอิง การสั่งให้ทหารยามพูดโกหกเป็นเรื่องง่ายดาย
คิดได้เช่นนี้จึงสันนิษฐาน ว่าหงหลินอิงต้องซ่อนหลี่เหยียนไว้ในที่ปลอดภัย ซึ่งที่ปลอดภัยน่าจะมีแค่สองที่ ที่แรกคือจวนแม่ทัพในเมืองด่านขุนเขามรกต ที่ที่สองคือค่ายทหารใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบลี้
หงหลินอิงน่าจะยังควบคุมตัวหลี่เหยียนเอาไว้ เพื่อให้อยู่ในสายตาตลอดเวลา เพราะฉะนั้นโอกาสที่หลี่เหยียนจะถูกซ่อนอยู่ในจวนแม่ทัพในเมืองจึงมีมากกว่าค่ายทหารใหญ่ ดังนั้น เป้าหมายแรกของเขาคือจวนแม่ทัพ
ความคิดทั้งหมดนี้เขาคิดได้ตั้งแต่ตอนที่ฟังเฉินอันเล่า จนถึงตอนที่ออกจากหุบเขา จี้กุนซือคนนี้คิดอย่างรอบครอบจนน่าสะพรึงกลัว เขาสามารถวิเคราะห์เรื่องราวทั้งหมดได้ในเวลาอันสั้น ซึ่งก็ใกล้เคียงกับความจริง
เพียงแต่เขามุ่งความสนใจไปผิดคน เขาไม่ได้สนใจหลี่เหยียนที่เป็นคนบงการเรื่องทั้งหมดนี้ ในความคิดของเขา ต้องเป็นหลี่เหยียนที่เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ แต่ด้วยความสามารถของหลี่เหยียนนั้นไม่สามารถหลบหนีไปได้ ส่วนหงหลินอิงก็พยายามหาโอกาสที่จะช่วงชิง "ตำราวิทยายุทธ์" มาโดยตลอด ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นถึงทำให้ทั้งสองคนตกลงกันได้ แล้วหงหลินอิงยังใช้โอกาสนี้ควบคุมหลี่เหยียนเอาไว้
ความคิดนี้ก็ไม่ได้ผิด เด็กอายุสิบห้าสิบหกปี ไม่มีอำนาจ ไม่มีวาสนา ไม่มีพลัง ใครจะไปคิดว่าจะเป็นฝ่ายรุกได้
ไม่นานนัก จี้กุนซือก็มาถึงประตูหลังของจวนแม่ทัพ แม้ตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว เขาก็ไม่ได้หยุดพัก แต่พุ่งเข้าไปข้างใน ราวกับว่าเป็นบ้านของตัวเอง
ไม่นานเขาก็เดินทั่วจวนแม่ทัพอย่างเงียบเชียบ เขาตรวจสอบบ้านทุกหลังแล้ว ไม่พบความผิดปกติใด ๆ ซึ่งก็เป็นไปตามที่เขาคาดการณ์เอาไว้ ถ้าหาตัวหลี่เหยียนเจอง่าย ๆ แบบนั้น หงหลินอิงก็คงโง่เกินไป
เพียงแต่เขาไม่อยากประมาทและทำผิดพลาด อีกทั้งหลังจากตรวจสอบรอบหนึ่งแล้ว เขาก็พบสถานที่ต้องสงสัยหลายแห่ง ที่เหลือก็แค่ตรวจสอบสถานที่เหล่านั้นอย่างละเอียด เพราะเขามีพลังแค่ขอบเขตรวมลมปราณขั้นที่สาม จิตสำนึกจึงสอดส่องได้ไม่เกินสิบจ้าง ไม่สามารถตรวจสอบพื้นที่กว้างได้
สถานที่ต้องสงสัยมีสามแห่ง แห่งแรกคือห้องลับหลังห้องโถงใหญ่ แห่งที่สองคือทางลับในสวนหลังบ้านที่เชื่อมต่อไปยังประตูหลัง แห่งที่สามคือห้องใต้ดินใต้ห้องพักทางทิศตะวันออกของลานบ้าน พอได้ขอบเขตที่แน่นอนแล้ว เขาจึงเริ่มไปตรวจสอบทีละแห่ง
ไม่นานเขาก็ออกมาจากห้องโถงใหญ่ ในห้องลับหลังห้องโถงใหญ่ไม่มีใครอยู่ หลังจากที่ใช้จิตสำนึกตรวจสอบแล้วไม่พบใคร เขาจึงเข้าไปค้นหาโดยรอบ แต่ก็ไม่พบเบาะแสใด ๆ
ครู่หนึ่งเขาก็มาถึงหน้าห้องพักทางทิศตะวันออกของลานบ้าน หลบอยู่ในเงามืดของทางเดิน สงบสติอารมณ์แล้วใช้จิตสำนึกสอดส่องเข้าไปในห้อง ที่ด่านขุนเขามรกตแห่งนี้เขาไม่ต้องกังวลอะไร
เพราะหลายปีมานี้ เขาไม่เคยพบผู้บำเพ็ญเซียนคนไหน ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้จักจิตสำนึกของเขา หลังจากตรวจสอบทั่วรอบแล้วก็ไม่พบใครอยู่ในห้อง เขาจึงเดินออกมาจากเงามืด และค่อย ๆ ผลักประตูเข้าไป
หลังจากเข้าไปในห้อง เขาก็พบทางเข้าห้องใต้ดินอย่างรวดเร็ว นั่งลงแล้วใช้จิตสำนึกสอดส่องเข้าไปในทางเข้าอีกครั้ง
ขอบเขตจิตสำนึกของเขามีขนาดเล็กเกินไป ตอนที่อยู่ข้างนอกห้อง จึงตรวจสอบได้แค่ว่ามีห้องใต้ดินอยู่ใต้ห้องนี้ แต่ไม่สามารถมองเห็นได้ทั้งหมด จึงต้องแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ในห้องก่อน จึงจะเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อตรวจสอบอีกครั้ง
ไม่นานนัก เขาก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปและขมวดคิ้วเล็กน้อย พร้อมกับรอยยิ้ม ห้องใต้ดินนี้มีขนาดไม่ใหญ่ เขาสอดส่องเข้าไปก็พบคนสองคนจริง ๆ แต่ไม่นานสีหน้าของเขาก็เคร่งเครียดขึ้น เพราะไม่พบหลี่เหยียน
แต่เป็นหงหลินอิงกับอีกคนหนึ่ง ซึ่งเขาก็รู้จัก คนคนนั้นชอบทำตัวลึกลับอยู่ในห้องลับหลังห้องโถงใหญ่ พลังไม่ได้ด้อยไปกว่าหงหลินอิง เป็นยอดฝีมือในยุทธภพ เขาแค่แสร้งทำเป็นไม่รู้ก็เท่านั้น แต่คนแบบนี้ ต่อให้มีอีกสักสองหรือสามคนเขาก็ไม่ได้สนใจ
แต่ตอนนี้คนทั้งสองคนนั่งอยู่บนเบาะรองนั่งในห้องใต้ดิน น่าจะเป็นการนั่งฝึกพลัง
เรื่องราวยิ่งทำให้เขาอดสงสัยไม่ได้ หงหลินอิงไม่พาหลี่เหยียนมาอยู่ข้างกาย หรือว่าพาหลี่เหยียนไปไว้ที่อื่นแล้วให้คนอื่นดูแล? เขาจึงไม่รีรอ เก็บจิตสำนึกกลับมา ลุกขึ้นแล้วเดินไปที่สวนหลังบ้าน
หลังจากที่เขาจากไป ครู่ใหญ่ หงหลินอิงที่นั่งอยู่บนเบาะรองนั่งในห้องใต้ดินก็ลืมตาขึ้น มือที่กำอยู่บนตักก็ค่อย ๆ คลายออก เป็นขวดกระเบื้องเคลือบใบเล็ก ตอนนี้มีเสียงกระทบเบา ๆ ดังมาจากในขวด เขามองดูขวดนั้น แล้วพูดว่า "เขาไปไกลแล้ว"
ชายร่างใหญ่ก็ลืมตาขึ้นเช่นกัน มองดูขวดกระเบื้องเคลือบใบนั้น "ศิษย์พี่ จี้เหวินเหอมาที่นี่ หรือว่ามาหาเจ้าเด็กนั่น?"
หงหลินอิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดว่า "เวลานี้แล้ว คงจะใช่"
จากนั้นชายร่างใหญ่ก็พูดขึ้นว่า "โชคดีที่มีสิ่งนี้ ไม่เช่นนั้นวิชาตัวเบาของจี้เหวินเหอก็ร้ายกาจ พวกเราสองคนยังไม่รู้ตัวเลย ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กนั่นเอาของนี่ไปใส่ตัวจี้เหวินเหอได้ยังไง โดยที่เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ"
หงหลินอิงก็มีสีหน้าเคร่งเครียดเช่นกัน พอได้ยินแบบนั้นก็ไม่ได้ตอบอะไร ผ่านไปครู่หนึ่งจึงพูดว่า "วิทยายุทธ์ของจี้เหวินเหอไร้เทียมทาน เขาสามารถตามหาจนเจอที่นี่ในจวนแม่ทัพอันกว้างใหญ่ไพศาลได้ นับว่าเก่งกาจอย่างแท้จริง
พวกเราได้แต่ดูจากระดับความรุนแรงของสิ่งนี้เพื่อตัดสินว่าเขามาหรือยัง ใกล้หรือไกล ตอนแรกแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่หลัง ๆ ก็ยิ่งรุนแรงขึ้น แสดงว่าจี้เหวินเหอใช้พลังภายในตรวจสอบ ค่อย ๆ ตรวจสอบเข้ามา ท้ายที่สุดก็ตรวจสอบมาจนถึงที่นี่ วิชานี้ช่างน่าทึ่ง ส่วนสาเหตุที่เขาไม่ลงมา คงเป็นเพราะไม่พบหลี่เหยียนที่นี่ อีกทั้งคิดว่าพวกเรายังไม่รู้ จึงจะทำอะไรเงียบ ๆ"
ชายร่างใหญ่ได้ฟังก็พูดด้วยความไม่แน่ใจ "ศิษย์พี่ ท่านบอกว่าพลังภายในของเขาสามารถตรวจสอบทะลุสิ่งกีดขวางได้คร่าว ๆ ก็ยังพอเป็นไปได้ แต่ถ้าบอกว่ายังสามารถตรวจสอบได้ว่าใครอยู่ในห้องใต้ดินนี้ ข้าว่าเป็นไปไม่ได้แล้ว"
หงหลินอิงมีสีหน้าครุ่นคิด ผ่านไปครู่หนึ่งจึงพูดว่า "ก็อาจจะเป็นไปได้ เมื่อบรรลุพลังภายในถึงระดับหนึ่ง ถึงแม้จะตรวจสอบทะลุสิ่งกีดขวางไม่ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่ก็สามารถตรวจสอบการหายใจ ลมปราณของอีกฝ่ายได้ แล้วจึงคาดเดาสถานการณ์ของอีกฝ่าย"
ชายร่างใหญ่ได้ฟังก็พยักหน้า "พูดอย่างนี้ โชคดีที่ศิษย์พี่ไหวตัวทัน หยิบขวดนี่มาไว้ในมือ ใช้พลังปราณปิดกั้นเสียง ไม่เช่นนั้นเขาต้องได้ยินเสียงกระทบจากในขวดแน่ ๆ อาจจะรู้สึกถึงความผิดปกติ แต่เรื่องวันนี้ แม้เป็นแค่วิธีการตามรอยของเขา แต่เคล็ดวิชานี้ช่างวิเศษเสียจริง"
หงหลินอิงพยักหน้า "เมื่อครู่พวกเราก็ลองฝึกเคล็ดวิชานี้แล้ว ถึงแม้จะยังไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ แต่ก็พอจะยืนยันได้ว่าเป็นเคล็ดวิชาที่ใช้สัมผัสพลังปราณแห่งฟ้าดิน วิธีการฝึกฝนนี้นับว่าแยบยลมาก ไม่เหมือนเคล็ดวิชาใด ๆ ที่ข้าเคยเห็นมาก่อน คงจะเป็นเคล็ดวิชาจริง ๆ เพียงแต่ถ้าได้มาครบชุดจะดีมาก จะได้เปรียบเทียบกันได้"
"ถ้าอย่างนั้น พวกเราจะไปที่นั่นตามเวลาที่นัดหมายไว้หรือไม่?" ชายร่างใหญ่พูดด้วยสีหน้าคาดหวัง เพราะคืนนี้เขาได้เห็นความวิเศษของเคล็ดวิชาของจี้กุนซือแล้ว ทำให้ยิ่งอยากจะลองฝึกมากขึ้น
หงหลินอิงยังคงลังเลอยู่บ้าง สุดท้ายหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ เป็นจดหมายที่หลี่เหยียนส่งให้เขา อ่านซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบ สุดท้ายก็ค่อย ๆ พับเก็บ เหน็บไว้ในอกเสื้ออย่างทะนุถนอม เงยหน้าขึ้นมองชายร่างใหญ่ และพูดช้า ๆ ว่า "งั้นก็ไปตามที่นัดหมายไว้ นี่เป็นโอกาสที่ดี ส่วนเจ้าเด็กนั่น รอเรื่องนี้จบแล้ว ข้าค่อยจัดการเขา"
ชายร่างใหญ่ได้ฟังก็พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด "ศิษย์พี่ ด้วยวิทยายุทธ์ของพวกเราตอนนี้ ยังมีโอกาสชนะจี้เหวินเหอน้อยมาก"
เขามองจี้เหวินเหอด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป เพราะเขาเพิ่งมาที่นี่ไม่กี่ปี จึงไม่เคยเห็นจี้เหวินเหอแสดงวิทยายุทธ์มาก่อน ได้ยินแต่คำเล่าลือ ก่อนหน้านี้เขายังคิดว่าศิษย์พี่กับทหารคนอื่น ๆ พูดเกินจริงไป ไม่ค่อยยอมรับ แต่เรื่องวันนี้ การที่ถูกอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ขนาดนี้กลับยังไม่รู้ตัว ถ้าไม่ได้ทำเครื่องหมายไว้ล่วงหน้า เกรงว่าคงตายไปโดยไม่รู้สาเหตุ
หงหลินอิงได้ฟังก็ยิ้มแห้ง ๆ เห็นริมฝีปากขยับเล็กน้อย แต่ไม่มีเสียงใด ๆ ออกมา เขาใช้ "เคล็ดวิชาถ่ายทอดเสียง" เพื่อบอกเล่าบางอย่างให้ชายร่างใหญ่ฟัง
ครู่ใหญ่ ชายร่างใหญ่ก็มีสีหน้าดีใจ "ศิษย์พี่ วิธีการของท่านใช้ได้ผลจริง ๆ ด้วย"